RE2024 กับสารพัดประเด็นที่น่าเอาไปต่อยอดการทำงานในปีนี้
สวัสดีปีใหม่ 2024 อย่างเป็นทางการอีกครั้งครับ ช่วงเริ่มต้นของปีแบบนี้ ผมขออาสาจุดประกายความคิดให้กับคุณผู้อ่าน ผู้ติดตามที่มีอุปการคุณทุกคน ด้วยบทความยาวๆแบบเขียนไปเรื่อยตามใจผมครับ ฮา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการอ่าน และเนื่องจากช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมได้มีการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปในหลากหลายแง่มุมของธุรกิจอสังหาฯไปแล้วในระดับหนึ่งจาก 3 บทความหลักตามด้านล่าง ผมก็ขอเข้าเรื่องไปในแต่ละประเด็นเลยแล้วกันครับ ส่วนใครที่ตกหล่นข้อมูลไปก็สามารถคลิกย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งได้เลย
คลิกอ่าน 3 บทความนี้เลย หากคุณอยากรู้ว่าปีที่ผ่านมามีประเด็นเด็ด และโครงการที่เป็นที่สุดอะไรบ้าง
สรุปประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2023
คาดการณ์เทรนด์อสังหาฯที่น่าสนใจของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมในปี 2024-2025
Propholic’s Best of 2023 รวมโครงการสุดประทับใจ ท่ามกลางปีที่โครงการใหม่เปิดน้อยจัง
1. โอกาสใหม่ของเซลล์ที่พูดภาษาพม่าได้
“ปีนี้ยอดขายใหม่ตลาดต่างชาติชะลอตัวลงมาก แต่เรายังมียอดขายสะสมของต่างชาติที่รอโอนกรรมสิทธิ์ที่ทยอยโอนฯ มาเรื่อยๆ จึงทำให้ในส่วนของรายได้ยังไปได้…” คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) พูดถึงสถานการณ์ยอดขายในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงภาพรวมว่ายอดขายลูกค้าต่างชาติไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 12,000 ล้านบาท โดยสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท ลดลงไปกว่า 40% เนื่องจากลูกค้าชาวจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักยังไม่กลับมา เพราะด้วยภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศจีน อย่างไรก็ตามมีลูกค้าจากประเทศอื่นๆเข้ามาทดแทน เช่น รัสเซีย กลุ่ม CLMV เป็นต้น แต่ปริมาณการซื้อและยอดขายยังสู้ชาวจีนไม่ได้
ปฎิเสธไม่ได้ว่าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนคือกลุ่มผู้ซื้อสำคัญที่ช่วยให้ตลาดอสังหาฯไทยในระดับราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะเริ่มหดตัวลงมาอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงปี 2020 ทั้งนี้ข้อมูลจากนสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 23 – 25 พ.ย. 2566 ได้รายงานถึงภาพรวมจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้เปิดเผยข้อมูลเงินโอนกรรมสิทธิ์ คอนโดมิเนียม ของชาวต่างชาติแยกตามประเทศหรือสัญชาติเจ้าของบัญชี ในช่วง 5 ปี (2561-2565) พบว่า ปี 2561 ถือว่าเป็นปีที่มียอดเงินโอนกรรมสิทธิ์ ต่างชาติเพื่อซื้อคอนโดมิเนียมมากที่สุด มูลค่า 91,005 ล้านบาท และในปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโควิดยอดเงินโอนเพื่อซื้อคอนโดมิเนียมของต่างชาติปรับลดลงมาที่ 67,596 ล้านบาท ปี 2563 เป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด พบว่ายอดเงินโอนเพื่อซื้อคอนโด มิเนียมของต่างชาติลดลงมาอยู่ที่ 52,805 ล้านบาท ในปี 2564 อยู่ที่ 44,326 ล้านบาท ขณะปี 2565 โควิดคลี่คลาย เริ่มเปิดประเทศ ยอดเงินโอนกรรมสิทธิ์ คอนโดมิเนียม ของต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 63,197 ล้านบาท โดยในภาพรวมของ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนหน่วยและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ 10,703 หน่วย มูลค่า 52,259 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13.6% และ 23.3% ของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งหมด ตามลำดับ โดยมีการขยายในเชิงจำนวนหน่วยและมูลค่า เพิ่มขึ้น 37.6% และ 31.6% ตามลำดับ
สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 66 พบว่า ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ อันดับ 1 คือ สัญชาติจีนยังคงซื้อห้องชุดมากที่สุดเป็น จำนวน 4,991 หน่วย มูลค่า 24,740 ล้านบาท โดยมีการซื้อขนาดพื้นที่เฉลี่ย 39.2 ตารางเมตร/หน่วย และมีราคาเฉลี่ย 5 ล้านบาท/หน่วย รองลงมาเป็นรัสเซีย จำนวน 962 หน่วย มูลค่า 3,436 ล้านบาท โดยมีการซื้อขนาดพื้นที่เฉลี่ย 42.6 ตารางเมตร/หน่วย และมีราคาเฉลี่ย 3.6 ล้านบาท/หน่วย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้รับโอนฯ สัญชาติพม่ารับโอนห้องชุดมีจำนวนหน่วยเป็นอันดับ 7 จำนวน 347 หน่วย แต่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 มูลค่า 2,250 ล้านบาท โดยมีการซื้อขนาดพื้นที่เฉลี่ย 51.4 ตารางมเตร/หน่วย และมีราคาเฉลี่ย 6.5 ล้านบาท/หน่วย
ในจำนวน 10 ลำดับแรกของกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ จะพบว่ามีดีมานท์ใหม่ที่น่าจะเข้ามาเป็นดีมานท์ถาวรในกลุ่มลูกค้าต่างชาติต่อจากนี้ไปก็คือชาวพม่า จากข้อได้เปรียบในเรื่องของการเดินทาง ทำธุรกิจ ความสะดวกสบายในการรักษาพยาบาล ความใกล้เคียงทางวัฒนธรรม รวมไปถึงความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศซึ่งเป็น Motivation สำคัญในการซื้ออสังหาฯในประเทศไทยของกลุ่มเศรษฐีพม่า โดยในช่วงกลางปี 2566 ที่ผ่านมามีรายงานจาก CBRE ว่า มีลูกค้าชาวพม่าจำนวนหลายราย เข้าทำสัญญาซื้อขายโครงการกับซีบีอาร์อี ในระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาท ถึงมากกว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า สิงคโปร์ และไทย โดยซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองถึง 91% ส่วนใหญ่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขนาด 2 ห้องนอน ระดับราคา 15-30 ล้านบาท และมองหาคอนโดมิเนียมบนทำเลลุมพินีและสุขุมวิท สำหรับโครงการบ้าน ผู้ซื้อชาวพม่าส่วนใหญ่ต้องการบ้านขนาด 4 ห้องนอน ในทำเลกรุงเทพตะวันออกและใจกลางเมือง
โดยในอดีตที่ผ่านมาความต้องการในการซื้อของลูกค้าพม่า จะเน้นในเรื่องของอสังหาฯที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นความต้องการในด้าน Health and Wellness ซึ่งผู้ซื้อส่วนใหญ่มีพฤติกรรมในการมาตรวจสุขภาพ และรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ที่มีราคาและความสามารถในการรักษารวมถึงการบริการที่สูงกว่า อยู่เป็นประจำในทุกปีอยู่แล้ว ดังนั้นเศรษฐีพม่าส่วนใหญ่ก็เลยเลือกที่จะซื้อคอนโดใกล้โรงพยาบาลที่มอบความคุ้มค่าในระยะยาวมากกว่าการเช่าโรงแรมในระยะยาว และมีข้อสังเกตว่าทำเลในการซื้อจะเน้นในเรื่องของกรุงเทพฯมากกว่ากลุ่มผู้ซื้อต่างชาติในกลุ่ม Top 10 รายอื่นๆ เช่น รัสเซีย จะซื้อที่พัทยา และภูเก็ต เยอรมันจะเป็นที่พัทยา ส่วนยุโรปจะเป็นที่หัวหิน ซึ่งเป็นควมต้องการชั่วคราวในแบบ Tourist Destination หรือเป็นแบบ Retire Home มากกว่าความต้องการในการซื้อของชาวพม่าที่มีลักษณะเป็นความต้องการแบบถาวรแบบทันทีในแบบ Impulse Purchasing
แม้ว่าสัดส่วนของกลุ่มชาวพม่าที่มีความสามารถในการซื้ออสังหาฯในไทยได้ยังมีจำกัด และมีสัดส่วนที่น้อยหากเทียบกับชาติอื่นๆ แต่ในแง่ของมูลค่าเฉลี่ยต่อหน่วยกลับสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้มีรายงานจากสำนักข่าว NYTIMES ว่าในปัจจุบันมีชาวจีนจำนวนมากทั้งวัยรุ่น ครอบครัว และกลุ่มผู้มั่งคั่ง ที่มองหาลู่ทางในการนำเงินออกนอกประเทศผ่านการซื้อทองคำแท่งขนาดเล็กที่นำออกนอกประเทศได้ง่าย การนำเงินไปฝากธนาคารในสหรัฐอเมริกา และยุโรปที่จ่ายดอกเบี้ยให้สูงกว่า รวมถึงการลงทุนในอสังหาฯประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนทางการเมืองในอนาคต ในแง่ของการลงทุนอสังหาฯต่างประเทศของชาวจีนยังพบว่ากลุ่มผู้ซื้อหลักของคอนโดในโตเกียวที่มีราคาประมาณ 3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐขึ้นไปคือชาวจีน และส่วนใหญ่มักจะซื้อด้วยเงินสด เพื่อเตรียมไว้สำหรับการย้ายถิ่นฐานที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมีความแตกต่างจากช่วงก่อนวิกฤตโควิดที่ชาวจีนส่วนใหญ่มักจะหาห้องขนาดเล็กแบบสตูดิโอในโตเกียวที่มีราคาแค่ 330,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อที่จะได้เอาไปลงทุนปล่อยเช่า โดยมีการประมาณการณ์กันว่าจำนวนเงินประมาณ 50,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐได้ถูกถ่ายโอนออกนอกประเทศในปีที่ผ่านมา…จากปรากฎการณ์ดังกล่าวจึงเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่งว่าการซื้ออสังหาฯในไทยอาจจะไม่ใช่ Choice แรกๆของคนจีนในการนำเงินออกนอกประเทศเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ ดังนั้นทางออกที่เหมาะสมในช่วงเวลา 2-3 ปีต่อจากนี้ก็คือการมองหากลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เป็นฐานใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวพม่าที่ปัจจุบันมี Track Record เข้ามาอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยในบรรดาดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำของไทยตอนนี้เห็นมีทางแสนสิริ ที่ให้ความสำคัญกับตลาดพม่าอย่างจริงจังด้วยการประกาศรับสมัครเซลล์ที่สามารถสื่อสารภาษาพม่า ได้เป็นภาษาที่ 3 ต่อจากภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นที่เรียบร้อย จึงเป็นที่น่าจับตาว่าในปีนี้จะมีดีเวลอปเปอร์รายไหนบ้างที่มองเห็นโอกาสในการจับกลุ่มตลาดนี้อย่างจริงจัง เพราะสถานการณ์ในพม่าตอนนี้ถือว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการพลิกขั้วรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
2. นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในคอนโดกับระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางแบบรวมศูนย์
Decarbonized Lifestyle และ Low Carbon Economy อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯในกลุ่มอาคารสำนักงาน หรือห้างค้าปลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้นำอุตสาหกรรม ที่ล้วนแต่ให้ความสำคัญในเรื่องของการนำมาตรฐานในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เข้ามาผสานไว้ในแผนธุรกิจเพื่อรักษาขีดความสามารถและการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยบริษัทข้ามชาติและบริษัทชั้นนำในไทยต่าง ๆ ได้มีการกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ในปี 2573 เป็นต้นไป
ผลลัพธ์ก็คือเราได้เห็นอาคารสำนักงานหลายแห่งที่ชูคอนเซ็ปต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ใช้สอยอาคาร หรือห้างค้าปลีกจากกลุ่ม “สยามพิวรรธน์” ที่ได้บรรจุการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ โดยเริ่มต้นจากการอนุรักษ์พลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น การเปลี่ยนหลอดไฟ LED ช่วยประหยัดพลังงาน และการใช้ระบบ AI ในการควบคุมการทำงานของระบบควบคุมสภาพแวดล้อมภายในอาคาร เป็นต้น ตลอดจนขยายผลไปสู่การใช้ พลังงานสะอาด โดยการนำนวัตกรรมโซลาร์รูฟท็อปมาติดตั้งที่ ไอคอนสยาม สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 1 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อ/ปี ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ 550 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ต่อปี และผสานความร่วมมือกลุ่มบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ร่วมกันพัฒนาและติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop) บนพื้นที่สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ กว่า 20,000 ตารางเมตร ให้เป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้กว่าปีละ 4,800,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 4,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายองค์กรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ให้กับโลกของเราโดยร่วมมือกับพันธมิตรติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ศูนย์การค้า
มีการศึกษาร่วมกับองค์กรชั้นนำทางด้านพลังสะอาดของประเทศไทยอีกหลายแห่ง อาทิ บริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ จำกัด บริษัทในเครือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยมุ่งเพื่อให้ทุกศูนย์การค้าภายในกลุ่มสยามพิวรรธน์ใช้พลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable Energy (RE) โดยร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ ในการจัดหาพลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากการผลิตที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในพื้นที่ศูนย์การค้าต่างๆ โดยมีเป้าหมายใช้พลังงานหมุนเวียน 30% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ที่สยามพิวรรธน์บริหารจัดการเอง ภายในปี 2026 และ 100% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาขยะต่างๆ ในประเทศไทยอย่างยั่งยืนโดยการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านโครงการ Siam Piwat 360° Waste Journey to Zero Waste ส่งเสริมการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยจุดบริการรับขยะ (Recycle Collection Center ; RCC) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร นำขยะที่ทำความสะอาด และคัดแยกแล้วส่งต่อเข้ากระบวนการรีไซเคิล (Recycle) เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ หรือนำมาเข้าสู่กระบวนการอัพไซเคิล (Upcycle) เพื่อเพิ่มมูลค่า โดยส่วนหนึ่งยังกลับมาวางจำหน่ายบนพื้นที่สำหรับสินค้ารักษ์โลก “อีโค่โทเปีย” (ECOTOPIA) โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการฝังกลบของขยะจากการดำเนินงาน 50% ภายในปี 2030 (ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1091107)
แม้ว่าเราจะได้เห็นทิศทางในการขับเคลื่อน Low Carbon Economy อย่างจริงจังจากภาคเอกชนในธุรกิจค้าปลีก และอาคารสำนักงานมาอย่างแพร่หลายแล้ว แต่สำหรับภาคเอกชนที่เน้นในเรื่องของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยนั้นแนวทางดังกล่าวนับว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นสร้าง Prototype เท่านั้น
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) มีการระบุว่า จากข้อมูลของ UNEP 2020 พบว่า “อุตสาหกรรมก่อสร้าง” กลับเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลกสูงที่สุด คิดเป็น 39% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดทั่วโลก โดยแบ่งเป็นการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานควบคุมอุณหภูมิภายในอาคาร (Operation carbon) 28% และจากการได้มาซึ่งวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง (Embodied carbon) อีก 11% และเพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (Net-zero emissions) ภายในปี 2050 องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ได้ออกมาคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้ง Operation carbon และ Embodied carbon ให้เหลือ 60% และ 50% ตามลำดับภายในปี 2030 ที่ผ่านมาจึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับวัสดุขึ้นมา เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการก่อสร้าง และนั่นก็กลายมาเป็น “วัสดุคาร์บอนต่ำ” (Low carbon materials) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุทั่วไป อาทิ คอนกรีตคาร์บอนต่ำจาก CarbiCrete และวัสดุจากไม้ ที่สามารถนำมาสร้างอาคารในรูปแบบ “Timber Construction” หรือ การก่อสร้างอาคารโดยใช้ไม้เป็นโครงสร้าง
อาคาร Clubhouse ในโครงการ Mulberry Grove Villa ที่ The Forestias by MQDC มีการออกแบบให้มีหลังคาโค้งทำมาจากไม้ (Arched Timber Structure) โดยใช้คานไม้โครงสร้าง Glulam ทั้งหมด 56 คานถักทอเป็นหลังคาที่สร้างร่มเงา กันแดด และฝนให้กับอาคารนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ใช่อาคารสูง แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงวงการก่อสร้าง ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย “Nature Positive & Carbon Negative 2050” ของ MQDC เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกู้วิกฤติโลก ส่งเสริมทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน สร้างผลเชิงบวกต่อธรรมชาติและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นค่าติดลบภายในปีค.ศ. 2050
ทั้งนี้อุปสรรคที่สำคัญของการใช้ Low Carbon Material ในการก่อสร้างโครงการการที่พักอาศัยก็คือ ต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับต้นทุนค่าเสียโอกาส เสียเวลาในการพัฒนา “Circular Economy หรือแนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน” ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริงในการก่อสร้างโครงการ จนอาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุนหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะที่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานควบคุมอุณหภูมิภายในอาคาร (Operation carbon) ดูจะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่าย และรวดเร็วกว่า โดยที่ผ่านมาเราได้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมชัดเจนจากการเลือกปลูกต้นไม้ที่ดูดซับคาร์บอน การติด Solar Rooftop ตลอดจน EV Charger และ Smart Mobility
เสนาฯ เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่นำแนวคิด SMART CITY มาใช้พัฒนา Feature ต่างๆ ในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนได้ง่ายๆ ได้ทุกวัน โดยพัฒนาออกมาเป็นโครงการแนวราบ ภายใต้แนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ต่อยอดมาจาก Hankyu Hanshin Properties Crop. (HHP) บริษัทฯ วิจัยพัฒนาสินค้าร่วมกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch) เพื่อออกแบบเป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนไทย จากงานวิจัยพบว่าแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% นอกจากนี้ในส่วนของแนวสูง ก็มีการนำใช้แนวคิดของ SMART CITY มาใช้พัฒนาเพื่อให้เกิดเป็น “คอนโด Low-Carbon” เพื่อสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ดูเหมือนจะสร้าง Impact ในระยะยาวไม่ได้มากเท่ากับ การวางระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางแบบรวมศูนย์ ที่ครอบคลุมในเรื่องของการประหยัดพลังงาน และค่าไฟในแบบองค์รวมทั่วทั้งโครงการทั้งในส่วนของ ระบบผลิตความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling System) และระบบผลิตน้ำดื่มแบบรวมศูนย์ (District Drinking Water System) ที่ช่วยลดขยะพลาสติกที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ และไส้กรองน้ำ ลดมลภาวะทางเสียง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงสร้าง Decarbonized Lifestyle ได้ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาขับรถออกไปซื้อที่ห้างค้าปลีก ซึ่งเรามีโอกาสได้เห็นมาแล้วกับสารพัดโครงการจากกลุ่มบริษัท MQDC ที่ได้มีการนำเอาระบบ DCS มาใช้เป็นมาตรฐานในการพัฒนาโครงการทุกโครงการไปแล้ว
โดยในปัจจุบันหากดีเวลลอปเปอร์รายใดที่กำลังมองหา Solutions ระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางแบบรวมศูนย์ (District Utility System) เพื่อ Plug in ความเป็น Low Carbon Society ให้กับตัวโครงการก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยากเกินไป เพราะก็มีบริษัทเอกชนหลายบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ วางระบบ ตลอดจนบริหารงาน อาทิ ยูนิซัส กรีน เอ็นเนอร์จี ที่ทำให้กับหลายโครงการของ MQDC โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ The Forestias by MQDC ที่มีการประเมินว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 30,000 ตันต่อปี โดยนำเสนอทั้ง 1) ระบบผลิตความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling System – DCS) และ 2) ระบบผลิตน้ำดื่มแบบรวมศูนย์ (District Drinking Water System – DDWS)
ระบบผลิตความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling System: DCS) เป็นนวัตกรรมที่ใช้น้ำเย็นทำความเย็นภายในทุกอาคารของโครงการ โดยการทำงานของระบบ DCS จะเริ่มจากอาคารสาธารณูปโภคส่วนกลาง (Central Utility Plant: CUP) ที่มีการติดตั้งเครื่องชิลเลอร์เพื่อคอยผลิตน้ำเย็น จากนั้นจึงส่งน้ำเย็นผ่านเครือข่ายท่อหุ้มฉนวนเพื่อกระจายไปยังยูนิตต่าง ๆ ภายในโครงการเพื่อทำความเย็นและปรับอุณหภูมิตามความต้องการได้อย่างอิสระ เมื่อน้ำเย็นถูกใช้ทำความเย็นแล้วจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น และจะไหลกลับไปยัง CUP เพื่อทำให้น้ำนั้นเย็นลงอีกครั้งและส่งกลับไปใช้งานเป็นวงจรแบบนี้อย่างต่อเนื่อง โดย CUP จะมีถังเก็บพลังงานความเย็น (Thermal Energy Storage Tank – TES) ที่เก็บพลังงานความเย็นได้ถึง 2.6 หมื่นตันต่อชั่วโมง ซึ่งถือเป็นถังแรกในประเทศไทยที่สามารถกักเก็บพลังงานความเย็นได้ในลักษณะนี้
ระบบผลิตความเย็นนี้ จะให้ความเย็นตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไฟดับ เนื่องจากมีเครื่องปั่นไฟสำรอง นอกจากนี้ การรวมระบบทำความเย็นไว้ที่ศูนย์กลาง ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยไม่ต้องติดตั้งชุดคอยล์ร้อนบริเวณระเบียงเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยความร้อนจากชุดคอยล์ร้อนเหล่านั้น พร้อมส่งเสริมระบบนิเวศและลดการสร้างภาระให้สิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบริเวณระเบียงได้อีกด้วย…เราจึงเห็นได้ว่าคอนโดในระยะหลังของค่าย MQDC นั้นไม่ค่อยทำพื้นที่ระเบียงออกมาให้เป็น Waste Space เพื่อแขวน CDU แอร์อีกแล้ว แต่ไปเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในห้องแบบเต็มๆแทน
และอีก Solution นึงที่ผมมองว่า Work และประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของห้องได้มากเลยก็คือ ระบบผลิตน้ำดื่มแบบรวมศูนย์ (District Drinking Water System – DDWS) โดยกระบวนการผลิตน้ำดื่มจะเริ่มที่อาคารสาธารณูปโภคส่วนกลาง (Central Utility Plant: CUP) ที่นำน้ำประปามากรองด้วยเทคโนโลยีการกรองแบบหลายขั้นตอนและฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบ Ozone ซึ่งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐาน NSF จนได้น้ำดื่มที่สะอาดบริสุทธิ์ ก่อนส่งน้ำผ่านท่อสเตนเลสมาตรฐาน Food Grade ซึ่งมีระบบ UV Sterilizer ติดตั้งอยู่เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนส่งน้ำดื่มสู่ยูนิตต่าง ๆ ในอาคาร โดยผู้อยู่อาศัยสามารถดื่มน้ำได้โดยตรงจากก๊อกน้ำอัจฉริยะที่มี UV Sterilizer เพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกครั้ง ผู้อยู่อาศัยสามารถวางใจได้ถึงความสะอาดและปลอดภัยของน้ำดื่มเนื่องจากระบบน้ำดื่มของเราแยกจากระบบน้ำประปาปกติ ส่วนค่าใช้จ่ายจะคิดค่าน้ำดื่มตามปริมาณการใช้งานจริง ดังนั้น ผู้อยู่อาศัยในโครงการจึงสามารถดื่มน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์และสดใหม่อยู่ตลอด โดยเป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่ต้องติดตั้งเครื่องกรองน้ำเพิ่ม ไม่ต้องคอยซื้อน้ำขวดเพื่อบริโภค อีกทั้งช่วยลดขยะพลาสติกที่เกิดจากการซื้อขวดน้ำและการเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ำอีกด้วย
ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดจาก บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด หรือ TERRA BKK ยังพบว่าผู้ซื้อบ้านยุคปัจจุบันมองหาบ้านในอุดมคติบนแนวคิด Sustainable lifestyles ที่จะต้องประกอบด้วย 3 ด้าน คือ Comfortable and Convenience Living, Safe and Secure Environment และ Well-Being โดยจากผลวิจัยจะเห็นว่า sustainable lifestyles ของคนแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยกลุ่ม Gen Z (อายุ 18-27 ปี) จะเป็นกลุ่มที่ใส่ใจเรื่องการเดินทาง โดยส่วนใหญ่จะเน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะกันมาก ส่วนกลุ่ม Gen Y (อายุ 28-41 ปี) ให้ความใส่ใจด้านพลังงานเช่นการเปิด-ปิดไฟเมื่อไม่จำเป็น, กลุ่ม Gen X (อายุ 46-56 ปี) จะเป็นคนที่สนใจเรื่องอาหาร และสุขภาพ เช่น ลดการกินเนื้อสัตว์ หรือกินพืชผักตามฤดูกาล และกลุ่ม Baby boomer (อายุมากกว่า 56 ปีขึ้นไป) เป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจมาก เพราะคนกลุ่มนี้หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีสีเขียวเช่น โซล่าร์เซลล์ มากขึ้น
ซึ่งจาก sustainable lifestyles ที่กล่าวถึงได้สะท้อนถึงความต้องการบ้านของผู้บริโภคที่สอดรับกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต อาทิ การออกแบบ Universal design, มีพื้นที่ห้องสปาหรือโปรแกรมบริการการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย, มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพและกายภาพบำบัด, บริการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพ, บ้านประหยัดพลังงาน Solar Cell /ฉนวนกันความร้อน, ระบบกรองอากาศ PM2.5 และไวรัส, นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย เช่น Smart Home, EV Charger, ระบบการคัดแยกขยะอย่างแท้จริง เพื่อลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม, การก่อสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยคาร์บอน
จากข้อมูลและเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงเชื่อได้ว่าในปีนี้เราอาจจะมีโอกาสได้เห็นหลายโครงการที่พักอาศัยเปิดใหม่ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางแบบรวมศูนย์ครับ