LPN ยุคใหม่ภายใต้การนำของหัวเรือใหญ่ป้ายแดง พร้อมปรับตัวขนานใหญ่ด้วยกลยุทธ์การสร้างสมุดลให้กับทุกหน่วยธุรกิจในระยะยาว ปีนี้เปิด 6 โครงการ เป็นแนวราบ 5 และเล็งพัฒนาโครงการร่วมทุนครั้งแรก

เกริก บุณยโยธิน 22 February, 2024 at 19.27 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


เดิมทีเราคุ้นเคยกับ LPN ในฐานะที่เป็นเจ้าพ่อคอนโดระดับ Economy มาอย่างยาวนาน แต่ด้วยกาลเวลา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันต่อเนื่อง ทั้งในมุมของเศรษฐกิจ เทรนด์การอยู่อาศัย พฤติกรรมการเลือกซื้อคอนโดของกลุ่มผู้บริโภค ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทฯ ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมา LPN ได้เริ่มที่จะใช้กลยุทธ์ใหม่ๆในการพยุงธุรกิจ และรักษาระดับการเติบโตให้เพียงพอที่จะก้าวต่อไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเปราะบางของกลุ่มผู้บริโภคในระดับฐานราก ซึ่งเป็นกลุ่มฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุด และเคย work ที่สุดสำหรับ LPN มานานหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Brand Platform ใหม่ที่เน้นกลุ่มพรีเมียม – ไฮเอนด์ ผ่านแบรนด์ Flagship ที่เน้นเลขมงคล อย่าง 168 เพื่อหวังที่จะขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ๆที่ยังไม่เคยรู้จัก หรือโครงการ LPN มาก่อน, การปรับ Perception ให้กับแบรนด์ LPN เดิม ให้มีความทันสมัยมากขึ้น, การใช้ Core Competency ในด้านงาน Services ของตัวเอง ที่มี Branding ค่อนข้างแข็งแรงในหมู่กลุ่มลูกค้าเก่าและปัจจุบัน มาช่วยเสริมกลยุทธ์การสร้างรายได้ผ่าน Cross Category Segment ทั้งจากบริษัทบริหารจัดการโครงการภายใต้ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทที่ให้บริการด้านงานวิศวกรรมอย่าง บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) และบริษัทด้านรักษาความปลอดภัยอย่าง บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) เป็นต้น รวมไปถึงการเริ่มเข้าไปบุกตลาดแนวราบในกลุ่ม Luxury บนทำเลเมืองส่วนต่อขยายอื่นๆ…แต่ภารกิจดังกล่าว อาจจะดูชะงักไปในพลันที่บริษัทฯ ได้ประกาศแต่งตั้ง ‘อภิชาติ เกษมกุลศิริ’ ขึ้นเป็นซีอีโอ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2567 แทน ‘โอภาส ศรีพยัคฆ์’ ที่เกษียณอายุไปแบบเงียบๆในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจ การมาของ CEO ป้ายแดงที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในสายการเงินครั้งนี้ จะพา LPN กลับขึ้นไปสู่เส้นทางเดิมที่ได้วางเอาไว้หรือไม่ หรือจะไปได้ไวกว่านั้นผ่านการหาเส้นทาง Short cut ใหม่ๆ หรือจะกลับไปสู่วังวนเดิมๆที่เคยถนัดในกลุ่มลุกค้าระดับ Economy วันนี้ เรามาฟังคำตอบจาก CEO ท่านนี้กันครับ

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า LPN ยุคนี้จำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนองค์กรด้วยธุรกิจหลายประเภท นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่เป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีคีย์เวิร์ดสำคัญก็คือ Rebalance ที่สื่อถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างความสมดุลให้กับทุกหน่วยธุรกิจขององค์กร เพื่อให้ทำงานสอดประสานกัน จนสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้วิ่งไปพร้อมกันได้มากที่สุด ตลอดจนการเฟ้นหาธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในระยะกลาง และระยะยาวให้กับ ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างสมดุลในการเติบโตให้กับธุรกิจ ในระยะยาว ด้วยการทำงานที่สอดประสานกันในทุกภาคส่วนของธุรกิจ (Harmonization) นายอภิชาติ กล่าวโดยชี้เพิ่มเติมให้เห็นถึงภารกิจสำคัญลำดับแรกในฐานะที่เป็น CEO ที่มีประสบการณ์ทางด้าน Finance และมี Background จากสาย Banker ว่าคือการนำ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ภายในปีนี้

“…ผมจำได้ว่าเมื่อ 5 ปีแรกที่ผมเข้ามาทำงาน LPN กำไร 3 พันกว่าล้าน แต่พอมาถึงวันนี้กำไรเราเหลือแค่ 300 กว่าล้าน จะเห็นว่าในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น. อยู่ในภาวะถดถอยจากเดิม ในการทำกำไรที่ 1,256 ล้านบาท ในปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 353 ล้านบาทในปี 2566 ในขณะเดียวกัน แอล.พี.เอ็น. มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเข้าระดมทุนในหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคาดว่าการนำ แอล พี พี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นการแยกธุรกิจบริการออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะช่วยให้ แอล.พี.เอ็น. รับรู้มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจบริการ ที่ปัจจุบันรวมอยู่ในผลกำไร การดำเนินงานของแอล.พี.เอ็น.กว่า40% และยังเป็นการส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปี 2566 แอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท…”นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

เมื่อพิจารณาจากจำนวน Inventory ที่ค่อนข้างหนืด และทรัพยากรที่มีอยู่ ทำให้ทางบริษัทฯมองในเรื่องของการนำกลยุทธ์ 3 Rebalance Startegies มาใช้ เพื่อทดแทนการทำงานบางอย่างที่อาจจะผิดพลาดไปในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะก็มีบางคนมองว่า LPN เป็นบริษัทที่ปรับตัวช้า และอยู่นิ่งๆมากเกินไปในช่วงที่บริษัทอื่นๆล้วนแข่งกันปรับตัว โดยภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ มีแนวทางในการสร้างความสมดุลใน 3 มิติ เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ เปลี่ยน Inventory ที่ไม่ใช่ Stock เพียงอย่างเดียว ให้เป็นเงินเพื่อสร้างความแข็งแกร่งไปพร้อมๆ กันในทุกมิติ (Stronger Together) ได้แก่

1. Rebalance Portfolio การสร้างความสมดุลในการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ทั้งในส่วนของการพัฒนาโครงการ งานบริการ ไปจนถึงงานวิจัยและพัฒนา นำจุดแข็งของแต่ละหน่วยธุรกิจมาเสริมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมๆ กัน โดยแนวทางในการทำงานปีแรกของการเข้ามาดำรงตำแหน่งคือ การพัฒนาจุดแข็งในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (5C) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจำเป็นต้องมีการปรับลุค เพิ่มมูลค่า เพื่อขายให้ได้ในราคาพรีเมียมขึ้น

 

รวมถึงปรับปรุงและเติมเต็มข้อจำกัดของแอล.พี.เอ็น. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยหลักๆ คือ การสร้างความสมดุลของ Portfolio โดยการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าที่ขายแล้ว รอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2,300 ล้านบาท

 

โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา (Price Strategy) ซึ่งจะต้องปรับ Look เปลี่ยนราคา และการเพิ่มอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม (Incentive) ให้กับหน่วยงาน รวมถึงเครือข่ายการขาย ของบริษัทเพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยมีเป้าหมายที่จะขายสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 4,500 – 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่ขายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 2566 โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2567 ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับยอดขายที่ 10,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566

สำหรับแผนการลงทุนในปี 2567บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 6,520 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ แถววุฒากาศ มูลค่า 980 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 5 โครงการ ทั้งทำเลกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ สุขุมวิท 77 และนครปฐม มูลค่า 5,540 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เป็นหลัก

 

“80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP) อยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนอีก 20% อยู่ในต่างจังหวัด โดยการพัฒนาโครงการของแอล.พี.เอ็น. จะให้ความสำคัญกับพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ ที่ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงมากกว่าที่จะขยายไปในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยเรามีการซื้อที่ดินในจังหวัดนครปฐมเพื่อพัฒนาโครงการ และเรามีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ราย ทั้งการลงทุนในลักษณะ ร่วมทุน และการลงทุนแบบ Turnkey” นายอภิชาติ กล่าว

2. Rebalance Resource การสร้างสมดุลโดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาจัดสรร และสร้างมูลค่าให้กับองค์กรด้วยการนำความเชี่ยวชาญของแต่ละส่วนงาน มาสนับสนุนการบริหารงานและการจัดการของแอล.พี.เอ็น. ให้สอดคล้องกันยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเป็นแนวทางของการพัฒนาองค์กรในระยะยาว ปัจจุบัน แอล.พี.เอ็น. มีบริษัทในเครือที่กำลังเติบโตอยู่หลายบริษัท ซึ่งทำงานเกื้อหนุนกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการพัฒนาสินค้า ไปจนถึงการบริการหลังการขายอย่างครบถ้วน หรือเรียก ได้ว่าเป็น LPN Completed Ecosystem ได้แก่

 

– บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) รับผิดชอบด้านงานวิจัย การศึกษาพื้นที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่บริษัท / บริษัทในเครือ รวมถึงบริษัทอื่นๆ ภายนอก นอกจากนั้น บริการให้คำปรึกษาและวิจัยด้าน GREEN หรือ Sustainable Development และ BIM (Building Information Modeling) อีกด้วย

 

– บริษัท แอล พี เอส โปรเจค มาเนจเมนท์ จำกัด (LPS) รับผิดชอบงานบริการด้านวิศวกรรม และบริการที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมไปถึงการควบคุมงานก่อสร้าง โดยมุ่งเน้นการส่งมอบคุณค่าผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า

 

– บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) รับผิดชอบการบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ครอบคลุมตั้งแต่ งานบริหารชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาคุณค่าของโครงการ งานบริหารอาคารพักอาศัย สำนักงาน อาคารเชิงพาณิชย์ / การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลาง การวางระบบ – บริหารจัดการอาคารชุด และ รับผิดชอบในการบริหารทรัพย์สินประเภทห้องชุดพักอาศัย ที่ผู้ซื้อ (นักลงทุน) ต้องการจัดหาผู้เช่าและผู้ซื้อ นอกจากนั้น ยังดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เช่าเพื่อความปลอดภัยในชุมชน

 

– บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) รับผิดชอบด้านงานบริการชุมชนอย่างครบวงจร โดยให้บริการด้านการดูแลรักษาความสะอาดเป็นหลัก ทั้งในโครงการที่แอล.พี.เอ็น. พัฒนาขึ้น และโครงการอื่นๆ ภายนอก

 

– บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาความปลอดภัยแบบบูรณาการ ทั้งจากบุคลากรที่มีคุณภาพและมืออาชีพ ระบบอิเล็กทรอนิกส์และงานระบบ โดยจัดให้มีมาตรฐานความปลอดภัย และนำเสนอบริการตามระดับความต้องการลูกค้า และยังครอบคลุมไปถึงงานบริการทำความสะอาด ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าในอาคารเชิงพาณิชย์ประเภทอื่นๆ เช่น โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

3. Rebalance Stakeholders’ Wealth ภายใต้แนวทางการบริหารในการสร้างความสมดุลทั้งสองมิติแรก จะนำไปสู่การสร้างสมดุลในการให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน ทั้งนักลงทุน ผู้ถือหุ้น พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตด้วยการนำบริษัทในเครือที่มีผลการดำเนินงานที่ดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเฉพาะบริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจบริหารจัดการชุมชน และทรัพยากรอาคาร และมี PE ที่มากกว่า LPN

.ปัจจุบัน ได้เข้าบริหารจัดการชุมชนกว่า 260 โครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ครอบคลุมประชากรมากกว่า 300,000 คน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแผนคาดว่าจะนำ แอล พี พีฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในปีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดทุน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆในช่วงเวลาเสนอขายอีกครั้ง

 

โดยในปี 2566 แอล พี พี มีรายได้ประมาณ 1,560 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 139 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตทางรายได้กว่าร้อยละ 80 และการเติบโตทางกำไรสุทธิกว่าร้อยละ 23 ภายใน 3 ปี ทำให้การเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ แอล พี พีฯ มีแผนการการลงทุนในบริษัทพันธมิตร เพื่อขยายงานบริการวิศวกรรมและที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจบริหารชุมชนและทรัพยากรอาคาร

 

โดยพัฒนาระบบ Application รองรับการบริการผู้อยู่อาศัย และเชื่อมต่อพันธมิตรที่ให้บริการเกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตได้ตลอด 24 ชม. และนับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่เสริมสร้างให้แอล.พี.เอ็น. สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น และสร้างความสมดุลด้านรายได้ให้กับองค์กร

.

ขณะที่บริษัทมีงบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินในปี 2567 ที่ 1,000 – 2,000 ล้านบาท โดยมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ การกู้จากสถาบันการเงินและการออกหุ้นกู้ โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 1,500 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินงานของ แอล.พี.เอ็น.

 

“ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 แอล.พี.เอ็น. มีทุนจดทะเบียน 1,454 ล้านบาท บริษัทมีกําไรสะสมมาตลอด 30 ปี ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 11,959 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถลงทุนเพิ่มเติมทั้งในธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจอื่นๆ ได้ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ได้ในระยะยาว ในขณะที่ผลการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีรายได้จากการขายและบริการ 7,407 ล้านบาท ลดลงประมาณ 28 % จากรายได้จากการขายและบริการที่ 10,276 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 353 ล้านบาท ลดลง 42 % จากกำไรสุทธิที่ 612 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565

 

จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ให้จ่ายเงินปันผล 0.13 บาทต่อหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.08 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ทำให้ต้องจ่ายอีก 0.05 บาท ต่อหุ้น ในวันที่ 17 เมษายน 2567” นายอภิชาติ กล่าวเพิ่มเติม

เกริก บุณยโยธิน

เกริก บุณยโยธิน

ผู้ก่อตั้งเวปไซต์แบ่งปันความรู้ด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์ในวงการอสังหาฯ พร็อพฮอลิค ดอทคอม..หลังจากที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการวนเวียน เข้าๆออกๆ ในสายงานด้านการตลาด และวางแผนกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ของบริษัทอสังหาฯ และเอเยนซีโฆษณาชั้นนำหลายแห่ง (โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องจับสลากเจอลูกค้าสายอสังหาฯทุกที)...จนถูกครอบงำโดยจิตใต้สำนึก ให้ถีบตัวเองออกจากกรอบการทำงานแบบเดิมๆ เพื่อออกมาจุดประกายความคิดที่ถูกต้อง และนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้กับกลุ่มคนที่สนใจในธุรกิจอสังหาฯ

เว็บไซต์

ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร

โซลเลซ พหลฯ-ประดิพัทธ์

นิว เวิร์ส กรุงเทพกรีฑา

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม...

28 February, 2024

นิว ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น

ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านมาพบกับโครงการคอนโดพร้อมอ...

30 January, 2024

ริธึ่ม เจริญนคร ไอคอนิค

วันนี้จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมสุดฮอตชื่อโ...

29 January, 2024

วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน

Whizdom Craftz Samyan คือโครงการที่มอบ 5 องค์ประกอบพ...

4 December, 2023

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง