ผู้บริหารรุ่นใหม่กับวิสัยทัศน์ที่ทันสมัยเป็นของคู่กันเสมอ คำกล่าวนี้เป็นจริงในแทบจะทุกกรณี ไม่เว้นแม้แต่บริษัทอสังหาที่มีภาพลักษณ์ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม อย่าง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม ก้าวเข้ามารับหน้าที่บริหารงานอย่างเต็มตัวต่อจาก “ท่านปรมาจารย์” ประทีป ตั้งมติธรรม สถาปนิกผู้ก่อตั้งอาณาจักรศุภาลัยมูลค่านับหมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นบิดา

ประสบการณ์ 7 ปีในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการของบริษัท คุณเต (ไตรเตชะ) ได้ค่อยๆสั่งสมประสบการณ์เรียนรู้วัฒนธรรมการทำงาน  ค่อยๆปรับค่อยๆเปลี่ยนสอดแทรกความทันสมัย เข้าไปในบริษัทส่งผ่านออกมาเป็น โครงการต่างๆที่ออกมาขายให้แก่ลูกค้าผู้สนใจ

ด้วยความที่เคยไปใช้ชีวิตศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ เมลเบิร์น ออสเตรเลีย มาหลายปี คุณเตรู้ดีถึงสิ่งที่ศุภาลัยเป็น ภาพลักษณ์มุมมองของคนภายนอกที่มองเข้ามา  “ล้าสมัย”  “เชย”  “กำแพงยักษ์”  “ป้าศุ”  “ยุงน้อยกว่า(เพราะหน้าต่างเล็กกว่า)”

ศุภาลัยจะเน้นขายของด้วยกลยุทธ์ ราคาต่อตารางเมตรถูกกว่า คุ้มกว่า อย่างเดียวไม่ได้

การปรับศุภาลัย องค์กรที่มีความชัดเจนด้านอนุรักษ์นิยมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ คุณเต ก็พยายามผลักดันทีละนิดทีละ step ทั้งฝ่าด่านความคิดของพนักงานอาวุโส ที่สำคัญต้องเอาชนะใจ ปลี่ยนนโยบายท่านปรมาจารย์ผู้เป็นบิดาให้สำเร็จ

จนถึงปัจจุบัน ความพยายามเหล่านี้เริ่มชัดเจน แบรนด์ศุภาลัยจึงเริ่มมีความทันสมัย มีความเป็นสากล มากยิ่งขึ้น

ในวัย 37 ปี และผลงานการบริหารบริษัทที่ประสบความสำเร็จ  คุณเต ไตรเตชะ ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย จนได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการผู้จัดการในที่สุด เมื่อไม่นานมานี้

ตัวผมเอง เคยพูดคุยกับคุณไตรเตชะหลายต่อหลายครั้ง เค้าเป็นผู้บริหารวัยหนุ่มที่มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ แม้กาลครั้งหนึ่ง เค้าจะเคยหล่นคำพูดประโยคอมตะที่ว่า “เราไม่ได้ทำอนุสาวรีย์ เราทำของขายไม่รู้จะทำสวยมากๆไปทำไม” ประโยคนี้หลุดออกมาหลังจากที่ผมถามเค้า เกี่ยวกับการdesign ตัวตึกที่ออกจะเชย 

“LPN มี The Lumpini 24 ที่สวยทันสมัยสุดๆ ศุภาลัยคิดจะทำบ้างหรือไม่ ? “

ผมเชื่อว่าคุณเต เปลี่ยนใจแล้ว เพราะโครงการศุภาลัยยุคหลังๆเริ่มมีการดีไซน์ที่มากขึ้น มีความเป็นอาคารที่ดูดีดูสวยดูเป็นปัจเจกมากขึ้นกว่า รูปทรงกำแพงยักษ์แบบเดิมๆ

ภาพโครงการศุภาลัย ลอฟท์ @สถานี ตลาดพลู

ภาพโครงการศุภาลัย ลอฟท์ @สถานี แคราย

แล้วมีอะไรที่ศุภาลัยเปลี่ยนไปบ้าง ?

แม้ว่าศุภาลัยจะมีนโยบายศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้คือ คงสัดส่วนกำไรขั้นต้น GPM (ราคาขายลบต้นทุนที่ดินค่าก่อสร้างค่าออกแบบ) ในระดับ TOP สุดของวงการที่  37-42%  และทำคอนโดออกมาขายในราคาที่เทียบต่อตารางเมตร ถือว่าถูกกว่าคู่แข่ง

แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องทำ product ออกมาต้นทุนต่ำๆของโหลๆเสมอไป

สิ่งที่ศุภาลัย new gen พยายามเพื่อให้ถึงเป้าหมายคือ การใช้นวัตกรรมเข้ามาลดต้นทุน การใช้กลยุทธ์ซื้อของเหมา lot ถูกกว่า การซื้อที่ดินแปลงใหญ่มาก แต่ราคาต่อตารางวาถูกลง ด้วยความพร้อมที่มากกว่าหลายๆเจ้าด้านเงินทุน และความกล้าคิดกล้าทำ ทำให้ศุภาลัยมักจะเก็บที่ดินแปลงใหญ่ ในทำเลที่ค่อนข้างดีได้ ในราคาที่สมเหตุสมผลเสมอ  ซึ่งราคาที่ดินนี่แหละ คือต้นทุนหลักของอสังหาริมทรัพย์ ที่ศุภาลัยประหยัดได้

ยกตัวอย่าง แปลงที่ดินโครงการ Supalai Riva Grande ศุภาลัยกล้าที่จะซื้อที่ดินแปลงสวยขนาดใหญ่ ที่ดีเวลลอปเปอร์ รายอื่นไม่กล้าซื้อ สาเหตุหลักๆคือ ในที่ดินมีโครงสร้าง ปล่องลิฟท์ตั้งตระหง่านในที่ดิน 4 แท่งยักษ์สูงหลายสิบชั้น แค่การทุบเสาทิ้งต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี และเงินอีกมหาศาล

ภาพโครงการ Supalai Riva Grande

ศุภาลัยยังซื้อตึกอพาร์ทเมนท์เก่าแถวนเรศ มาทุบทิ้งทำคอนโด Supalai Elite Surawong

ศุภาลัยกล้าประมูลที่ดินรัชดาในตำนาน เข้ามาทำโครงการขนาดใหญ่อย่าง Supalai Wellington

การทำ Branding และการสร้าง sub brand ใหม่ๆ

2-3 ปีหลัง ศุภาลัยเริ่มมี sub brand ชื่อฟังดูทันสมัย ออกแบบ logo เป็นแบบยุคใหม่ ใช้คำภาษาอังกฤษเท่ห์ๆอย่าง LITE , LOFT ,CUTE ,ELITE , MODA , BELLA , VERANDA ดึงดูดความสนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ยุคนี้สมัยนี้มีบทบาทในการตัดสินใจเรื่องต่างๆในครอบครัวมากขึ้น

ตัว Brand ศุภาลัยเอง ก็ยังพยายามปรับฉีกจากภาพเดิมๆ แค่ slogan ศุภาลัย=บ้านที่ดี มันยังไม่เพียงพอ 

ศุภาลัย The Next Gen เลือกที่จะเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนหลักของรายการประกวดร้องเพลง ยอดนิยมขวัญใจวัยรุ่นอย่างรายการ The STAR ค้นฟ้าคว้าดาว โดยส่วนตัวชอบในหมากตานี้ของทีมผู้บริหารมากครับ เพราะรายการ The Star มีภาพลักษณ์ที่ดี มีความทันสมัย  ยิ่งการเอาผู้เข้ารอบทั้ง 12 คนเข้าไปถ่ายทำรายการในบ้านของศุภาลัย ผมว่าตรงจุด ซื้อใจแฟนๆผู้ชมที่ติดตามได้พอสมควร ประชากร NEW GEN ที่เคยมองข้ามแบรนด์นี้ จะได้หันกลับมามอง

เครดิตภาพ: Facebook Supalai Society

เมื่อรวมถึงการเข้าซื้อตึกอาคารสำนักงานใจกลางฟิลิปปินส์ การเข้าร่วมลงทุนกับโครงการขนาดใหญ่ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย  ทำให้แบรนด์ของศุภาลัย มีความเป็นสากล มีความ International  เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้น

เครดิตภาพ: ศุภาลัยรุกอสังหาฯ ในออสเตรเลีย

แต่การสร้างแบรนด์ของศุภาลัยไม่ได้มีเพียงเท่านี้ !!!!!

การพัฒนาบ้านและคอนโด ที่เป็นสินค้าของบริษัทต่างหาก ที่สำคัญที่สุด คอนโดตัวหลังๆในเซกเมนท์กลางถึงบนของศุภาลัย มีการออกแบบที่ดีขึ้น มี concept ในการออกแบบในแต่ละโครงการ ไม่ได้ออกแบบเป็นกำแพงยักษ์ใส่หมวกเหมือนตัวเก่าๆ

ที่ชัดเจนมากๆคือ คอนโดที่อยู่ภายใต้ sub brand ที่มีชื่อว่า “ SUPALAI ELITE ” (ศุภาลัย เอลีท)

Supalai Elite คือแบรนด์คอนโดตัว top สุดของศุภาลัย ที่ศุภาลัยตั้งใจให้เป็นแบรนด์สร้างชื่อสร้างผลงาน เริ่มคิดจะทำ landmark ขึ้นมากับเค้าบ้างแล้ว

ตัวแรกอย่าง Supalai Elite สาทร-สวนพลู ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี  แต่หลายๆคนรวมทั้งผมด้วย ผิดหวังกับการออกแบบที่ทำออกมา จับกลุ่มตลาดลูกค้าวัยเก๋าที่มีอายุพ้นวัยกลางคน feedback ที่ส่งกลับไปถึง ทำให้ศุภาลัย ภายใต้ร่มเงาของผู้บริหารวัยหนุ่ม ปรับรูปแบบให้ Supalai Elite 2 โครงการที่ตามมาอย่าง Supalai Elite พญาไท และ Supalai Elite Surawong  ดูหนุ่มขึ้น รูปทรงตึกเพรียวสูงขึ้น spec ที่โครงการให้มาที่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงชัดๆคือ ความสูงของเพดานที่ให้มากถึง 3 เมตร กระจกหน้าต่างที่ใหญ่สะใจ และแอร์ฝังฝ้า

เมื่อมาถึง Supalai Elite ตัวล่าสุดอย่าง Supalai Elite สี่พระยา ศุภาลัยก็พัฒนารูปแบบไปอีกขั้น ตัวตึกดูดีขึ้นกว่าของเดิม มีลูกเล่นของการออกแบบที่แปลกตาออกไป โดยเฉพาะอาคารจอดรถพร้อมสโมสร เป็นอาคารแยกออกมาที่ด้านหน้าโครงการ มีการดีไซน์ที่จัดเต็มทั้ง Vertical Green Wall รวมถึง Rooftop facilities ขนาดใหญ่ที่มีทั้ง สระว่ายน้ำ, จากุซซี่, สระเด็ก, ฟิตเนส และ Playground 

การเปิดตัวโครงการ Supalai Elite Siphraya (ศุภาลัย เอลีท สี่พระยา) นับว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญที่กำลังจะบอกแก่กลุ่มแฟนคลับของศุภาลัย รวมถึงกลุ่มคนในวงการว่า นับจากนี้ไปศุภาลัยกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นรายสำคัญในตลาดบน ด้วยจุดแข็งที่สำคัญ และยากที่จะมีใครเลียนแบบได้คือ “การขายแบบดับเบิ้ลพื้นที่ แต่ราคาหารครึ่ง” หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือลูกค้าสามารถที่จะซื้อโครงการตัวท๊อปของศุภาลัยได้ ในราคาที่ถูกกว่าตัวท๊อปของแบรนด์อื่นเกือบ 1 เท่า หรือถ้าราคาเท่ากันก็ได้ห้องที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 เท่าตัว

ศุภาลัย เอลีท สี่พระยา นั้นมีมูลค่าโครงการที่สูงถึง 2,500 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า  2  ไร่ ริมถนนสี่พระยา ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยมีระดับมาตั้งแต่อดีต ในปัจจุบันทำเลนี้ยังมีจุดเด่นถึง 2 รูปแบบด้วยกัน คือนอกจากจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ด้านการคมนาคมที่สำคัญ  โดยเชื่อมต่อทุกการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว  ใกล้รถไฟฟ้า MRT สามย่าน ใกล้จุดขึ้นทางด่วนด่านสุรวงศ์และพระราม 4  อีกทั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ  ใกล้แหล่ง  CBD ศูนย์กลางธุรกิจ สาทร สีลม สุรวงศ์ พระราม 4 วิทยุ สุขุมวิท อโศก  ยังเป็นจุดเชื่อมต่อโลกการศึกษา ซึ่งแวดล้อมด้วยสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงจำนวนมากทั้งภาครัฐและเอกชน ตามสโลแกนของโครงการคือ “เชื่อมโลกธุรกิจและโลกการศึกษา ไว้ใกล้ตัวคุณ”

แน่นอนว่าถึงแม้ทำเลของโครงการนี้จะไม่ได้อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้าในระยะที่เดินได้เหมือนกับหลายๆโครงการที่เกาะอยู่บริเวณ MRT สามย่าน โดยโครงการตั้งอยู่ห่างจากสถานี MRT สามย่านประมาณ 750 เมตร แต่เชื่อว่าด้วยราคาของโครงการที่ขายในราคาเริ่มต้นตรม.ละ 98,000 บาท และมีราคาเฉลี่ยที่ตรม.ละ 110,000 บาท พ่วงด้วยส่วนลด ณ วันโอนอีกราวๆ 300,000 – 700,000 บาท ย่อมทำให้มีกลุ่มลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในทำเลที่ทั้งใกล้สามย่าน และสีลม ยอมที่จะทิ้งปัจจัยในเรื่องระยะเดินจากรถไฟฟ้าไปได้ เพราะราคาต่อตารางเมตรนั้นต่างกันมากพอสมควร ที่สำคัญโครงการ ศุภาลัย เอลีท สี่พระยา ยังมีที่จอดรถรวมทั้งโครงการถึง 86% (ภายในอาคาร 295 คัน และที่จอดเพิ่มเติม 35 คัน) ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบรรดาทุกคอนโดที่เกาะแนวถนนสี่พระยา-สามย่าน

การมาของแบรนด์เอลีท ในทำเลที่หลายต่อหลายคนสงสัยไม่น้อยว่า เหตุใดศุภาลัยจึงเลือกที่จะเปิดโครงการที่มีรหัสแบรนด์แบบเดียวกัน ในทำเลที่ใกล้เคียงกับโครงการรุ่นพี่อย่าง ศุภาลัย เอลีท สุรวงศ์ (ที่ตอนนี้มียอดขายราวๆเกือบ 70%) ซึ่งทางคุณไตรเตชะเองก็ได้ให้คำตอบมาอย่างน่าคิด 2 ประการว่า 1. กลุ่มลูกค้าในทำเลนี้ค่อนข้างพอใจกับแบรนด์เอลีท รวมถึงราคา และ 2. ณ ปัจจุบันนี้ ห้องที่มีขนาดต่ำกว่า 60 ตารางเมตรของโครงการศุภาลัย เอลีท สุรวงศ์ นั้นมียอดขายที่ดีมาก และขายไปแทบจะหมดแล้ว…ซึ่งจากเหตุผลนี้เองจึงทำให้โครงการ เอลีท สี่พระยา มีการออกแบบห้องที่มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่ศุภาลัยเคยทำมา คือขนาด 41.5 ตารางเมตร โดยที่ห้องขนาด 1 ห้องนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเพียงแค่ 55 ตารางเมตรเท่านั้น ในขณะที่ห้องขนาดใหญ่สุดอย่างขนาด 85 – 139 ตารางเมตร ก็ถูกจัดวางเอาไว้บนชั้น 34-35 เพียงไม่กี่ยูนิต

ผมว่าศุภาลัยตัวนี้ เมื่อเทียบกับ spec หน้าตาตึก ทำเลและราคาขายต่อตารางเมตรถือว่า โอเคน่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ก็มีหลายจุดที่ผมติดใจเป็นการส่วนตัว อย่างเช่นเฟรมอลูมิเนียมอบขาว  หรือการที่โถงทางเดินไม่มีช่องแสง และช่องระบายอากาศ

การจะทำแบรนด์ เอลีท ให้เป็นตัวท๊อปอย่างแท้จริง ผมคิดว่าศุภาลัยควรใช้ กลยุทธ์การสร้างโครงการ The Lumpini 24 ของ LPN มาเป็นแนวทางปฏิบัติ เริ่มจากการจ้างสถาปนิกที่มีชื่อเสียง มาออกแบบหรืออย่างน้อยมาเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมออกแบบของศุภาลัย ผมว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาสามารถเอาเพิ่มราคาขายได้มากกว่านั้นเป็นเท่าทวีคูณ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุควรจะอัพเกรดกว่านี้ ถ้าจะจับใจคน GEN C ได้ อย่างเช่นกรอบอลูมิเนียมหรือ บานประตูห้องพัก

ที่สำคัญ การขายคอนโดต้องคำนึงถึงเมื่อสร้างเสร็จ มีคนอยู่อาศัยไปซักระยะ การออกแบบแบบ sustainable จะชะลอความเก่า คงความน่าอยู่ไปได้มาก อย่างเช่นโถงทางเดินต้องสว่างมีแสงธรรมชาติเข้าถึงระบายอากาศได้  มีพื้นที่สีเขียวสวยๆ  และ landscapeดีๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คอนโดตัวต่อไปของศุภาลัย ในทำเลพรีเมียม อย่าง ท้ายซอยสุขุมวิท39 / เชิงสะพานพระราม 8 / แถวไอคอนสยาม  คุณไตรเตชะ จะพัฒนาโครงการให้น่าสนใจยิ่งขึ้น รวมถึงมีการปรับภาพลักษณ์เดิมๆ งานสถาปัตยกรรมที่ดูเชยๆ ผนัง vertical garden ทาสีเขียว ที่เคยนำมาใช้กับโครงการศุภาลัย Wellington ได้นะครับ

“ศุภาลัย เอลีท สี่พระยา” เปิดจอง ในวันที่ 8 – 12 มิถุนายน 2559 ณ ชั้น 1 เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมรับของแถมและส่วนลดพิเศษได้ภายในงานดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1720 กด 95 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.supalai.com