ภูเก็ต แซนด์บอกซ์: ได้ผล หรือ พลาดเป้า?
โครงการภูเก็ต แซนด์บอกซ์ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ในฐานะต้นแบบสำหรับการเปิดประเทศของไทย แต่โครงการนี้ก็มาพร้อมกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หลายประการ ซึ่งถ้าการปฎิบัติและผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนดไว้ โครงการก็จะถูกยกเลิก ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ให้ความเห็นว่า ข้อกำหนดที่มีความซับซ้อนสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามา เช่น การขอหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศ (Certificate of Entry: COE) ขั้นตอนการตรวจสอบเรื่องวัคซีน และข้อกำหนดในการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ที่ต้องตรวจหลายครั้ง อาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้ามาลดลง
นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย รายงานว่า ในปี 2562 เฉพาะภูเก็ตเพียงจังหวัดเดียวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับเกาะแห่งนี้ราว 3.93 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 89% ของรายได้จากการท่องเที่ยวในภูเก็ต ในปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูเก็ตมีทั้งหมดราว 4 ล้านคน ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า 400,000 คน โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม 2564 จำนวนนักท่องเที่ยวในภูเก็ตมีเพียง 358,891 คน ซึ่งต่างกันเกือบ 86% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563 ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยจึงเปิดตัวโครงการภูเก็ต แซนด์บอกซ์เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
“พื้นที่ในป่าตอง กะรน และกะตะ ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักกำลังถูกทิ้งร้าง โรงแรม ร้านอาหาร และคอมมูนิตี้มอลล์ต่างปิดให้บริการชั่วคราว นอกจากนี้ สถานบันเทิงยามค่ำคืนในภูเก็ตยังถูกจำกัดเวลาให้เปิดบริการได้ไม่เกิน 23.00 น. ซึ่งก็มีลูกค้าเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น พื้นที่ค้าปลีกต่าง ๆ ถูกทิ้งให้ว่างเปล่าเพราะผู้เช่าหลายรายย้ายออก และเจ้าของพื้นที่มีความยากลำบากในการหาผู้เช่ารายใหม่ แม้แต่ในสนามบิน มีเพียงร้านอาหารที่เป็นแบรนด์เท่านั้นที่ยังอยู่รอด” นางสาวประกายเพชร มีชูสาร หัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดินแหล่งพักตากอากาศ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ซึ่งประจำอยู่ที่ภูเก็ต ให้ข้อมูล
ตลาดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ ตลาดโรงแรม ซึ่งปัจจุบันอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกับการระบาดโควิด-19 ระลอกแรก