PropTrip: 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจ AP Thailand & Mitsubishi Estate…จากก้าวแรกของคำว่ามิตร สู่หลักไมล์ของความใกล้ชิดที่แนบแน่นยิ่งกว่ามิตรภาพ

เกริก บุณยโยธิน 11 August, 2023 at 10.26 am

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


ย้อนกลับไปเมื่อราวระหว่างปี 2015 – 2019 (พ.ศ. 2558 – 2562) ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ตัวผมเองค่อนข้างแวะมาญี่ปุ่นบ่อยครั้งมากครับ และส่วนใหญ่ก็เป็นการแวะมาทำงานด้วย เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวจัดว่าเป็นช่วงพีคสุดๆของการจับมือกับพัฒนาโครงการอสังหาฯในไทยในรูปแบบ JV ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำสัญชาติญี่ปุ่น กับดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ชาวไทยแทบจะทุกรายครับ ซึ่งนอกจากทางฝั่งไทยจะได้อานิสงค์ในส่วนของเม็ดเงินลงทุน การทำ Co – Branding เพื่อให้เกิด Worldwide Reputation และ Know How บางอย่างแล้ว ทางฝั่งญี่ปุ่นเองนอกเหนือจากผลตอบแทนที่มากกว่าการพัฒนาโครงการในประเทศตัวเองแล้ว เค้าก็ย่อมอยากจะสื่อสาร และอวดศักยภาพให้คนไทยที่สนใจในโครงการอสังหาฯได้เห็น ได้เข้าใจด้วยตัวเองว่า ความน่าสนใจ และความยิ่งใหญ่ในการพัฒนาโครงการในบ้านเค้าเองนั้นเป็นอย่างไร เมื่อรวมกับการที่มีดีมานท์จำนวนหนึ่งที่อยากจะไปซื้อคอนโดในญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้ผมได้รับหมายเชิญเพื่อให้ไปเยี่ยมชมธุรกิจ รีวิวโครงการ ไปแถลงข่าวการเปิดตัวโครงการที่ญี่ปุ่น รวมไปถึงการจัดทริปเพื่อศึกษาดูงาน มาอย่างสม่ำเสมอเลยล่ะครับ (ย้อนคิดถึงช่วงเวลาเมื่อก่อนแล้วก็รู้สึกว่ามันมีความสนุกตื่นเต้นมากกว่าตอนนี้เยอะเลย) และในปี 2023 นี้หลังจากที่การดำเนินชีวิตของชาวโลกเริ่มกลับเข้าสู่โหมด Next Normal อีกครั้ง ประจวบกับเป็นช่วงเวลามหามงคลฤกษ์ ก้าวย่าง 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่าง ‘เอพี’ – ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ ที่จับมือกันแน่นในการเดินหน้าโกยความสำเร็จในการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องมากที่สุด ซึ่งปัจจุบัน AP-MEC ร่วมกันพัฒนาคอนโดมิเนียมในไทยมาแล้วมากถึง 23 + 1 โครงการ (ยังมีอีก 1 โครงการที่ยังไม่เปิดเผยข้อมูลข้อมูล) คิดเป็นมูลค่าโครงการสูงกว่า 111,304 ล้านบาท และหากรวม 24 โครงการจะเป็น 116,300 ล้านบาท)ทางเอพี ก็เลยถือโอกาสนี้พาทีมงานนักข่าวมาถึงสำนักงานใหญ่ของ Mitsubishi Estate Residence ที่กรุงโตเกียว เพื่อเป็นสักขีพยานในการ ร่วมเฉลิมฉลอง และรับฟังวิสัยทัศน์ แผนงานในอนาคตสู่ความสำเร็จและการเติบโตร่วมกันอย่างไม่สิ้นสุด จากผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่ายครับ รายละเอียดจะเป็นอย่างไร รวมไปถึงทาง Mitsubishi Estate เค้าจะมีโครงการอะไรมาอวดให้เราดูบ้าง ขอเชิญมาอ่านกันในแบบยาวๆเพลินๆตามสไตล์ผมได้เลยครับ

ก่อนอื่นต้องบอกว่าการเป็นพันธมิตรกันระหว่าง 2 บริษัทนี้เค้าค่อนข้างชัดเจน และเป็น Win – Win Solution ครับ แน่นอนว่าทาง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ในฐานะที่เป็นผู้นำในประเทศเค้าก็ย่อมอยากที่จะมาลงทุนพัฒนาในทุกกลุ่มธุรกิจที่เป็นอสังหาฯอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น โครงการที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน รวมไปถึงพื้นที่ค้าปลีกครับ แต่ในเมืองไทยต้องยอมรับว่าทางเอพี เค้ามี Core Competency ในส่วนของโครงการที่พักอาศัยมากกว่าโครงการในรูปแบบอื่นๆ ดังนั้นเราจึงเห็นการจับมือกันร่วมพัฒนากับเอพีเพียงแค่โครงการที่พักอาศัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งทางเอพีเค้าก็ไม่ได้ปิดกั้น หรือผูกกันเป็นข้าวต้มมัดกับทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ว่าจะต้องมาฝืนพัฒนาโครงการอื่นๆที่ไม่ถนัดร่วมกันนะครับ อันนี้ถือว่า Fair และเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ชาญฉลาดมากสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย โดยในกลุ่มอสังหาฯประเภทอาคารสำนักงานเราจึงเห็นทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ไปจับมือกับทางไรมอน แลนด์ เพื่อพัฒนาโครงการ OCC ที่เพิ่งเปิดการใช้งานไป และในส่วนของพื้นที่ค้าปลีกทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ปเค้าก็ไปร่วมพัฒนาโครงการเซ็นทรัลวิลเลจ เอาต์เล็ตมอลล์ กับทาง CPN ที่แม้ว่าทาง CPN จะมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการค้าปลีกมาแล้วรอบโลก แต่ในเรื่องของห้างเอาต์เล็ตก้ต้องบอกว่า ทางมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป เค้ามีประสบการณ์มากกว่ากับ 9 โครงการในญี่ปุ่นครับ…ดังนั้นภาพของการเป็น JV กับทางเอพีก็คือชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะร่วมมือกันเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งผมว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทั้งเอพี และมิตซูบิชิ เอสเตท ยังคงผูกปิ่นโตกันพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่าใครเพื่อนเลยครับ

 

ทั้งนี้ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ MEC หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว MEC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว พ.ศ.2496 ดำเนินงานครอบคลุมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย (Residential Properties) ธุรกิจโครงการสำนักงาน (Office Buildings) ธุรกิจศูนย์การค้า (Retail Properties) และธุรกิจโรงแรม (Hotel Business) ซึ่งทุกโครงการมีความโดดเด่นในด้านคุณภาพ การออกแบบสถาปัตยกรรม และการบริหารพื้นที่ใช้สอยอย่างยั่งยืน โดยทีมออกแบบ ทีมควบคุมคุณภาพ และทีมสถาปนิกในเครือบริษัท Mitsubishi Jisho Sekkei (MJS) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ และบริหารอสังหาริมทรัพย์

 

ผลงานที่เห็นได้อย่างชัดเจนในกรุงโตเกียว คือ การพัฒนาโครงการสำนักงานกว่า 30 โครงการ และเป็นผู้พัฒนาเขตธุรกิจสำคัญใจกลางโตเกียว เช่น เขต Marunouchi มานานกว่า 120 ปี โดย Marunouchi เป็นเขตธุรกิจสำคัญที่มีครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,200,000 ตารางเมตร (120 hectares) ประกอบด้วย อาคารสำนักงานกว่า 100 อาคาร จำนวนกว่า 4,000 บริษัท และมีพนักงานกว่า 230,000 คน นอกจากนี้ MEC ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 50 ปี อีกทั้งยังเข้าลงทุนพัฒนาโครงการในหลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศในกลุ่มเอเชีย โดยการดำเนินงานผ่านบริษัท MEA ประเทศสิงคโปร์

 

พลิกปูมดีลประวัติศาสตร์ AP x Mitsubishi Estate Group

ที่มาภาพ: mgronline.com

เมื่อวันที่ 16 ธค. 2556 เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาดอสังหาฯเมืองไทย จากการประกาศของบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ว่าได้เข้าร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (Mitsubishi Estate Group) องค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีมูลค่าสินทรัพย์เป็นอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น (ณ ขณะนั้น) โดยการร่วมทุนครั้งนี้ดำเนินการภายใต้การลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท MEC Thailand Investment Pte.Ltd (MTI) ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดย บริษัท Mitsubishi Estate Asia Pte. Ltd. (MEA) และ Mitsubishi Jisho Residence Co., Ltd. (MJR) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Mitsubishi Estate Co., Ltd. (MEC) เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม ผ่าน 3 บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (สุขุมวิท) จำกัด (APSK) บริษัท เอพี (พระราม 9) จำกัด (AP9) และบริษัท เอพี (นนทบุรี) จำกัด (APN) มูลค่ากว่า 7,500 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นของแต่ละบริษัทในอัตรา AP 51% : MTI 49%

 

ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Ripple Effect ย่อยๆต่อธุรกิจอสังหา ที่ส่งผลต่อเนื่องให้ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ส่วนหนึ่ง เปิดประเทศต้อนรับการหลั่งไหลเข้ามาทุนญี่ปุ่นนับสิบราย ที่ทยอยต่อคิวเข้ามาสร้างฐานการลงทุนในไทย เพื่อเป็นการทำ Investment Diversification ทดแทนการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯภายในประเทศญี่ปุ่น ที่ตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่ค่อยคุ้มค่ากับการลงทุนเท่าไหร่มานับสิบปี โดยเหตุผลที่เอพีให้เอาไว้เกี่ยวกับข้อดีของการร่วมกันพัฒนาโครงการ JV ในส่วนของโครงการ Residential ว่า ไม่ได้คาดหวังในเรื่องของเงินทุน เพราะไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินที่พัฒนาโครงการ แต่ต้องการพันธมิตรที่มาต่อยอดในการบริหารโครงการการก่อสร้างหรือในเรื่องของเทคโนโลยีมากกว่า ซึ่ง Mitsubishi Estate Group ถือว่าเป็นผู้ที่ชำนาญและทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรทุกด้าน ทั้งการก่อสร้าง การบริหารโครงการ การจัดและดีโซน์โครงการที่มีห้องขนาดเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เอพีมีความต้องการ…โดยโครงการล๊อตแรกที่เป็นผลผลิตมาจากการร่วมทุนก็ค่อนข้างมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นเยอะนะในสายตาผม โดยเฉพาะกับโครงการ RHYTHM Asoke II (ในปี 2557 มีโครงการร่วมทุนล๊อตแรกทั้งหมด 3 + 1 โครงการคือ RHYTHM Sukhumvit 36 – 38, RHYTHM Asoke II, Aspire รัชดา – วงศ์สว่าง และ Aspire สาทร – ท่าพระ)

สำหรับโครงการ RHYTHM Asoke II นับว่าเป็นแบรนด์ RHYTHM ที่มีการออกแบบและขนาดเลย์เอาท์ห้องที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนกับเอพี โดยห้องที่มีขนาดใหญ่สุดจะเป็น 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดประมาณ 42 ตรม.เท่านั้น แถมยังไม่มีพื้นที่ระเบียงอีกต่างหาก แต่มีพื้นที่สำหรับวาง CDU Air พร้อม Grill ปิดบังสายตาไว้ให้เท่านั้นเอง ซึ่งได้นำปรัชญาการออกแบบของทางญี่ปุ่น “less is more” ก่อเกิดเป็นรูปทรงที่เรียบง่าย ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ขณะเดียวกัน ยังพรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย มาประยุกต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนไทย ผ่านนวัตกรรมฟังก์ชันดีไซน์ใหม่ๆ เพื่อให้ทุกตารางนิ้วสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด โดยสิ่งที่แปลกตาคนไทย แต่ดูทั่วไปในสายตาคนญี่ปุ่นก็คือการจัดวางห้องนอน 2 ไว้ส่วนหน้าของห้องพัก การออกแบบห้องน้ำส่วน Powder ให้สามารถใช้งานร่วมกันได้สะดวก รวมไปถึงการลดทอนพื้นที่ระเบียงที่คอนโดในญี่ปุ่นนับเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อขยายพื้นที่การใช้งานภายในห้องให้มากขึ้น

นอกจากนี้ในส่วนของการออกแบบ Façade อาคาร ก็ยังดูเป็นญี่ปุ่นมากกับ Feature Wall ลายอิฐ สลับกับหินธรรมชาติ และไม้ระแนง ที่เรามักจะเห็นทั่วไปตามอาคารพักอาศัยที่ญี่ปุ่น ตามแนวคิด KOHJI & SHOJI – GRID & LINE ด้วยการใช้ Grid & Line มาประยุกต์ในงานออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นคำว่า Kohji หมายถึง จังหวะ เช่น เส้นไม้ระแนงที่ซ้ำกันต่อเนื่องแบบเป็นจังหวะ และ Shoji หมายถึง ผนังบานเลื่อน, หน้าต่าง หรือบานประตู ที่จัดเรียงให้เกิดความลงตัว สร้างความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น และภายในโครงการยังได้ออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวเพื่อให้ลูกค้าใกล้ชิดธรรมชาติได้มากขึ้น ด้วยการผสมผสานแนวคิดการออกแบบ Lobby และพื้นที่ส่วนกลางโครงการตามหลัก “ENGAWA” – INSIDE OUT, OUTSIDE IN ซึ่งเป็นหนึ่งในการออกแบบที่ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงพื้นที่ภายนอก และภายในให้มีความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกัน ผู้อาศัยสามารถสัมผัสความรู้สึกโปร่งสบายใกล้ชิดธรรมชาติ

 

ขอบคุณที่มาภาพและแปลนจาก https://www.homenayoo.com/rhythm-asoke-2/

พร้อมสานต่อโรดแมป FROM STRENGTH TO STRENGTH ผสาน 2 จุดเด่นกลายเป็น จุดแข็งสร้างการเติบโตที่ไม่สิ้นสุด แกร่งกว่าทุกการร่วมทุนในอุตสาหกรรมด้วยเม็ดเงินลงทุน ผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนที่มากถึง 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท) แบ็กอัปสำคัญดันแผนพัฒนาโครงการในอนาคตโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49 เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)

“…บริษัทขอขอบคุณบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท ที่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่ง และคสามสามารถในการแข่งขันของเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ รวมถึงเชื่อมั่นใน Process การทำงานสำคัญที่ถือว่าเป็นกลไกในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตในระยะยาว ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49 เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)  อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการให้แรงบันดาลใจกับพนักงานเอพี ไทยแลนด์ สู่การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อยกระดับให้สินค้าและบริการตอบโจทย์ชีวิตดีๆ ที่ลูกค้าเลือกเองได้” คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์

เหนือสิ่งอื่นใด ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ยังได้มีส่วนร่วมสร้างคุณูปการให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยทั้งในมิติ ด้านเม็ดเงินลงทุน ที่ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการจ้างงานกับคู่ค้ามากกว่า 100 บริษัทที่อยู่ในระบบ Ecosystem ของอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในมุมมองการดำเนินธุรกิจและคืนกลับสู่สังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะดำเนินการสร้างคุณูปการเช่นนี้มอบคืนให้กับสังคม

ทั้งนี้ในโอกาสครบรอบหนึ่งทศวรรษความร่วมมือ เอพี ไทยแลนด์ – มิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุนเจาะที่ดินแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 24 โปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท ทุกโครงการมีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งมิติด้านการขายและโอนกรรมสิทธิ์ โดยสร้างผลงานปิดการขาย (Sold Out) ไปแล้วทั้งสิ้น 13 โครงการ คงเหลือโปรเจกต์ร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ (มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท) มียอดขายเฉลี่ยทุกโครงการรวมกันประมาณ 60% หรือคิดเป็นมูลค่าสินค้าพร้อมขายที่ 20,375 ล้านบาท

สำหรับโครงการร่วมทุนที่เป็นไฮไลท์ในช่วงโค่งสุดท้ายของปีนี้ นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังนี้ เอพี ไทยแลนด์ – มิตซูบิชิ เอสเตท พร้อมส่ง 2 โครงการ MASTERPIECE บิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี ใน 2 ที่ดินแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก เตรียมเปิดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯ พร้อมเข้าอยู่ใหม่ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ ที่สุดของความละเมียดละไมอันทรงคุณค่า และความพิถีพิถันเพียงหนึ่งเดียว บนที่สุดของทำเลที่ดินผืนงามใจกลางมหานคร (150 เมตรจาก BTS ราชเทวี) พร้อมเผยโฉมความสวยงามสะดุดทุกมุมมองเป็นครั้งแรก ห้องชุด 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท เตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 – 27 สิงหาคมนี้

“อีกหนึ่งไฮไลต์คือการเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค บนที่ดินขนาด 4 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ริมถนนเจริญนคร ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง ‘เจริญนคร’ เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ชูความพิเศษต้นแบบการพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แนวคิด SUPER CONDOMINIUM ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว ผ่าน 3 มิติหลัก ได้แก่ (1) SUPER DESIGN ที่สุดของเอกลักษณ์การออกแบบให้เกิดความลงตัวครบในทุกมิติ ทั้ง SUPER SPACE UTILIZATION และ SUPER TIMELESS DESIGN ELEMENTS โดดเด่นทุกองค์ประกอบ (2) SUPER RADIUS บนทำเลที่ตั้งโครงการสุดไพร์ม ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อม GLOBAL DESTINATION เชื่อมต่อประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก ในรัศมีเพียง 100 เมตร และ (3) SUPER BLUE CHIP ที่สุดของคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม สะท้อนผ่านแบรนด์และการพัฒนาโครงการให้เป็นแลนด์มาร์กคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ที่ดีที่สุด เป็นต้น เตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้” นางสาวกมลทิพย์ กล่าวสรุปท้าย

AP Inclusive Living กับแนวทาง การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน”

 

สำหรับวิสัยทัศน์ แผนงานในอนาคตของทั้งสองฝ่ายนั้น จัดได้ว่าเข้มข้นสมกับเป็นการฉลองสายสัมพันธ์ 10 ปีเลยทีเดียว เพราะคงยากจะปฎิเสธว่าเบื้องหลังในการสร้างสถิติ นิวไฮในทุกมิติ ที่มีมาอย่างต่อเนื่องของเอพีนั้น ส่วนหนึ่งมาจากแรงซัพพอร์ตที่ดีของทางมิตซูบิชิ เอสเตท โดยแผนงานที่วางเอาไว้ก็ยังคงมีความ Alignment กันกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้แผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน ด้วยแผนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการขยายภาคธุรกิจ โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ที่ยังคงสอดคล้องไปกับพันธกิจ ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ผ่าน 3 KEY STATEGIES สำคัญ คือ Dive Deeper in Property Business , Hatch New Business และ People and Social…ซึ่งจากที่ฟังถ้อยแถลงของผู้บริหารทั้ง 2 ฝั่ง ก็ค่อนข้างชัดเจนในระดับหนึ่งว่าในปีนี้ และปีถัดๆไปความเป็นคีย์เวิร์ดของคำว่า Inclusive Living จะถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดหลักในการพัฒนาโครงการ และการออกแบบที่อยู่อาศัยที่เน้นคุณค่าต่อการใช้ชีวิตร่วมกันของผู้คน สภาพแวดล้อม และสังคมเป็นหลัก จากการมองความท้าทายร่วมสมัยของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯว่าคือ “การออกแบบและพัฒนาพื้นที่ที่เข้าถึงความต้องการของทุกคน” โดยเฉพาะในการอยู่อาศัยบนคอนโด ที่ต้องการพื้นที่ส่วนกลาง สภาพแวดล้อม ตลอดจนประสบการณ์การใช้งานในแต่ละสเปซแต่ละช่วงเวลา ที่รองรับทุกมิติความต้องการและอำนวนความสะดวกต่อการอยู่อาศัยร่วมกันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบายและครบครัน ที่ทุกคนก็ต่างมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ชอบแตกต่างกันไป

 

ในส่วนของการศึกษาดูงาน เอพีเริ่มทริปด้วยการพาเราไปดูจุดชมวิวที่เป็น landmark แห่งใหม่ของโตเกียว อย่าง Shibuya Scramble Square (จริงๆก็ไม่ค่อยใหม่มากเพราะเค้าเปิดตัวไปตั้งแต่ปลายปี 2019 แล้ว แต่เราไม่ได้มาตอนช่วงนั้นเลยต้องทิ้งห่างไปนานเลย…ฮา) ซึ่งที่นี่มีทั้งความเหมือนและความต่างจากจุดชมวิวที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าง Tokyo Skytree ที่มีความสูง 634 เมตร และ Tokyo Tower ที่มีความสูง 332.6 เมตรครับ กล่าวคือ ที่ Tokyo Skytree จะได้วิวสูงสวยที่สุด มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเยอะ ส่วนที่ Tokyo Tower ก็จะได้บรรยากาศของความคลาสสิคมากกว่า ได้วิวที่เตี้ยกว่า เพราะจุดชมวิวจะอยู่ที่ระดับ 150 และ 250 เมตร แต่ไม่มีอะไรเลยนะนอกจากที่ชมวิวโล่งๆแถมคนส่วนใหญ่มักชอบที่จะถ่ายรูปโดยมี Background เป็น Tokyo Tower มากกว่าขึ้นไปอยู่บนนั้น ในขณะที่จุดชมวิว Shibuya Sky ที่อยู่ในโครงการ Shibuya Scramble Square จะดู Lively มีกิจกรรมให้ทำแบบ Outdoor Area มีความเป็น Good Vibes ที่มากกว่า

โดยโครงการ Shibuya Scramble Square นับว่าเป็นอาคาร Mixed Use ที่สูงที่สุดในย่าน Shibuya ด้วยความสูงถึง 229 เมตร จำนวน 47 ชั้น แม้ว่าในแง่ของวิวที่ได้อาจจะดู Drop กว่าชุดชมวิวทั้ง 2 แห่งที่เราคุ้นเคย แต่ที่นี่มีไฮไลท์เด็ดเป็นการออกแบบพื้นที่ให้นั่งชิล เดินชิล ได้ยาวนานแบบเพลินๆ มีร้านค้า ร้านอาหารแน่นมาก โดยบริเวณที่วัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมมานอนเล่นถ่ายรูปกันก็คือลานจอดเฮลิคอปเตอร์ โซน Indoor บนชั้น 46 ที่มีการจัดแสงไฟ และ Interactive Display เก๋ๆเช่นเดียวกับก็โซน Sky Bar อย่าง The Roof Shibuya Sky ครับ (เสียเงินเพิ่มนะและเปิดถึง 4 ทุ่มเอง) ที่สำคัญก็คือเราจะได้เห็นภาพ Shibuya Crossing ในมุมสูงที่แปลกตาออกไปจากที่เคยเห็นกลางแยกด้ว…ซึ่งในหลายๆจุดที่เดิน บางทีมันก็ชวนให้ผมหวนนึกถึงคำบอกเล่าถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบคอนโดของเอพี จากคุณพัชร ชยาสิริ ผู้อำนวยการอาวุโส เอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ว่ามักจะเกี่ยวเกี่ยวแรงบันดาลใจใหม่ๆที่ดูมีเสน่ห์แปลกตา จากแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งไม่แน่ว่าจุดชมวิว Shibuya Sky แห่งนี้ในอนาคตอาจจะเป็นแรงบันดาลในการออกแบบ Observation Deck ของคอนโดแห่งใหม่จากเอพีก็เป็นได้!

 

จุดหมายปลายทางถัดไปของทริปนี้ก็คือโครงการ Mega Project ขนาดใหญ่และมีความสูงมากที่สุดในย่าน Marunouchi ซึ่งเรียกได้ว่านอกจากจะเป็นถิ่นฐานหลักของ Mitsubishi Estate Group แล้วก็ยังเป็น Iconic Flagship Project ของบริษัทฯด้วยเช่นกัน กับโครงการ Tokyo TORCH

ตัวโครงการตั้งอยู่ในย่านธุรกิจอันโดดเด่นของโตเกียวอย่างย่าน Tokiwabashi District อันเก่าแก่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประตูสู่ปราสาทเอโดะ และเป็นที่ตั้งของหน่วยงานรัฐบาล ช่วงต้นยุคใหม่มายาวนานกว่า 3 ศตวรรษ ต่อมาก็กลายเป็นจุดชื่อมต่อหลักของเครือข่ายรถไฟแห่งชาติของญี่ปุ่น สถานีโตเกียวสร้างเสร็จเมื่อปี 1914 ในช่วงทศวรรษที่ 1960 พื้นที่ดังกล่าวได้ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ (Re-Development) ด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานของเมืองแบบผสมผสานและยังเป็นตัวการหลักหลักในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของใจกลางเมืองโตเกียวมาหลายทศวรรษ

 

โครงการ Tokyo Torch คาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2028 โดยจะประกอบด้วย Tokiwabashi Tower ตึก 38 ชั้น สูง 212 เมตร สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2021 และตึก Torch Tower ตึก 62 ชั้น สูงกว่า 390 เมตร ที่มีกำหนดการสร้างแล้วเสร็จในปี 2027 ซึ่งจะกลายเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย ทีมออกแบบนำโดย Koji Matsuda ในฐานะหัวหน้าทีมการออกแบบ สำนักงานของโครงการ Tokyo Torch จาก Mitsubishi Jisho Sekkei Inc. ร่วมกับสถาปนิกและนักออกแบบภูมิทัศน์รุ่นใหม่ โดยมี Sou Fujimoto (สวนชั้นบน) Yuko Nagayama (สวนชั้นล่าง) และ Takanori Fukuoka (โซนพลาซ่า) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการออกแบบของทีม ซึ่งทางทีมผู้ออกแบบได้นำเสนอวิสัยทัศน์ในการสร้างสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ผ่านความคิดสร้างสรรค์และทักษะทางเทคนิคและมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ Torch Tower ตึกระฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้คน โดยที่ธรรมชาติ, สถาปัตยกรรมและกิจกรรมต่างๆของมนุษย์สามารถรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

 

เพื่อให้ได้ตึกระฟ้าที่มีความสูงเป็นประวัติการในประเทศที่มีการเกิดแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่นอยู่บ่อยครั้ง ทาง Mitsubishi Jisho Sekkei Inc. จึงหันไปใช้ประสบการณ์และทักษะอันโดดเด่นของวิศวกรโครงสร้างในการผสมผสานโครงสร้างที่สามารถควบคุมการสั่นสะเทือนภายนอก เพื่อหอหุ้มอาคารทั้งหลังเหมือนเปลือกหอย การออกแบบที่ลดการแกว่งไหวได้อย่างมากในกรณีเกิดแผ่นดินไหวหรือลมแรง จึงทำให้มั่นใจได้ถึงระดับการต้านทานแผ่นดินไหวที่สูงที่สุดในประเทศ ตึกของพลาซ่าเองก็จะมีการติดตั้งป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่และ wi-fi เพื่อช่วยในการให้บริการของพื้นที่โดยรอบและเป็นฐานสำคัญในการกู้คืนความเสียหายต่างๆจากกรณีฉุกเฉินและยังมีห้องโถงอเนกประสงค์ที่สามารถใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับทุกสภาพอากาศได้

 

เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่ถูกควบคุมเป็นพื้นที่พิเศษ (National Strategic Special Zone) ให้เป็นพื้นที่ Hub ศูนย์กลางด้านธุรกิจและการเงินของญี่ปุ่นแห่งใหม่ โดยนอกเหนือจากอาคาร Torch Tower และอาคาร Tokiwabashi Tower แล้ว ยังมีกลุ่มอาคารอย่างเช่น อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย(Electrical Substation Building) อาคารสำนักการระบายน้ำและประปา(Sewerage & Waterworks Bureau Building)  สวน Tokyo Torch Park และ สวน Tokiwabashi Park ในส่วนอาคารเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมในพื้นที่ ซึ่งมีอยู่ 4 อาคาร กำลังถูกรื้อถอน และทำการปรับปรุงด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งไฟฟ้าและประปา(Urban Renewal) ใหม่

 

อีกหนึ่งไฮไลท์ในอนาคตของโครงการ Tokyo Torch ก็คือผู้พัฒนาโครงการอย่าง Mitsubishi Estate และ Tokyo Century Corporation ประกาศว่า Dorchester Collection จะบริหารโรงแรม Ultra Luxury บนตึกที่มีความสูง 390 เมตร จำนวน 62 ชั้น ชื่อว่า Torch Tower ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีโตเกียว โรงแรมแห่งนี้เป็นของ Brunei Investment Agency ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงแรม Beverly Hill, Plaza Athene ในกรุงปารีส และ The Dorchester ในกรุงลอนดอนเป็นต้น โดยพื้นที่โดยรวมของโรงแรมถูกแพลนไว้ให้มีมากถึง 21,400 ตารางเมตรโดยมีห้องพักถึง 110 ห้องบนชั้น 53-58 มีสระว่ายน้ำ สปา และห้องออกกำลังกายอยู่ที่ชั้น 54 และล็อบบี้อยู่บนชั้น “Sky Hill” โดยทาง Mitsubishi ได้มีการประกาศว่าชั้น 59 และชั้น 60 จะมีอพาร์ตเมนต์สุดหรูให้เช่าเป็นแห่งแรกของเขต โดยอพาร์ตเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดคาดว่าจะมีขนาดประมาณ 400 ตารางเมตร (4,300 ตารางเมตร) และผู้เช่าอพาร์ตเมนต์อาจจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการใช้บริการของทางโรงแรมด้วยเช่นกัน (ประมาณ Branded Residences เลยครับ)

ซึ่งวันนี้เราจะมาดูอาคาร Tokiwabashi Tower ตึก 38 ชั้น สูง 212 เมตร ที่สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2021 กันก่อนว่ามีความพิเศษ และน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนครับ ตัวอาคารมีความสูงประมาณ 212 เมตร ประกอบด้วย ชั้นใต้ดิน 5 ชั้น และชั้นปกติ 38 ชั้น มีพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 146,082 ตารางเมตร และมีพื้นที่สำหรับเช่าทำออฟฟิศอยู่ที่ประมาณ 75,300 ตรม. หรือ 22,800 เสื่อ (Tsubo) สำหรับความสูงจากพื้นสู่ฝ้าของแต่ละชั้นจะอยู่ที่ 2.85 เมตร โดยมีชั้นพิเศษคือ 8, 22 และ 30 ที่จะมีความสูง 3 เมตร มีการออกแบบที่น่าสนใจภายในตัวอาคาร คือ มีการตกแต่งผนังภายในของตัวอาคาร(terrazzo wall) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก ปราสาทเอโดะ(Edo Castle) และ งานหินของสะพาน Tokiwa Bridge ซึ่งจะปรากฎบนกำแพงในตัวอาคาร บริเวณ ชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 8 และชั้น 9 ซึ่งการใช้วัสดุธรรมชาติที่มีการใช้มาอย่างยาวนาน มีความคุ้นเคยในสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น อย่างเช่น ไม้และหิน เป็นสิ่งที่ช่วยให้การทำงานมีความ Productive และสร้างความพึงพอใจต่อผู้ร่วมงานมากขึ้น …โดยโครงการนี้ได้ออกแบบโดยมีความคำนึงถึง Inclusive Living ผ่าน ความโดดเด่นในการออกแบบ Public Space ส่วนกลางที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดทางเดิน สัดส่วนพื้นที่ วัสดุ ราวจับ ไปจนถึงการดีไซน์ความลาดชัน สัญลักษณ์ เพื่อให้การเดินทางทุกรูปแบบสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างง่าย และใช้งานได้สะดวก อาทิ

 

– Ground Floor การออกแบบทางเข้าหลัก พร้อมวัสดุปูพื้นเบรลล์บล็อก (Braille Block) และวัสดุปูพื้นแผ่นปูกันลื่น

– Basement Floor ดีไซน์ทางลาดพร้อมติดตั้งราวจับพื้นที่เชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน

– Landscape พื้นที่สีเขียวดีไซน์พิเศษ พร้อมดีไซน์ทางลาดและราวจับ ด้วยสัดส่วนที่กว้างขวางเพียงพอเพื่อความสะดวกในการใช้งานรถเข็นทุกประเภท เป็นต้น

– ห้องน้ำสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ราวจับ อุปกรณ์ฉุกเฉิน

รวมถึงลิฟต์โดยสารขนาดใหญ่เพียงพอสำหรับรถเข็น และปุ่มกดระดับพิเศษที่สามารถกดเรียกและเลือกชั้นได้อย่างสะดวกสำหรับทุกคน เป็นต้น

 

ซึ่งจากภาพอาคารจะเห็นว่าพื้นที่ 2 ชั้น (1-2) ของอาคารจะถูกนำมาใช้เป็น Common Area ของพนักงานทุกคนในอาคาร มีไฮไลท์เป็น Tokyo Torch Park ซึ่งเป็นลาน Plaza พร้อมสวนหย่อม และพื้นที่พักผ่อนริมแม่น้ำ Nihonbashi ขนาดรวม 7,000 ตรม. ชั้นใต้ดิน B1-3 จะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ส่วนชั้น 3 จะเป็น cafeteria lounge ที่ชื่อว่า “MY Shokudo” มีชั้น 9 เป็น Services Office ทั้ง Floor พร้อมห้องประชุมกลางขนาดใหญ่ และชั้น 8 จะเป็น Lounge กับ Meeting Room ที่ทำหน้าที่เป็น Breakout Area (xLINK) ของพนักงานได้ทุกออฟฟิศทั้งอาคาร ซึ่งค่อนข้างให้พื้นที่ส่วน Public มากกว่าโครงการอาคารสำนักงานอื่นๆในโตเกียว และดูคอนเซปท์คล้ายๆกับอาคาร OCC ที่เพลินจิตมากๆ

 

ลักษณะของรูปร่างอาคารจะมีลักษณะเป็น Blade cutting คือในส่วนของผิวด้านบนอาคาร จะออกแบบเป็นตาราง Grid ที่สร้างให้เกิดมิติแสงและเงา มีความตื้นและลึก ซึ่งเป็นดีไซน์ที่เหมาะกับการเป็นศูนย์กลางการเงินระดับนานาชาติ โดยการออกแบบผิวภายนอกอาคารที่เป็นตาราง Grid จะมีการออกแบบที่เหมือนกับ “Kigoshi” หรือการขัดแตะโครงไม้ และ “Shoji” หรือ ประตูบ้านเลื่อนที่ปิดด้วยกระดาษ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดมาอย่างยาวนาน และเป็นการสื่อถึงการเชื่อมต่อสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกอาคาร

 

และในส่วนโครงการถัดมาที่เราไปดูก็คือโครงการคอนโดแบรนด์ FLAGSHIP ของทาง MITSUBISHI ESTATE RESIDENCE ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาชื่อมาแล้วบ้างกับแบรนด์ The Parkhouse ครับ โดยปีที่ผ่านมาเค้าเพิ่งเปิดตัวโครงการ The Parkhouse Gran Sanbancho 26 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดที่ทำสถิติคอนโดที่มีราคาขายแพงที่สุดของ MITSUBISHI ESTATE RESIDENCE ด้วยราคาขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณตารางเมตรละ 3 ล้านเยน แต่ยังไม่ทำลายสถิติของห้อง Penthouse ในโครงการ Park Court Jingukitasando The Tower ของกลุ่ม Mitsui Fudosan ที่มีราคาขายตกตรม.ละ 5,740,000 เยนครับ…แต่ในวันนี้เราไม่ได้ดูโครงการนี้ครับ เพราะยังสร้างไม่เสร็จ โครงการที่เรามาดูก็คือ The Parkhouse Nishi-shinjuku Tower 60 ที่เป็นอาคารสูงถึง 60 ชั้น ความสูงรวม 208.97 เมตร จำนวน 954 ยูนิต สร้างเสร็จเมื่อปี 2017 ในย่าน Nishi-Shinjuku ซึ่งค่อนข้างใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินถึง 3 สถานี จากทั้งหมด 2 สายครับ โดยสถานีใกล้สุดก็คือ Nishi-Shinjuku-Gochome หรือใครสะดวกใช้ JR ก็เดินไปที่สถานี JR Shinjuku Station ได้ง่ายๆ ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของกลุ่ม Sumitomo Realty ที่เราเคยไป Proptrip มา และก็ใกล้กับสวนสาธารณะชินจูกุ และศาลาว่าการกรุงโตเกียวเลย ทำเลดีจริงๆ เห็นแล้สทั้งนึกถึงความหลังและอยากได้ขึ้นมาทันทีเลยครับ!

ก่อนจะลงที่รายละเอียดของโครงการก็ขอเล่าเกี่ยวกับ Brand Story ตามถนัดก่อนแล้วกันครับ สำหรับ MITSUBISHI ESTATE RESIDENCE ที่ญี่ปุ่นนั้นมีแบรนด์ FLAGSHIP คอนโดที่เน้นทำตลาดในเขตใจกลางเมืองโตเกียวคือ The Parkhouse ซึ่งเป็นชื่อแบรนด์คอนโดแบรนด์แรกของทางบริษัทเลยนับตั้งแต่ปี 1969 กับโครงการ Akasaka Park House ในเวลาต่อมา ทางบริษัทฯก็ได้มีการนำเอาแบรนด์ The Parkhouse มาวาง Blueprint ให้เป็น Branded House จนเกิดเป็น Sub Brand ต่างๆอาทิ แบรนด์ The Parkhouse เน้นเอกลักษณ์ในด้านดีไซน์บนทำเลในเมืองแต่ไม่ใช่ Super Prime Area / แบรนด์ The Parkhouse Gran ซึ่งเป็น Top of hierarchy ของบริษัทฯ มีจุดเด่นในด้านทำเลที่ตั้งบน Super Prime Area ของโตเกียว การเลือกใช้วัสดุ เช่นเดียวกับขนาดห้องที่ใหญ่กว่าแบรนด์อื่นๆ (ปกติแล้วแบรนด์ The Parkhouse จะมีขนาดห้องตั้งแต่ประมาณ 26 ตรม.ไปจนถึงราวๆ 80 ตรม.แต่แบรนด์ The Parkhouse Gran จะมีพื้นที่ตั้งแต่ 67.99 – 237.69 ตรม.เลยทีเดียว)/ แบรนด์ The Parkhouse Urbance ที่เป็นโครงการขนาดเล็กยูนิตน้อยในย่านชุมชน/ แบรนด์ The Parkhouse Oikos ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างบริษัทฯและ Haseko Corporation จับกลุ่มครอบครัว/ และแบรนด์ The Parkhouse STAGE ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ

ต้องบอกว่าอาคาร The Parkhouse Nishi-shinjuku Tower 60 นั้นไม่ได้เน้นงานดีไซน์ที่หวือหวาครับ รูปทรงอาคารเน้นความสมมาตรกันของกรอบหน้าต่าง ด้านล่างเป็นพื้นที่ Shop มีร้านขายยา กับ 7 – Eleven ด้วย แต่อีกฝั่งนึงที่เป็นจุด Drop Off ทางเข้า Lobby และด้านที่ไม่ติดถนนใหญ่นั้นเค้าก็ทำออกมาได้ค่อนข้าง Private ดีและมีความเป็นธรรมชาติสูงครับ ด้วยพื้นที่สีเขียวสไตล์ Urban Oasis ขนาดราวๆ 1,900 ตรม. ผมเองยังนึกว่านี่เป็นสวนสาธารณะขนาดย่อมที่บังเอิญมาเปิดใช้งานอยู่ข้างๆโครงการเลย นอกจากนี้หากมองจากภายนอกก็จะมีจุดสนใจเป็นห้องมุมของอาคารที่ออกแบบให้เป็นบานกระจกต่อเนื่องทรงคางหมู แต่จุดเด่นจริงๆของเค้าก้คือการที่เป็นหนึ่งในอาคารคอนโดสูงเพียงไม่กี่แห่งในโตเกียว และมีระเบียงกว้างใหญ่ จึงทำให้คนอยู่อาศัยที่นี่ได้ Enjoy กับวิวเป็นพิเศษครับ

สำหรับในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Gym หรือล้อบบี้ หรือห้องประชุม และ Sky Lounge นั้นต้องบอกว่าเป็นตามสไตล์คอนโดญี่ปุ่นที่ไม่เน้นความหวือหวา แต่เน้นไปที่การใช้งานจริงๆครับ ซึ่งตรงจุดนี้คนที่เคยไปร่วม PropTrip กับเรามาจะรู้ดีว่าไม่มีส่วนกลางจุดไหนที่สู้คอนโดในไทยได้เลย แต่วิวจาก Sky Lounge นี่จัดว่าสวยมากนะครับ เห็นฟุจิซังเลย…แต่สิ่งทีน่าสนใจมากที่สุดก็คือ การออกแบบพื้นที่ที่ให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต โดยหนึ่งในฟังก์ชันที่เป็นไฮไลท์และสามารถ Represent ถึงแก่นของ Inclusive Living ได้ดีที่สุดก็คือการนำแนวคิด ENGAWA – MULTI GENERATION FACILITY การออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง ที่มุ่งเน้นถึงการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายในโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่นี้ พื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้ทำกิจกรรมร่วมกัน ให้ทุกวันของการพักอาศัยเป็น COMMUNITY ของการอยู่อาศัยที่มีความสุข ที่นี่จึงพัฒนาให้สามารถรองรับบุคคลได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่ ตอบรับกับพฤติกรรม การใช้งานที่เหมาะสมกับการใช้งานร่วมกันของทุกคน

 

ยกตัวอย่าง การออกแบบพื้นที่ Common Area ที่เชื่อมโยงพื้นที่ทุกๆ ส่วนให้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน จากการวางสเปซฟังก์ชันต่างๆ อาทิ Wooden Kid’s Plaza, Reading Corner, Library โดยที่ทุกๆ ส่วนแทรกผสานพื้นที่สำหรับการใช้งานร่วมกันและพื้นที่สำหรับมุมส่วนตัวไว้ให้สลับไปมา ทำให้ผู้อาศัยสามารถสัมผัสถึงการอยู่ร่วมกันในขณะที่ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ และเปิดแสงธรรมชาติเข้ามาสร้างความโปร่งโล่งภายในตัวอาคาร เป็นต้น

 

ในส่วนของห้องพักก็มาตรฐานครับ มีตั้งแต่ 1 – 4 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 33.90 –  156.99 ตรม. พื้นที่ระเบียงใหญ่แต่ถือว่าเป็นส่วนกลาง ให้ใช้ได้ แต่เวลาหนีไฟต้องใช้การได้สะดวก และก็ไม่นับรวมในพื้นที่ขายเท่ากับได้ใช้งานฟรีๆ ห้องมาตรฐานก็จะมีครัว เครื่องกรองน้ำ ซิงค์ล้างจานพร้อมเครื่องปั่นเศษอาหาร พื้นแบบอุ่นร้อน และก็ห้องน้ำพร้อมสารพัดกิมมิคของวัสดุตามสไตล์ญี่ปุ่นครับ เช่นเครื่องไล่ความชื้น กระเบื้องแบบปลอดสารแบคทีเรีย ห้องน้ำสำเร็จรูป ฯลฯ แต่ถ้าใครอยากซื้อต้องไปซื้อห้องรีเซลเอาครับ ราคาขายน่าจะประมาณตรม.ละ 2 ล้านเยน หรือประมาณ 486,477.80 บาทนะ (ตอนเปิดตัวโครงการเมื่อช่วงปลายปี 2015 มีราคาขายเฉลี่ยประมาณตรม.ละ 1.2 ล้านเยนครับ) ถามว่าแพงไหมก็คือพอๆกับคอนโดระดับ Super Luxury ในย่านหลังสวน วิทยุ ครับ ต้องถามตัวคุณเองว่าชอบอยู่ชินจูกุ หรือหลังสวนมากกว่ากัน 555 แต่ถ้าใครอยากเช่าไปก่อน เห็นว่าห้องเช่าเค้าปล่อยกันเริ่มที่ 7 – 8 หมื่นบาทต่อเดือนสำหรับห้องแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำนะครับ โดยคอนโดปล่อยเช่าที่ญี่ปุ่นผู้เช่าจะเป็นคนเอาเฟอร์ฯมาลงเองครับ

 

ทั้งนี้มีรายงานจากสำนักข่าว Kyodo ว่าราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตของคอนโดในเขตใจกลางกรุงโตเกียวพุ่งสูงมากขึ้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 โดยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 129.6 ล้านเยน (930,000 ดอลลาร์) ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมในปี 2534 ที่ 97.38 ล้านเยน และทะลุ 100 ล้านเยนเป็นครั้งแรก เนื่องจากราคาวัสดุและค่าก่อสร้างที่สูงครับ ซึ่งก็ส่งผลต่อการเปิดโครงการใหม่ๆที่น่าจะมีราคาสูงมากกว่านี้อีกเช่นกัน โดยคอนโดรีเซลก็เป็นตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์แบบนี้ครับ

 

เอพี ไทยแลนด์ – มิตซูบิชิ เอสเตท ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องขยายการลงทุนมากขึ้น ภายใต้เจตจำนงเดียวกันในการร่วมสร้างคุณค่าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมไทย ด้วยความแข็งแกร่งของเอพี ไทยแลนด์ ผู้นำในการพัฒนาอสังหาฯ ไทย ผสานเข้ากับมิตซูบิชิ เอสเตท ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น เจ้าแห่ง SYSTEM PROCESS และเทคโนโลยีนวัตกรรมระดับโลก จะเป็นการผนึกกำลังแชร์ทรัพยากรที่แข็งแกร่ง ยกระดับการพัฒนาศักยภาพ ผสานกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ผ่านนวัตกรรมดีไซน์ที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดนิ่ง มุ่งตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตร่วมกัน (INCLUSIVE LIVING) ที่จะสร้างความแตกต่างในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ติดแนวรถไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ต่อคนเมือง เพื่อให้มีทางเลือกใหม่ เข้าถึงชีวิตดีๆ ที่ทุกคนสามารถเลือกเองได้ที่ดีที่สุด สู่ลูกค้าในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมไทยให้มีประสิทธิภาพด้วยมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลกไปด้วยกัน

 

#APxMEC10YearOfPartnership #APFromStrengthToStrength                                                                    #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #RHYTHMCharoennakhonIconic                        #TheAddressSiamRatchathewi #APThaiUpdate2023

เกริก บุณยโยธิน

เกริก บุณยโยธิน

ผู้ก่อตั้งเวปไซต์แบ่งปันความรู้ด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์ในวงการอสังหาฯ พร็อพฮอลิค ดอทคอม..หลังจากที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการวนเวียน เข้าๆออกๆ ในสายงานด้านการตลาด และวางแผนกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ของบริษัทอสังหาฯ และเอเยนซีโฆษณาชั้นนำหลายแห่ง (โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องจับสลากเจอลูกค้าสายอสังหาฯทุกที)...จนถูกครอบงำโดยจิตใต้สำนึก ให้ถีบตัวเองออกจากกรอบการทำงานแบบเดิมๆ เพื่อออกมาจุดประกายความคิดที่ถูกต้อง และนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้กับกลุ่มคนที่สนใจในธุรกิจอสังหาฯ

เว็บไซต์

แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-ก...

ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร

โซลเลซ พหลฯ-ประดิพัทธ์

SOLACE ในภาษาอังกฤษสื่อถึง สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใ...

19 March, 2024

นิว เวิร์ส กรุงเทพกรีฑา

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม...

28 February, 2024

นิว ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น

ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านมาพบกับโครงการคอนโดพร้อมอ...

30 January, 2024

ริธึ่ม เจริญนคร ไอคอนิค

วันนี้จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมสุดฮอตชื่อโ...

29 January, 2024

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง