แสนสิริ รักษาอันดับหนึ่งผู้นำตลาด เตรียมผงาดเป็น “ผู้นำตลาดแนวราบ” ลุยไตรมาส 2 ผ่านมิติใหม่ในการขายครอบคลุมทุกช่องทางด้วย Sansiri Multi-Channel
ชี้ กรุงเทพกรีฑา – วัชรพล – รามอินทรา ทำเลศักยภาพ ลุย 4 โครงการบ้านเดี่ยว วางเป้ายอดขายรวมไตรมาส 2 ที่ 8,500 ล้าน คาดแนวราบสดใส กวาดสัดส่วนกว่า 53% จากเป้ารวม
– แสนสิริรักษาความแข็งแกร่ง อันดับหนึ่งผู้นำตลาด เดินหน้ารุกเป้าหมาย “ผู้นำตลาดแนวราบ” เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท
– เผยแผนแนวราบปี 63 รุกแบรนด์สิริ เพลส – อณาสิริ – สราญสิริ เจาะกลุ่มเรียล ดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในแบรนด์ระดับบน อาทิ บุราสิริ และ เศรษฐสิริ เพื่อรับกลุ่ม New Demand จากไลฟ์สไตล์ Social Distancing
– ชี้ กรุงเทพกรีฑา – วัชรพล – รามอินทรา ทำเลศักยภาพ ลุยทัพ 4 โครงการบ้านเดี่ยวคุณภาพ เศรษฐสิริ กรุงทพกรีฑา 2, เศรษฐสิริ วัชรพล, บุราสิริ วัชรพลและบุราสิริ ปัญญาอินทรา มูลค่ารวม 13,900 ล้านบาท ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านแห่งวงการอสังหาฯ ไทย
– บุกต่อไตรมาส 2 ด้วยมิติใหม่ในการขายครอบคลุมทุกช่องทางด้วย Sansiri Multi-Channel ตอบโจทย์คนอยากมีบ้านในยุคโควิด
– พร้อมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวแคมเปญ “แสนสิริผ่อนให้ สูงสุดถึง 24 เดือน” ในบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดพร้อมอยู่จากแสนสิริ 62 โครงการทั่วประเทศ เริ่มต้นเพียง 990,000 บาท
– ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยสูงสุด ในการเข้าเยี่ยมชมโครงการ คุมเข้มด้วยมาตรการ “Sansiri Care… เพราะเราห่วงใย” ที่พร้อมยกการระดับดูแลเต็มขั้นในทุกสถานการณ์
– ผนึกความเป็นผู้นำในด้าน Sansiri Service เชื่อมั่นเดินหน้าสู่เป้ายอดขายไตรมาสสอง 8,500 ล้านบาท ได้แน่นอน
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก้าวเป็นอันดับ 1 ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรก ด้วยยอดขาย 11,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นยอดจากกลุ่มโครงการแนวราบถึงกว่า 4,800 ล้านบาท หรือ 44% ของยอดขายที่ทำได้ในไตรมาสแรก สะท้อนความสำเร็จจาก การได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าจนส่งผลให้เป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน” จนส่งผลให้ปิดการขายโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด กว่า 6 โครงการ ได้แก่ โครงการสราญสิริ ติวานนท์ – แจ้งวัฒนะ โครงการนาราสิริ โทเพียรี่, โครงการนาราสิริ พุทธมณฑล สาย 1, โครงการนาราสิริ บางนา, โครงการสราญสิริ เกาะแก้วและบุราสิริ เกาะแก้ว ภูเก็ต เป็นต้น
ล่าสุดในไตรมาส 2 บริษัทได้เดินหน้ารุกสู่เป้าหมายผู้นำตลาดแนวราบตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ด้วยการวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบในปี 2563 จำนวนทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท และทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจคต์อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ทั้งนี้ แสนสิริยังคงยึดมั่นพันธกิจในการเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี โดยมีกลยุทธ์ในการสร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ทั้งการโฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานต์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์สิริ เพลสและอณาสิริ เจาะกลุ่มเรียล ดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก ขณะเดียวกัน บริษัทยังพร้อมรักษาความเป็นผู้นำในแบรนด์ระดับบน อาทิ บุราสิริ และ เศรษฐสิริ เพื่อรับกลุ่ม New Demand จากกลุ่มลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการที่ต้องการมีบ้านใหม่เพื่อแยกครอบครัว หรือต้องการบ้านที่มีพื้นที่กว้างขี้น ซึ่งเป็นผลจากไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ Social Distancing นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวบ้านรูปแบบใหม่ รวมทั้งโครงการในแนวคิดใหม่ในปีนี้ เพื่อรองรับดีมานด์และความต้องการที่ตอบโจทย์ Insight ของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับ สถานการณ์ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยว ในปี 2019 ที่ผ่านมามีจำนวนยูนิตเปิดขายในตลาด 21,000 ยูนิต และมีดีมานต์ความต้องการอยู่ที่ 11,800 ยูนิต ซึ่งเห็นได้ว่า Supply มีจำนวนน้อยลง ขณะที่ดีมานด์ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ Absorption Rate อยู่ที่ 56% สูงกว่า 3 ปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่ายังมีดีมานต์ความต้องการในโปรดักส์ ที่สามารถตอบโจทย์และตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการได้ ขณะเดียวกัน ความต้องการบ้านเดี่ยวในระดับราคา 10-20 ล้านบาท ยังเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2019 ถึง 7% เมื่อเทียบกับปี 2018 และบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านขายดีที่สุด ดังนั้นในปี 2020 แสนสิริจึงรุกเปิดแบรนด์สิริ เพลส ที่อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท รวมทั้งแบรนด์เศรษฐสิริ บุราสิริ และสราญสิริ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10 – 20 ล้านบาท นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อตลาดอสังหาฯ ยังมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 1% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เคยมีมา นับเป็นการกระตุ้นการลงทุน ที่ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ ทั้งกับ Developer และผู้ซื้อ เพราะทำให้ Developer เพราะมีต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่ถูกลง และยังเป็นการลดต้นทุนในการกู้ของผู้ซื้ออสังหา ทำให้มีกำลังในการซื้อมากขึ้น รวมถึงความผันผวนของตลาดหุ้น ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าและปลอดภัยกว่าในระยะยาว ซึ่งการลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง