ศุภาลัย เปิดแผนปั้นธุรกิจรับปีหมูทอง รุกเปิด 34 โครงการ มูลค่า 40,000 ลบ.
บมจ.ศุภาลัย เปิดแผนธุรกิจปี 62 ตั้งเป้าหมายในการเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 34 โครงการ ทั้งกรุงเทพฯ และภูมิภาค มูลค่า 40,000 ล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนความสำเร็จส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพ พร้อมนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ถือเป็นปีที่ดี โดยเฉพาะในช่วงต้นปี ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนมาก ทั้งคอนโดมิเนียม โครงการบ้านจัดสรรแนวราบ และเกิดเทรนด์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานที่รู้จักกันในชื่อ โครงการมิกส์ยูส (Mixed-use Real Estate) ที่รวมทั้งโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ที่ชอบ Multi Function ที่เอื้ออำนวยความสะดวกสบายมากขึ้น
ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สะดวกสบาย สวยนาน ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีมูลค่าเพิ่ม มีกำไรอย่างสมเหตุผล และยั่งยืน โดยผ่านกระบวนการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ลูกค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เลือกใช้วัสดุที่ดีและเหมาะสม บุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญ มีการควบคุมคุณภาพตลอดช่วงเวลาการดำเนินงาน และรวบรวมข้อมูลเพื่อปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้ตลอดปี 2561 บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์กรชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก อาทิ รางวัลหุ้นยั่งยืน และรางวัลรายงานความยั่งยืน จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รางวัล “Certificate of ESG100 Company” จาก ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์ รางวัล Drive Award 2018 จากสมาคมนิสิตเก่าเอ็มบีเอ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รางวัลบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2561 จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน รางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2561 ระดับประเทศ จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน รางวัลบุคคลต้นแบบสัมมาชีพ จากมูลนิธิสัมมาชีพ เป็นต้น
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาฯ ในปี 2562 น่าจะมีมูลค่าการพัฒนาใกล้เคียงกันกับปีก่อนหน้า โดยยังคงมีแรงหนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ถึงแม้ว่าจะเติบโตในอัตราที่ลดลงบ้าง ทั้งนี้จากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง รายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวยังคงเพิ่มขึ้น คนไทยที่มีรายได้หรือเงินเดือนประจำยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนด้านต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะใน EEC
แต่ทั้งนี้ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงจากความเข้มงวดในการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินต่างๆ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือน มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เข้ามาควบคุมอัตราส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านเทียบกับมูลค่าบ้าน (LTV) ซึ่งทำให้บ้านหลังที่สองหรือราคาที่สูงกว่าสิบล้านบาทขึ้นไปได้รับผลกระทบ อีกทั้งความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก ทั้งในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ราคาพลังงาน และสงครามการค้า ฯลฯ
อย่างไรก็ตามคาดว่าต้นทุนค่าก่อสร้างน่าจะทรงตัว และไม่น่าจะมีปัญหาแรงงานเหมือนหลายปีก่อนหน้า แต่ผู้ประกอบการที่ซื้อที่ดินต้นทุนสูงเกินไป หรือซื้อมากไปจะประสบปัญหาภาระหนี้ ภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่ต้องแบกรับ สินค้าคงคลังจำนวนมาก คาดว่าเจ้าของที่ดินที่ตั้งราคาขายที่ดินดิบในราคาที่สูงเกินจริง หรือเกินความเหมาะสมที่จะนำมาพัฒนาจะค่อยๆ ปรับลดลงให้เป็นจริงมากขึ้น