ในขณะที่ภาวะโลกร้อนอาจทำให้มีผู้ซื้อและขายบ้านเพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะปานกลางแล้วมันจะทำให้เจ้าของบ้านมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

Larson วิศวกรและผู้ให้คำปรึกษาด้านนโยบายกล่าวว่า คุณจะได้เห็นมันแน่ๆ แบบไม่ต้องสงสัยเลย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาน้ำท่วมในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าผู้ร่างกฎหมายจะปฏิรูป NFIP หรือ The National Flood Insurance Program โครงการประกันภัยน้ำท่วมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาแล้ว มันก็จะยังมีทั้งผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน เจ้าของสินทรัพย์ยังต้องต่อสู้กับการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ในอนาคตข้างหน้า เขาคาดว่าจะเห็นปัญหานี้คลี่คลาย ด้วยการเสนอไอเดียการเพิ่มค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิดในสหรัฐอเมริกา จากนั้นนำเงินส่วนนี้ไว้ใช้สำหรับบริหารจัดการผลกระทบที่มาจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและน้ำท่วม แต่ติดตรงที่ทางเลือกในการแก้ปัญหานี้จะมีอุปสรรคด้านการเมืองบางประการ แต่มันก็มีความสมเหตุสมผลกว่าในระยะยาว

Larson ยังคาดหวังให้อุตสาหกรรมการเงินช่วยผลักดันที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมไปจนถึงสิบปีข้างหน้า ซึ่งจะสามารถลดอัตราการจำนองของผู้ซื้อได้

คุณก็เห็นแล้วว่าบริษัทให้บริการทางการเงินอย่าง Moody ออกมาพูดแล้วว่าพวกเขาจะไม่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงอีกต่อไป

น้ำท่วมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่เจ้าของบ้านยังจะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอื่นได้อีก เช่นไฟป่าที่ทำให้ค่าประกันของพวกเขาทะยานขึ้นสูง และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่องในอีกสิบปีข้างหน้า นับได้ว่าผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ทำให้เจ้าของบ้านมีรายจ่ายจากเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้นสูงไปอีกนับสิบปี

ส่วนบ้านและอสังหาฯ ของไทยในอนาคตนั้นเราคงจะได้เห็นบ้านที่ราคาแพงขึ้น เพราะในที่สุดเราจะพบว่าพวกเราทุกคนต่างมีต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่จำเป็นต้องจ่ายอยู่จริงๆ

แหล่งข้อมูลและภาพ

https://www.inman.com/2020/01/06/the-essential-guide-to-2020-2025-2030-and-beyond/

https://unsplash.com/photos/9NeXFpoUYaE

https://unsplash.com/photos/eAKDzK4lo4o

https://unsplash.com/photos/upvt1r4BBCo