หลับตา เปิดหู และเปิดใจ เพื่อสัมผัสกับความงามของงานดีไซน์ และรายละเอียดของงานสถาปัตย์จากท่วงทำนองของเสียงดนตรี ที่งาน Noble | The Sound of Architecture
“Tell me, I’ll forget. Show me, I’ll remember. Involve me, I’ll understand” คำพูดดังกล่าวผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามีที่มาจากไหน บ้างก็ว่ามาจากภาษิตจีนโบราณที่ดัดแปลงมาจากคำพูดของขงจื้อ บ้างก็ว่าเป็นคำกล่าวของเบนจามิน แฟรงคลิน หนึ่งใน Founding Fathers ของชาวอเมริกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด คำพูดดังกล่าวได้กลายมาเป็นแก่นของศาสตร์แห่ง Cognitive Neuroscience (ประสาทวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการรับรู้) จนนำมาสู่ทฤษฎี Neuromarketing ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง Brand Sense ในทุกมิติสัมผัสทั้ง 5 เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึง Value และซึมซับประสบการณ์ของแบรนด์นั้นๆได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม…ในยุคที่มนุษย์เราต้องทนเสพย์ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อ Social Media สารพัดชนิด ตั้งแต่ยามตื่นจนหลับ การสื่อสารในแบบเดิมๆอาจเป็นการยากที่จะทำให้ผู้รับสาร ได้รับข้อมูลตามที่ผู้ส่งสารอยากจะส่ง จนนำมาซึ่ง Desire และ Action ได้ สินค้าหลายๆอย่างก็มักจะมีรูปแบบการสื่อสารการตลาดที่ไม่ค่อยจะแตกต่างกันซักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นสินค้าที่เน้นขายคุณลักษณะ (Attribute) เป็นหลัก ผู้บริโภคก็ยิ่งรู้สึกว่าซื้ออะไรไปมันก็เหมือนกัน แล้วองค์ประกอบอะไรที่จะช่วยให้แบรนด์นั้นๆมีความโดดเด่นที่สุดในสายตาลูกค้าเป้าหมาย?
เมื่อราวๆปี 2005 อันเป็นยุครุ่งเรืองของกระแสการสร้าง Emotional Branding นักสร้างแบรนด์ทั่วโลก ต่างก็หยิบยกเอาทฤษฎีของ Martin Lindstrom นักสร้างแบรนด์สัญชาติเดนมาร์ก ที่มาจากหนังสือ BRAND Sense ซึ่งฉายภาพให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความผูกผันทางอารมณ์ (Emotional Engagement) ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ สัมผัส (Touch) การลิ้มรส (Taste) กลิ่น (Smell) รูปลักษณ์ (Sight) และเสียง (Sound) ว่าแต่ละสัมผัสนั้นมันมีส่วนยังไงบ้างกับขั้นตอนการตัดสินใจซื้อสินค้า