คาโกชิมา(ร้านสุกี้ญี่ปุ่นคาโกโนย่าที่มาเปิดสาขาในเมืองไทยก็มาจากที่นี่แหละครับ) และเกาะซากุระจิมะ ทำให้ผมเข้าใจเหตุผลอย่างลึกซึ้งจากประสบการณ์ตรงที่เจอมาในการใช้รถเดินทางตลอด 1 อาทิตย์
ประเด็นคือค่าโสหุ้ยในการมีรถนั้นสูงมาก และการมีรถไฟความเร็วสูงทำให้ความจำเป็นในการขับรถข้ามเมืองนั้นต่ำ
มาเริ่มต้นกันที่ค่าทางด่วน ค่าใช้จ่าย ตลอดทั้งทริปอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 8,000 บาท โดยที่ทางด่วนที่ผ่านเข้าเมืองหนึ่ง มีค่าทางด่วนสูงถึงประมาณ 1,000 กว่าบาท
ค่าจอดรถตกนาทีละ 1 บาท ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆก็จะมีที่จอดรถพอสมควร ที่แปลกใจคือมีบางโรงแรมที่ไปนอนแต่ไม่มีที่จอดรถ(ที่ดินที่ญี่ปุ่นราคาแพงครับ) โดยเฉพาะในคืนแรก ค่าห้องพักประมาณ 3~4,000 บาท แต่โดนค่าจอดรถคืนนั้นไปประมาณ 1,000 กว่าบาท ส่วนใหญ่ที่จอดรถไม่มีคนเฝ้านะครับ และไม่ใช่ว่าเชื่อใจคนญี่ปุ่นกันเองโดยให้หยอดเงินลงกล่องนะ พอเราจอดรถเสร็จและดับรถ มันจะมีตัวกั้นดันขึ้นมาติดกับช่วงล่างรถ (ที่เป็นสีเขียวและขาวตามรูปครับ) ซึ่งเราไม่สามารถขับรถออกไปได้โดยไม่หยอดเงินลงตู้และระบบอัตโนมัติจะทำการเคลียร์ยอดเงิน แล้วนำตัวกั้นลงมาหลังจากนั้นเราจึงขับรถออกมาได้ แน่นอนที่การจ่ายเงิน ต้องจ่ายก่อนนำรถออกเพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องจ่ายค่ารถเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่แน่ๆคือยิ่งจอดนานยิ่งแพง

ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่าคิวชูก็เหมือนต่างจังหวัดของญี่ปุ่น ค่าครองชีพหลายๆอย่างยังถูกกว่าในโตเกียวมาก โดยเฉพาะค่าที่จอดรถในโตเกียว น่าจะมีราคาแพงกว่านี้มาก
ค่าน้ำมันตกราคา 40 กว่าบาทต่อลิตร พนักงานสุภาพมากคอยเช็ดรถให้และยังให้ผ้าเช็ดทำความสะอาดในรถอีก ตอนแรกผมนึกว่าเป็นผ้าเช็ดมือ เช็ดหน้าบริการลูกค้าเพราะมันสะอาดมาก (เกือบจะเช็ดไปแล้ว 5 5)
ตอนจะรับเงินก็คุกเข่ารอรับเงิน
การขับรถใช้ GPS ด้วยการใส่หมายเลขโทรศัพท์ของสถานที่ที่จะไปแม้จะเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่ก็มีการพูดเป็นภาษาอังกฤษ เท่าที่ลองใช้ดูก็ไม่ได้ใช้ยากจนเกินไปการขับรถในบางช่วงที่มีถนนแยกตัวออกไปใน GPS ก็จะโชว์ภาพขยายเพื่อให้เราไม่หลงทางแต่บางที GPS ก็มีการทำงานที่ผิดพลาดบ้างแต่ไม่บ่อยนัก
เผื่อเป็นข้อมูลให้เพื่อนพ้องน้องพี่ประกอบการตัดสินใจครับ
แนะนำร้านสุกี้ ชาบูชื่อคาเรนจังหวัดคาโกชิมากับเนื้อเอ 5 และหมูคุโรบุตะซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่นี่ เป็นมื้อที่แพงที่สุดและดีที่สุดในทริปนี้ คุ้มเกินราคาตกคนละประมาณ 2,000 กว่าบาท ที่กินวันนั้นมีสุกี้น้ำดำ ชาบูน้ำใสและสเต็ก ทั้งหมดสั่งเนื้อและหมูเหมือนกันมาเลย ถ้ามากินเมืองไทยคงมีไม่ต่ำกว่าคนละ 5,000บาท
(ซ้าย:เนื้อเอ 5 /ขวา:หมูดำคุโรบูตะ ร้านคาเรน)

แถมให้อีกเรื่อง ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสทำงานในบริษัทใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น (รายได้ต่อปีประมาณ 2 แสนล้านบาท) ผมจึงได้รู้มาว่าพนักงานบริษัทก็ไม่มีใครขับรถไป ส่วนใหญ่นั่งรถไฟกันไปหมด แม้กระทั่งผู้บริหารใหญ่อันดับ 3 ของบริษัทยังไปทำงานด้วยการนั่งรถไฟเลย (ผมถึงให้ข้อมูลว่าบริษัทนี้ใหญ่ขนาดไหนไงครับ ไม่เหมือนที่เราเห็นชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในเมืองไทยส่วนใหญ่จะมีคนขับรถ และเรื่องเล่าที่เป็นจริงคือว่าพนักงานชาวญี่ปุ่นที่ต้องกลับไปทำงานที่ญี่ปุ่น บางคนก็เสียใจและไปปรับทุกข์กับคนไทยเพราะอยู่เมืองไทยค่อนข้างสบาย) ข้อมูลเรื่องผู้บริหารนั่งรถไฟไปทำงานเชื่อถือได้เพราะผมได้ยินจากปากของท่านเลยครับ
ประเด็นของเรื่องนี้คือที่จอดรถไม่ค่อยมี ถึงมีก็แพงมาก
อยู่เมืองไทยสบายใจครับ ค่าจอดรถแทบไม่มี ถึงมีก็ปั๊มไม่ให้เสียเงินได้ ถ้าเมืองไทยเริ่มระบบการเก็บเงินค่าจอดรถ เพิ่มค่าโสหุ้ยในการมีรถ ผมว่ามันจะเป็นการแก้ปัญหาการจราจรได้มากเลยครับ แต่คงทำยากเพราะคงไม่ค่อยมีใครอยากเสียเงิน แต่ระยะยาวเสียเงินมากกว่าปกติในรูปของค่าน้ำมันและค่าเสื่อมของรถจากการที่รถติดมากมาย
เอก ธำรง
Facebook:ake thamrong
Line ID:akethamrong