JLL คาดตลาดการซื้อขายโรงแรมในไทยปีนี้จะกลับสู่ภาวะปกติ ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 13,000 ล้านบาท
การซื้อขายที่ชะลอความร้อนแรงลงจะทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้นในการประเมินโอกาสการลงทุน รวมถึงทางเลือกในการเข้าถึงเงินกู้
บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ การขยายตัวของการลงทุนซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ การมีโรงแรมคุณภาพดีใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในตลาด ในขณะที่อัตราการเข้าใช้บริการและอัตราค่าห้องพักรายวันเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจสำหรับผู้ประกอบการ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ลดความร้อนแรงของตลาดการซื้อขายโรงแรมที่เคยทำสถิติสูงสุดในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าในปีนี้ ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยจะมีมูลค่า 13,000 ล้านบาท ใกล้เคียงเกณฑ์เฉลี่ยในอดีต
เจแอลแอลคาดการณ์ว่า ในปี 2568 กรุงเทพฯ จะยังคงเป็นหัวเมืองหลักที่มีมูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมสูงที่สุด โดยจะมีสัดส่วนคิดเป็นเกือบ 60% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในประเทศไทย เจแอลแอลยังประเมินด้วยว่า รายการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด จะมีขนาดหรือมูลค่าเฉลี่ยต่อรายการที่ 1,800 ล้านบาท สูงขึ้น 80% จากค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่มีมูลค่า 1,000 ล้านบาทต่อรายการ นอกจากนี้ คาดว่า รายการซื้อขายที่เกิดส่วนใหญ่ในปี 2568 จะเป็นธุรกรรมการซื้อขายโรงแรมเดี่ยว (ไม่ใช่การซื้อขายหลายโรงแรมในพอร์ตเดียว) เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในปี 2567 ที่ส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายโรงแรมเดี่ยวเช่นกัน ซึ่งรวมถึงโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ที่เป็นการซื้อขายโรงแรมเดี่ยวที่มีมูลค่าสูงสุดในประเทศไทย ซึ่งเจแอลแอลเป็นที่ปรึกษาการขาย
เจแอลแอลระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยมีความคึกคัก “มากเป็นพิเศษ” ซึ่งหนุนโดยแรงส่งที่แข็งแกร่งในภาคการท่องเที่ยว และผลประกอบการที่เติบโตในภาคธุรกิจโรงแรม โดยความต้องการซื้อที่พุ่งสูงขึ้นจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ดันให้มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยในปี 2567 พุ่งขึ้นทุบสถิติใหม่ที่ 22,000 ล้านบาท ตอกย้ำสถานะของไทยในการเป็นหนึ่งในตลาดหลักสำหรับการลงทุนซื้อขายโรงแรมในภูมิภาค
ในปี 2568 นี้ มีแนวโน้มว่า กลุ่มโรงแรมระดับไฮเอ็นด์จะมีผลประกอบการในระดับคงที่ ในขณะที่กลุ่มโรงแรมราคาประหยัดและระดับกลางจะยังคงมีผลประกอบการที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ปริมาณการลงทุนซื้อขายที่คาดว่าจะชะลอตัวลงสู่ภาวะปกติมากขึ้นในปีนี้ อาจนำไปสู่การเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการ เกี่ยวกับทางเลือก และวิธีการจัดหาเงินกู้และเงินทุนสำหรับการพัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อม