Propholic’s Best of 2024 รวมโครงการสุดประทับใจ บนช่วงเวลาที่ถนนทุกสายมุ่งสู่ภูเก็ต
“ตลอดทั้งปีมีแต่ข่าวเปิดตัวโครงการใหม่ที่ภูเก็ต เปิดราวกับว่าที่นี่มีแต่ไฮซีซั่น กับซุปเปอร์ไฮซีซั่น ยิ่งเปิดยิ่งแข่งกันทำราคาสูง สวนทางกับการเปิดตัวโครงการที่กรุงเทพฯเลย” นี่คือความเห็นส่งท้ายปีของผมที่มีต่อตลาดอสังหาฯในปี 2024 นี้ ซึ่งเป็นปีที่หลายๆคนล้วนบอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่าตลาดอสังหาฯกรุงเทพฯลดดีกรีความร้อนแรงลงไปแบบฮวบฮาบ หันไปทางไหนก็มีแต่ความเงียบงันยิ่งกว่าตอนที่เกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดแรกๆเมื่อช่วง 4 ปีที่แล้วซะอีก!
โดยหากเรานำข้อเท็จจริงในเชิงตัวเลขมาพิจารณาประกอบดูก็จะพบว่าทุกสำนักวิจัย ล้วนชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2024 จะลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า จากปัจจัยลบที่กดดันโดยเฉพาะในส่วนของฟากสถาบันการเงินที่เล็งเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่มีภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP จึงมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จนเกิดเป็นอัตรา Reject Rate ที่สูงโดยเฉพาะกับกลุ่มเซกเมนท์ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เช่นเดียวกับการปล่อยสินเชื่อการพัฒนาโครงการที่หลายๆโครงการจำเป็นต้องเลื่อนเปิดตัว ชะลอการสร้าง หรือไม่ก็ยกเลิกการขายไปเลย เพราะธนาคารมีการตั้งเงื่อนไขในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้พัฒนาโครงการมากขึ้นโดยขึ้นอยู่กับยอดขายของโครงการที่ต้องมากกว่า 30% ซึ่งลำพังเพียงแค่ 2 ข้อนี้ก็ส่งผลลบเยอะต่อการเติบโตที่ถดถอยของตลาดโดยรวมแล้ว ยังไม่รวมกับอีก 1 ข้อที่สร้างผลกระทบโดยตรงกับผู้ที่มีความสามารถในการซื้ออสังหาฯด้วยการผ่อนแบงค์ เพียงแต่ไม่ต้องการควักเงินสดเยอะๆในการมาวางดาวน์อย่างมาตรการ LTV (Loan to value) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการกระตุ้น Impulse Purchasing ของผู้ซื้อที่พร้อมจ่าย หรือมีความสามารถในการกู้เงินธนาคารให้มาตัดสินใจซื้อโครงการไม่ว่าจะเพื่อเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต หรือซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 – 3 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายในเรื่องของ Space, Privacy, Vacation หรือแม้กระทั่งเพื่ออยู่กับสัตว์เลี้ยง
ในขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% ครั้งแรกในรอบ 4 ปีเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม้จะมีส่วนช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ลดลง และเกิดผลบวกเกิดขึ้นกับผู้ซื้อบ้าน – ผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน ด้วยการประหยัดค่างวดผ่อนทันทีล้านละ 2,000 กว่าบาทต่อปี ก็ยังไม่ใช่ยาขนานที่ถูกต้องในการกระตุ้นตลาด เพราะปัจจัยสำคัญก็คือธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งมาตรการ ลดค่าโอนและจำนองเหลือ 0.01% สำหรับอสังหาฯราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ก็ช่วยได้แค่เพิ่มยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราจะพบว่าตลาดในปัจจุบันล้วนเต็มไปด้วยโครงการที่มีราคาเกินกว่า 10 ล้านบาทสำหรับแนวราบ ส่วนโครงการที่มีระดับราคาไม่เกิน 7 ลบ.ผู้กู้จำนวนมากก็ขาดความพร้อมในการกู้อีก มันเลยดูเหมือนว่าจะเป็น Gridlock ที่ลามไปทุกเซกเมนท์โดยอัตโนมัติ
โดยข้อมูลจากคุณ กมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยกับทางกรุงเทพธุรกิจว่า “คาดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั่วประเทศปี 2567 มี 350,545 หน่วย ลดลง 4.4% เป็นแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6% หรืออยู่ในช่วงลดลง 15.4 ถึง 3.3% อาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลง 0.6% ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภท 1,012,760 ล้านบาท ลดลง 3.3% โดยแนวราบ มีมูลค่า 717,052 ล้านบาท ลดลง 3.4% อาคารชุด มูลค่า 295,707 ล้านบาท ลดลง 2.9%”
สอดคล้องกับข้อมูลของนายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัท วิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวถึง แนวโน้มการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ว่าจะปรับตัวลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าการเปิดตัว โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงประมาณ 20% – 40% ในขณะที่มูลค่าจะลดลงประมาณ 10% – 30% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวในปี 2567 ที่ 59,000 – 79,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 380,000 – 489,000 ล้านบาท
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าตลาดแนวราบราคาแพงที่เคยเป็นพระเอกของอุตสาหกรรม โดยมียอดขาย ยอดโอนติดลมบน จนทำให้ดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำอย่าง เอพี แสนสิริ ศุภาลัย และเอสซี แอสเสท ประกาศร่วมกันประสานเสียง “ผลประกอบการนิวไฮ” มาตลอด 3 ปีให้หลังมานี้ก็มีสัญญาณของปัญหาเช่นเดียวกัน โดย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ระบุว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบของไทยในปี 2567 ส่งสัญญาณแย่กว่าที่คาดการณ์ จากตัวเลขหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีแรก ปรับลดลง 14.2% หดตัวติดต่อกันถึง 6 ไตรมาส และหากพิจารณาถึงสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง ตัวเลขหน่วยโอนของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงหดตัวที่ 14.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ตลาดแนวราบตลอดช่วงปี 2567 นี้ จะอยู่ภายใต้ภาวะซบเซา โดยหดตัว 13.3% ซึ่งเป็นการหดตัวถึง 8 ไตรมาสติดต่อกัน
จากองค์ประกอบในเรื่องของแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่อเซกเมนท์แนวราบ อันประกอบด้วย
1. จำนวนผู้ซื้อที่ลดลงจากโครงสร้างประชากรช่วงอายุ 30-49 ปี ซึ่งเป็นวัยสร้างครอบครัวที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ ที่ปัจจุบันมีจำนวน 19.3 ล้านคน ซึ่งในระยะ 10 ปีถัดไป จะมีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 17.6 ล้านคน
2. ความจำเป็นในการซื้อลดลง จากข้อจำกัดเรื่องที่อยู่อาศัยเป็นสินทรัพย์ถาวรที่ส่งต่อเป็นมรดกได้ โดยสถานการณ์ปัจจุบัน ประชากรส่วนใหญ่มีลูกเพียง 1 คน ซึ่งจะต้องเป็นผู้รับมรดกจากพ่อแม่ จึงมีความจำเป็นน้อยลงในการหาที่อยู่อาศัยถาวรใหม่ รวมถึงอัตราการจดทะเบียนสมรสของคนใน Gen Y (กลุ่มคนที่เกิดระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2540) ต่ำลงเหลือเพียง 55% ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยอาจส่งต่อเป็นมรดกจากกลุ่มญาติพี่น้องที่ไม่มีครอบครัว ย่อมส่งผลให้ความจำเป็นในการหาซื้อที่อยู่อาศัยของคนในยุคถัดไปลดต่ำลงกว่าเดิม
3. ภาวะที่ไม่สมดุลของการปรับเพิ่มกำลังซื้อ และราคาบ้าน จากลักษณะของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ที่ผู้ขายเป็นผู้มีอำนาจกำหนดราคา และผู้ซื้อเป็นเพียงผู้รับราคาจากผู้ขาย สะท้อนผ่านราคาที่อยู่อาศัยแนวราบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 47.1% ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนไทยที่สะท้อนผ่าน GDP Per Capita กลับเพิ่มเพียง 23.6% เมื่อเทียบกับปี 2558
4. กำลังซื้อที่เป็นกลุ่มพยุงตลาดในกลุ่มแนวราบใน Segment บนมีจำนวนที่ลดลง โดยลักษณะตลาดที่อยู่อาศัยที่มีความถี่การบริโภคซ้ำของปัจเจกที่ต่ำมาก ส่งผลให้กำลังซื้อที่ซื้อไปแล้วในช่วงเวลาก่อน จะไม่กลับมาซื้อซ้ำอีกในระยะเวลาอันสั้น สะท้อนผ่านที่อยู่อาศัยแนวราบที่ราคาสูงกว่า 5 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 2566 ยังมีการเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางปีถึงสิ้นปี 2566 ที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีราคาสูงกว่า 7.5 ล้านบาทเท่านั้นที่ยังมีการเติบโต
จาก YOLO สู่ YONO ถึงเวลาที่ต้องหากลุ่มลูกค้าใหม่!
ซึ่งตัวผมเองก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับมุมมองทั้ง 4 ด้านดังกล่าวเป็นอย่างมากครับ และก็เชื่อว่าดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ก็มองเห็นสัญญาณดังกล่าว และก็ได้เริ่มมีการปรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งเป้าไปหากลุ่มเป้าหมายใหม่ และเซกเมนท์ใหม่ๆทดแทน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวต่างชาติ หรือการพัฒนาต่อยอดรูปแบบโมเดล Rent to Own ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการกลับมาพัฒนาโครงการคอนโดในระดับ 3-5 ลบ.บนทำเลมืองที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายใหม่ๆมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับโครงการในรูปแบบแคมปัสคอนโดบนทำเลที่ยังไปต่อได้อีกอย่าง เกษตร – รังสิต ที่ยังไงก็มีดีมานท์เข้ามาเติมอยู่เรื่อยๆสม่ำเสมอในทุกๆปีครับ โดยผมเองก็ค่อนข้างเชื่อว่า การเติบโตของกลุ่มตลาดแนวราบ และกลุ่มตลาด Luxury ที่บูมมากๆในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมานั้น มันเป็น Non Organic Growth ทื่เกิดขึ้นมาจากพฤติกรรมของผู้ซื้อในแบบ YOLO หรือ You Only Live Once ที่ถือคติว่า คนเราเกิดมาแค่ครั้งเดียว ดังนั้นก็ควรที่จะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าตามความปรารถนาของตัว ซึ่งเป็นรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาแบบทันด่วนในช่วงที่โควิดระบาด โดยกลุ่มผู้ซื้อ YOLO จำนวนไม่น้อยเลยที่เป็น Old Money เศรษฐีเงินเก็บที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะเอาเงินก้อนโตที่สะสมเอาไว้มาใช้เลย แต่กลับเอามาใช้ทันทีเพื่อซื้อบ้านใหม่ ที่มีอาณาเขตเป็นส่วนตัวมากกว่าเดิม ไว้อยู่พร้อมหน้ากันเพื่อเป็น Shelter ของทั้งครอบครัว หรือบ้านหลังที่สอง และสาม บนทำเลที่แตกต่างออกไปเพื่อหลบลี้จากภัยโควิด และฝุ่นพิษ PM 2.5 เช่นเดียวกับกลุ่ม Young Successor ที่ได้รับผลกำไรก้อนโตจากการลงทุนในสินทรัพย์อย่างคริปโตเคอร์เรนซี และก็จำเป็นต้องเอาเงินที่ได้ไปลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบอื่นๆ เอาไปจับจ่าย ซื้อสินค้าที่ชอบเพื่อมาเป็นกำไรให้กับชีวิต ทดแทนการท่องเที่ยวที่ทำไม่ได้ ณ ขณะนั้น…แต่ก็ต้องบอกว่ามันเป็นคนละเรื่องกับในปัจจุบันแล้ว เพราะท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังก่อตัวอยู่ทั่วโลก ปัญหาค่าครองชีพแพง กู้ไม่ผ่าน การเลือกงาน – หางานยากของคนรุ่นใหม่ รวมกับการซื้อในแบบครั้งเดียวจบ หมดแล้วหมดเลย ไม่ซื้ออีกแล้วของกลุ่ม YOLO สูงวัย ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมแบบใหม่ในสไตล์ “YONO” หรือ You only need one – ของบางอย่างเราต้องการซื้อแค่ครั้งเดียว จะซื้อซ้ำทำไมให้เปลือง ที่มีแนวคิดในการจับจ่ายซื้อของในแบบคนละขั้วกันเลยกับ YOLO นั่นก็คือ จากการใช้เงินแบบเปย์ไม่อั้น ซื้อของเพื่อดับไฟปรารถนา ก็กลายมาเป็นใช้จ่ายอย่างประหยัด รองเท้าคู่เดียวใส่ตลอดทุกเทศกาล มองการกินข้าวเพื่อการอยู่รอดมากกว่าการเข้าสังคม ซื้อสินค้าโดยพิจารณาจากอรรถประโยชน์เป็นหลัก ไม่ได้มองในเรื่องของ Social Status ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวก็ส่งผลให้การเติบโตของกลุ่มสินค้าประเภท High Involvement Product โดยเฉพาะอสังหาฯเกิดการถดถอยของดีมานด์ลงไปพอสมควร ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดก็คือการพัฒนารูปแบบสินค้าให้ตรงกับเทรนด์ในปัจจุบันให้มากที่สุด สื่อสารให้เค้าเห็นถึง Functional Benefit ที่ต้องซื้อเป็นหลัก โดยที่มองไปที่การขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ การนำ Business Model แบบใหม่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เป็น Landlord ต่างๆเพื่อช่วยลดราคาขายอสังหาฯลงอย่างมีนัย รวมไปถึงการทำ Cross Selling Strategy ระหว่างกลุ่มลูกค้าครับ ที่สำคัญก็คือต้องอยู่กับความเป็นจริง อย่าดัดจริตไป FOMO ทำโครงการเพื่อเรียกกระแส หรือแข่งกันปั่นราคาขาย โดยที่อาจจะหาคนซื้อจริงๆในตลาดไม่ได้ดังใจหวังครับ
เมื่อการหาฐานลูกค้าใหม่อย่างกลุ่มชาวต่างชาติ รวมไปถึงการสร้าง Cross Selling Strategy ในหมู่กลุ่มผู้ซื้อระดับเศรษฐีคนไทยที่มองการซื้อบ้านตากอากาศเป็นเรื่อง A-Must เพื่อหลีกหนีจากเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ ผลพลอยได้ทั้งหมดก็เลยตกมาอยู่ที่เมืองไข่มุกอันดามันอย่างภูเก็ตครับ โดยข้อมูลจากคุณภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวในนสพ.มติชน ฉบับวันที่ 3 ธ.ค. 2567 ว่า “ปี 2567 ตลาดคอนโดและวิลล่าภูเก็ตยังโตต่อเนื่อง โดย 3 ไตรมาสแรก มีเปิดใหม่กว่า 10,000 หน่วย มูลค่า 113,020 ล้านบาท เป็นคอนโด 9,298 หน่วย มูลค่า 64,500 ล้านบาท คาดไตรมาส 4 ที่เป็นไฮซีซั่นจะมีเปิดอีก 3,000 ยูนิต คาดทั้งปีจะมากกว่า 12,000 ยูนิต ถือว่าสร้างสถิติใหม่อีกครั้ง โดยทำเลหลักยังเป็นเชิงทะเลที่คึกคักมาก และไตรมาส 4 นี้น่าจะคึกมากขึ้น จากกำลังซื้อรัสเซียหนีหนาวเข้ามา ซึ่งเฉพาะตลาดต่างชาติในภูเก็ตมีการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ต่ำกว่า 2,000 ยูนิตต่อปี ตลาดภูเก็ตยังคงคึกคักเหมือนเดิม ยังไม่มีที่ไหนเอาลงได้ในปีนี้ ตอนนี้กลายเป็นว่ากรุงเทพฯยังสู้ไม่ได้ ซึ่งคอนโดกรุงเทพฯเปิดตัวแพ้ภูเก็ตมา 2 ไตรมาสแล้ว ตั้งแต่ไตรมาส 2 และ 3 ที่ผ่านมา กลายเป็นว่าความโดดเด่นไปอยู่ภูเก็ตหมดในเวลานี้”
ซึ่งก็กลายเป็นว่าตลาดอสังหาฯภูเก็ตกลายเป็นทำเล Red Ocean ในแบบเต็มตัว จากเดิมที่มีเพียงแค่ดีเวลลอปเปอร์ท้องถิ่น และดีเวลลอปเปอร์ต่างชาติเป็นผุ้เล่นหลัก แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำจากกรุงเทพฯทยอยกันรุกคืบเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดในภูเก็ตไปจนเกือบจะทุกทำเลแล้วนำโดยแสนสิริ ที่ได้กำหนดให้ ภูเก็ต เป็น Strategic Location หรือพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของบริษัทในการดำเนินธุรกิจ รองจากกรุงเทพฯ กับการเปิดตัวโครงการมาตลอด 13 ปีบนมูลค่ารวมกว่า 26,590 ลบ.
และภายใน 5 ปีข้างหน้า กับแผนยุทธศาสตร์ที่จะลงทุนเปิดอีก 27 โครงการ บนมูลค่ารวม 25,000 ลบ.
ทั้งนี้แม้ว่าภูเก็ตจะมีศักยภาพในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของฝั่งอันดามัน เต็มไปด้วยคนต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง โดยที่ภาครัฐก็ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต อาทิ Seaplane Terminal, ท่าอากาศยานอันดามัน การขยายสนามบินภูเก็ต และการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เพื่อรองรับ Cruise Terminal แต่ก็ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันนี้ การขยายตัวของจำนวนประชากรที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในภูเก็ตนั้นมีเยอะมาก เป็นจำนวนประชากรแฝงที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมากกว่าประชากรพื้นถิ่นอยู่หลายเท่าตัว มีโครงการอสังหาฯที่เปิดตัวใหม่ในทุกรูปแบบที่มีเข้ามาแทบจะทุกสัปดาห์ ในขณะที่ การจัดการผังเมือง เครือข่ายการคมนาคม การจัดการขยะ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ กลับไม่ได้เร่งขยายให้ทันต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาเป็นระยะๆ ทั้งเรื่องรถติด น้ำท่วม ไปจนถึงการขาดแคลนระบบขนส่งสาธารณะที่สามารถเข้าถึงได้ทุกคนในราคาประหยัด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นตัวฉุดรั้งที่ทำให้ตลาดอสังหาฯภูเก็ตไม่เดินหน้าไปในแบบทิศทางที่ควรจะเป็น จนทำให้เศรษฐีหลายๆคนอาจต้องคิดหนักในการที่จะย้ายถิ่นฐานมาอยู่อย่างถาวรครับ
แม้ปีนี้จะมีโครงการเปิดใหม่ที่น้อยมากจนแทบจะจำได้เลยว่ามีโครงการอะไรบ้าง เพราะดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่เน้นไปที่การระบายสต๊อคพร้อมอยู่ หรือเปิดขายเฉพาะโครงการขนาดเล็กที่มียูนิตน้อย สร้างเสร็จ รับรู้รายได้รวดเร็วทันที ไม่ว่าจะเป็นคอนโดหรือแนวราบ จากการขาดความช่วยเหลือขนานใหญ่จากภาครัฐ รวมถึงความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจที่จมปลักอยู่กับที่ไม่ไปไหนมาเกือบ 5ปีแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่าทุกโครงการที่ตัดสินใจส่งลงมาชิงชัยในปีนี้ ก็ล้วนเป็นโครงการที่มีดีพอที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่วางเอาไว้พอสมควรครับ บางโครงการก็เป็น One of A Kind Project โดยที่อีกหลายโครงการก็อัดสเปคแรงๆเข้าไปพร้อมกับทำราคาให้ถูกลงมา ซึ่งหากใครที่พอจะมีกำลังซื้ออยู่บ้างก็คงตัดสินใจเลือกได้ไม่ยากครับ
ดังเช่นปีทุกๆปีครับ เวปพร็อพฮอลิคเราไม่ได้มีผู้อุปถัมภ์ หรือมีทรัพยากรมากมายในการลงทุนเพื่อจัดงานมอบรางวัลให้กับเหล่าโครงการน้อยใหญ่ต่างๆ ดังเช่น Publisher รายใหญ่อื่นๆครับ แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่ามุมมองบางอย่างของเราน่าจะตรงกับความเป็นจริง และตรงกับใจของกลุ่มลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของโครงการนั้นไม่มากก็น้อย ช่วงใกล้ปีใหม่แบบนี้ ผมจึงขอนำเสนอบทความที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเรากับ PROPHOLIC’ Best of 2024 ซึ่งผมจะขอเรียกว่าเป็น “คำชื่นชม” ให้กับโครงการต่างๆที่ผมมองว่าเป็นโครงการที่มี Point of Different ที่ดีมากๆในสายตาของผมในรอบปีนี้มาให้ละกันครับ…มาเริ่มกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
1. คอนโดวิวแม่น้ำในเขตกรุงเทพฯชั้นใน ที่มีราคาคุ้มค่าที่สุด บนสเปคห้องที่เหนือว่าคอนโดในระดับราคาเดียวกัน: SUPALAI TYME เจริญนคร
“เราขายราคาเริ่มต้นที่แค่ตารางเมตรละ 70,500 บาทเท่านั้น และจากผล Research รวมถึง Consumer’s Trend ก็ชี้ให้เห็นว่าย่านเจริญนคร มีการตอบรับกับคอนโดที่มอบขนาดพื้นที่ใช้สอยที่กว้างกว่าในแบบ 2 ห้องนอนขึ้นไปค่อนข้างดี จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาห้องขนาดใหญ่ในเลย์เอาท์ที่หลากหลายในโครงการนี้ ตั้งแต่ 1 นอนพลัส – 3 นอนดูเพล็กซ์ ในสัดส่วนที่รวมกันสูงถึง 51% จากทั้งโครงการ ซึ่งถ้ามองจากภาพรวมของราคาตลาดในย่านนี้ก็จะพบว่า SUPALAI TYME เจริญนคร คือคอนโดใหม่ที่มีราคาขายถูกที่สุดในย่านเจริญนครตลอดทั้งเส้น ซึ่งแน่นอนว่าราคาตลาดในปัจจุบันแยกไปแต่ละโซนทั้งติดแม่น้ำ และวิวแม่น้ำ แม้กระทั่งในซอยมีความแตกต่างกันมาก โดยทำเลของ เจริญนคร จะมีราคาเฉลี่ยที่ 121,000 – 136,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ที่ TYME เราขายในราคาเริ่มแค่ 70,500 บาทต่อตารางเมตร เริ่ม 2.59 – 18.32 ล้านบาทเท่านั้น (เฉลี่ย 8 หมื่นกลางๆ ในแบบ Fully Fitted ซึ่งเราเชื่อว่าด้วยราคานี้จะช่วย Boost ยอดขายของเราในไตรมาส 4 ได้ดีมากแน่ๆ เพราะราคาแค่นี้เราก็ได้ Margin มากกว่าทุกโครงการในย่านนี้แล้ว”
พลันที่เราได้ฟังประโยคดังกล่าวจากคุณเต ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่ได้พูดในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการคอนโดใหม่ทั้ง 4 โครงการเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็นำมาซึ่งการตั้งคำถามขึ้นมาในใจมากมาย อาทิ ศุภาลัยเค้าขายถูกเกินไปหรือโครงการอื่นเค้าขายแพงเกินไปกันแน่, เลย์เอาท์ห้องขนาดใหญ่จะเป็นแบบไหน จะใหญ่แค่ขนาดห้องแต่ฟังก์ชันไม่โดนรึเปล่า หรือว่า วัสดุที่ได้ภายในห้องจะดีแค่ไหน เป็นเกรดแบรนด์ระดับไหน? เพราะแน่นอนว่าด้วยราคาขายดังกล่าว ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนไปยังโครงการคอนโดทุกแห่งบนถนนเจริญนครตลอดทั้งสาย ไปจนถึงย่านต่อเนื่องกันอย่างสาทร – ตากสิน หรือสุขสวัสดิ์ – ราษฎร์บูรณะ ด้วยกันทั้งหมด เพราะไม่มีโครงการใหม่ที่ไหนอีกแล้วที่สามารถทำราคาได้ดีในแบบเหลือเชื่อเท่านี้ได้แน่ๆ แต่คำถามดังกล่าวได้ถูกคลี่คลายคำตอบจนหมดสิ้นเมื่อเราได้เข้ามาเยี่ยมชมสัมผัสของจริง สเปคห้องจริงที่ได้ รวมไปถึงเลย์เอาท์ห้องรูปแบบต่างๆ ที่บอกเลยว่า “เกินความคาดหมาย – Beyond Expectation” ไปเยอะมากจริงๆ
โดย SUPALAI TYME เจริญนคร เป็น MVP (Most Valuable Project) ของย่านฝั่งธนฯ ประจำปีนี้ด้วยเหตุผลที่ยากจะโต้แย้งมากมาย อาทิ
1. ราคาเริ่มต้นถูกกว่าตลาดคอนโดเปิดใหม่ทุกโครงการบนถนนเจริญนครทั้งเส้น มีแต้มต่อในเรื่องของราคาเยอะไม่ว่าจะซื้ออยู่เอง หรือลงทุนก็คุ้ม ซึ่งในปัจจุบันพบว่าราคาที่ดินในย่านนี้ปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ราคาขายของโครงการ TYME เจริญนคร กลับมีราคาที่ถูกลงกว่าโครงการล่าสุดของศุภาลัยบนเส้นเจริญนคร อย่าง ศุภาลัยพรีเมียร์ เจริญนคร ด้วยซ้ำ แบบนี้รับรองว่าเกิดกระแส FOMO (Fear of Missing Out: กลัวพลาดกลัวตกรถ) ในหมู่บรรดานักช้อปคอนโดแน่ๆ โดยโครงการที่พักอาศัยในย่านเจริญนครตลอดทั้งเส้น ซึ่งแน่นอนว่าราคาตลาดในปัจจุบันแยกไปแต่ละโซนทั้งติดแม่น้ำ และวิวแม่น้ำ แม้กระทั่งในซอยมีความแตกต่างกันมาก ทำเลของ TYME เจริญนคร จะมีราคาเฉลี่ยที่ 121,000 – 136,000 บาทต่อตารางเมตรแต่ศุภาลัยขายในราคาเริ่มแค่ 70,500 บาทต่อตารางเมตร เริ่ม 2.59 – 18.32 ล้านบาทเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นโครงการที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ราคาดี แถมได้วัสดุอุปกรณ์ภายในห้องแบบพรีเมียมอีกด้วย
2. สเปคของที่ได้ภายในห้อง ที่ดีกว่าคอนโดอื่นที่อยู่ในระดับเซกเมนท์ราคาเดียวกัน พร้อมนวัตกรรม Smart Living ฟังก์ชั่นครบถ้วนของการอยู่อาศัย เช่น Food Drop, Drop Store และภายในห้องพักอาศัยก็จะได้เป็น Digital Door Lock, Air Condition แบบ Cassett Type ช่วยกรอง PM 1 มาพร้อมอุปกรณ์ห้องน้ำ อาทิ ระบบ Auto Flush, Rain Shower ทุกห้อง, Storage* และทุกห้องพักเป็นแบบ High Ceiling มีความสูงของฝ้าถึง 2.7 – 2.9 เมตร ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกเพศทุกวัย และช่วยให้คุณมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในห้อง
3. ศุภาลัยคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในการพัฒนาคอนโดวิวแม่น้ำ และริมแม่น้ำ ที่อยู่ในย่านเจริญนคร – คลองสาน – พระรามสาม มายาวนานหลายปี จึงการันตีได้ถึงฐานลูกค้าที่มี Loyalty เหนียวแน่น รวมไปถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่เป็นที่รู้จักคือ ศุภาลัย คาซา ริวา, ศุภาลัย ริเวอร์ เพลส, ศุภาลัย ริเวอร์ รีสอร์ท, ศุภาลัย พรีมา ริวา, ศุภาลัย ริวา แกรนด์ และโครงการบนถนนเจริญนคร ช่วงคลองสานที่ทำสถิติ one day sold out อย่าง ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ดังนั้นผู้ซื้อ Supalai TYME เจริญนคร จึงมั่นใจได้ว่าด้วยชื่อเสียงและความนิยมของแบรนด์ศุภาลัย น่าจะทำให้โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในทุกๆด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนารูปแบบเลย์เอาท์ห้องที่ตอบเทรนด์การอยู่อาศัยในปัจจุบันมากขึ้น
4. Best layout with Great Function มีห้องรูปแบบหลากหลาย ตอบรับทุกการใช้งาน ซึ่งห้องแต่ละห้องออกแบบให้มีพื้นที่ที่สามารถเปิดรับมุมมองของแม่น้ำได้อย่างดี โดยแบ่งเป็นห้องได้ถึง 5 กลุ่ม ตามความต้องการในการอยู่อาศัย ทั้ง 1. กลุ่มคนทำงาน อยู่กัน 1 – 2 คน กับห้องแบบ 1 ห้องนอนที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ห้องในสไตล์ Me Corner ได้/ 2. กลุ่มคู่รักที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว และทำงานในย่านเจริญนคร กับห้องที่กว้างกว่า ใช้งานได้จริงพร้อมกันในแบบ 1 Bed Plus – 2 Bed / 3. กลุ่มครอบครัวใหญ่ที่ต้องการขยับขยาย ย้ายจากที่อยู่เดิมที่เป็นอาคารพาณิชย์มาสู่คอนโดห้องใหญ่ในขนาด 2 Bed Plus – 3 ห้องนอน/ 4. กลุ่มห้องหายาก Rare Item ที่เป็นห้องพิเศษขนาดใหญ่ มีจำนวนยูนิตน้อย ทั้งแบบ 2 Bed Duplex, 3 Bed Duplex เหมาะกับอยู่เองได้จริงในแบบยาวๆ และการลงทุนขายต่อในอนาคต/ 5. ห้องชุดเพื่อการพาณิชย์จำนวน 2 ยูนิต
5. Rooftop Facilities ชมวิวแม่น้ำได้ 180 องศา ทางโครงการได้ยกเอาส่วนกลางขึ้นไปไว้บนชั้น Rooftop คือชั้นที่ 27 – 28 และหันหน้าเข้าวิวแม่น้ำ มีทั้งสวน สระว่ายน้ำ ฟิสเนต Co-Working ห้องเล่นเกม เพื่อให้คุณได้พักผ่อน พร้อมๆ กับมองวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ เพราะวิวในชั้นนี้สามารถมองเห็นแม่น้ำ และวิวเมืองได้ไกลสุดสายตา ไม่ว่าคุณจะออกกำลังกาย ว่ายน้ำ หรือนั่งทำงาน ก็จะมองเห็นวิวสวยๆ นี้ได้ตลอดทั้งวัน
6. มี Shuttle Service โดยโครงการเชื่อมต่อถนนหลายสาย อาทิ เจริญนคร สาทร พระราม 3 รวมถึงบริการรถรับ – ส่งลูกบ้านจากโครงการสู่ BTS สถานีกรุงธนบุรี แม้โครงการจะไม่ติดกับโครงการรถไฟฟ้า แต่ก็ยังคำนึงถึงความต้องการของลูกบ้านที่ใช้ขนส่งสาธารณะ สะดวกต่อคนที่ใช้รถไฟฟ้าและรถสาธารณะเป็นอย่างมาก
7. รับประกันโครงสร้าง 10 ปี และส่วนควบในห้องชุดอีก 3 ปี โดยครอบคลุมการคุ้มครองภายในห้องเป็นเวลา 3 ปี หลังโอนกรรมสิทธิ์ หากเกิดมีผนัง พื้น ราวระเบียง หลังคา ฝ้าเพดาน ประตู หน้าต่าง ห้องน้ำ งานไฟฟ้า และประปา ชำรุด หลังซื้อไปอยู่อาศัย สามารถติดต่อที่ทางศุภาลัยได้เลย
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://propholic.com/prop-verdict/supalai-tyme-charoen-nakhon/
2. โครงการ Home Office ที่มีงานดีไซน์งดงามเหนือกาลเวลามากที่สุด บนย่านอ่อนนุช:
District Sukhumvit 77
ต้องบอกว่าปกติแล้วเรามักจะไม่ค่อยเห็นแบรนด์บ้านประเภทโฮมออฟฟิศจากเอพีอย่าง District (ดิสทริค) เข้ามาทำตลาดมากเท่าไหร่ แตกต่างจากแบรนด์บ้านแฝดอื่นๆ ทั้ง บ้านกลางเมือง The Edition และ บ้านกลางเมือง Classe ที่มีโครงการเปิดใหม่แทบจะทุกไตรมาส โดยในปัจจุบันโครงการภายใต้แบรนด์ District มักจะมี Perception ในเรื่องของการเป็นโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ที่มอบ Value for Money ราคาเพียงแค่ 3 – 4 ล้านบาท สำหรับการทำกิจการค้าขายบนทำเลใจกลางย่านชุมชนแถบชานเมือง แต่กับแบรนด์ล่าสุดอย่าง District Sukhumvit 77 นี่ต้องบอกว่าเป็นการพลิกโฉม Uplift ครั้งสำคัญของแบรนด์ นับตั้งแต่การเปิดตัว District โครงการแรกที่ศรีวรา กับคอนเซปท์การออกแบบที่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์อันงดงามสุดดึงดูดใจในสไตล์ New York Renaissance Revival ที่นำเอาเอกลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรมอันงดงามเหนือกาลเวลาที่มหานครนิวยอร์ก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องต้นศตวรรษที่ 20 มาดีไซน์ใหม่ให้เป็นอาคารบ้านแฝดสูงตั้งแต่ 3.5 – 5 ชั้น ที่ยังคงอัตลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเช่น Facade แบบสมมาตร ที่มีการแบ่งสัดส่วนระหว่างชั้นที่แตกต่างกันออกไปให้เห็นชัดเจนด้วยอิฐสีแดง ตัดกับปูนสีขาว กระจกบานใหญ่ และโลหะรูปทรงซุ้มโค้งสีดำ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสไตล์การออกแบบที่แตกต่างจากโฮมออฟฟิศทุกแห่งที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วย Space & Style ที่มีแต้มต่อที่มากกว่า จึงช่วยสะท้อนภาพลักษณ์อันโดดเด่นของธุรกิจคุณ เช่นเดียวกับมอบภาคภูมิใจให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ในทุกครั้งที่มีลูกค้าแวะมาเยี่ยมชมอีกด้วย
โครงการ District Sukhumvit 77 ตั้งอยู่ในซอยอ่อนนุช 21 บริเวณด้านหน้าติดถนนใหญ่ มีทางเข้า – ออกถึง 2 ทาง มีเพียงแค่ 26 หลังเท่านั้น กับแบบบ้าน 3 แบบ แบ่งเป็นบ้านแฝด 3.5 ชั้น Clinton จำนวน 2 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 380 ตารางเมตร และ Borough จำนวน 8 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 400 ตารางเมตร และบ้าน 5 ชั้น Madison จำนวน 16 ยูนิต มอบพื้นที่ใช้สอยแบบใหญ่เบิ้ม เป็นอาณาจักรแห่งความสำเร็จได้ถึง 536 ตารางเมตร หน้าบ้านกว้าง 9 เมตร จอดรถได้สูงสุด 7 คัน รองรับการต่อเติมได้รอบบ้าน เช่นเดียวกับการทุบผนังติดกันได้เลย เพราะลงเสาเข็มไว้ทั่วบริเวณ และก่อสร้างแบบ Conventional บนที่ดินโครงการขนาด ประมาณ 4 ไร่
โดยโครงการนี้น่าจะเหมาะกับกลุ่มคนที่ทำบริษัทฯ ขนาดกลางที่มีพนักงานราวๆ 20 คนขึ้นไป ส่วนบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยๆ คงจะไม่เหมาะ หรืออยู่เองเป็นบ้านเพียงแค่ 2-3 คนก็คงดูแปลกๆ เพราะรูปแบบเป็นบ้านแนวสูง ที่มีพื้นที่เปิดโล่งเยอะแบบแยกชั้นมากจริงๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร อีกทั้งห้องน้ำแบบ Fully Equipped อาบน้ำได้ก็มีแค่ 3 ห้อง ถ้าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่แบบ 6 – 7 คนก็อาจจะต้องใช้บริการลิฟท์เยอะหน่อย และลิฟท์ที่นี่คือเกรด Commercial ดังนั้นค่า MA ต่อปีก็ค่อนข้างสูงหน่อย ประมาณปีละ 80,000 บาท ซึ่งก็เหมาะกับคนทำออฟฟิศเปิดกิจการ ที่เอามาหักค่าใช้จ่ายได้ มากกว่าคนซื้ออยู่เอง ส่วนอีกกลุ่มที่เหมาะคือเจ้าของกิจการขนาดกลางที่มีธุรกิจที่มีลูกค้าหมุนเวียนเข้าออกทุกวันเยอะๆ ต้องการใช้ Space ที่แตกต่างกันไปในแต่ละชั้นมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Health & Wellness Center, Dental Clinic, โรงพยาบาลสัตว์ ในแบบ Total Solution พร้อม Pet Day Care, ร้านอาหาร และคาเฟ่แบบผสมผสาน ที่เรามองว่าน่าจะ work ก็คือพวก Art Gallery ที่ผสมทั้ง Studio ถ่ายภาพ และพื้นที่แฮงค์เอาท์ ที่มีสไตล์เหมาะกับการถ่ายรูปลงโซเชียลหน่อย ค่าส่วนกลางก็ถูกเพราะจะมีแค่ค่าบำรุงถนน เก็บขยะ กับ Security คือตกตารางวาละ 29 บาทเท่านั้น ประมาณหลังละ 16,0000 บาทต่อปีเอง ประหยัดกว่าการซื้อบ้านเดี่ยวบนขนาดพื้นที่ดินแบบเดียวกันไปเยอะเลย
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://propholic.com/prop-verdict/district-sukhumvit-77
3. Branded Residences ที่ทำสถิติราคาขายสูงที่สุดในประเทศ: PORSCHE DESIGN TOWER Bangkok
Branded Residences ไม่ใช่ของใหม่ในไทยครับ เพราะเราคงคุ้นเคยกันดีกับสารพัดโครงการระดับ Ultra – Luxury ทั้งในกรุงเทพฯ ภูเก็ต เขาใหญ่ หัวหิน และพัทยา กับ Dusit Residences and Dusit Parkside, The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok, Four Season Private Residences, The Ritz Carlton Residences at Mahanakhon, Banyan Tree Residences Riverside Bangkok, The Residences at Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นกลุ่ม Hotel Branded Residences ทั้งนั้น แต่ต้องบอกว่าผู้เล่นในกลุ่ม Non Hotel Branded Residences กลับมีไม่มากเท่าไหร่ครับ จะมีก็เพียงแค่โครงการ Khun by Yoo Inspired by Starck เป็นโครงการเดียวเท่านั้น
ตลาด Branded Residences นั้นมีอีกกลุ่มผู้เล่นสำคัญ ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กับกลุ่ม Hotel Branded Residences ที่ช่ำชองในเรื่องของรูปแบบการบริการที่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์การบริการที่ให้คุณเป็นเหมือนกับแขกสุดพิเศษของแบรนด์นั้นๆในทุกๆวัน นั่นก็คือ Non Hotel Branded Residences ที่มักจะเป็นการสร้างสรรค์โครงการที่มีการ Collaboration กับสินค้าในกลุ่ม Luxury Lifestyle & Jewelry เช่น Ralph Lauren, Roberto Cavalli, Bottega Veneta, Bulgari, Versace, Missoni, Fendi, Gianfranco Ferre, Baccarat, Moschino และ Armani/ Luxury Automotive เช่น Aston Martin, Porsche, Bentley, Bugatti และ Lamborghini รวมถึงกลุ่ม Design Firm ชั้นนำ จนออกมาเป็น Non Hotel Branded Residences แบรนด์ต่างๆอย่างเช่น Residence, LV Residences, Bulgari Residences, Aston Martin Residences, Fendi Private Residence หรือ Armani Hotel ที่ต่างก็มีฐาน Brand Followers อันแข็งแกร่งอยู่ทั่วโลก ซึ่งความแตกต่างของกลุ่มนี้ก็คือ การนำเสนอรสนิยมในแบบเฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากที่อื่น ทั้งในแง่ของ Emotional และ Functional ที่มีการผสมผสานทั้ง Brand Identity & Heritage ของวัสดุ ซิกเนเจอร์ดีไซน์ และเฟอร์ฯที่นำมาใช้ เมื่อบวกกับงานดีไซน์อาคารที่โดดเด่นเหนือใครแล้ว [โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Luxury Automotive ที่มักจะมีการดีไซน์อาคารในแบบ Ultra Modern Architecture ที่อิงมาจากรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวของตัวรถ] จึงทำให้โครงการแต่ละโครงการมีแรงดึงดูดที่มากกว่า Hotel Brand Residences ทั่วไป ซึ่งไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากการออกแบบโครงการที่พักอาศัยเป็นหลัก
สำหรับ PORSCHE DESIGN TOWER BANGKOK (ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก) ที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น เป็นการร่วมพัฒนากันระหว่างอนันดา และ PORSCHE บนช่วงต้นซอยสุขุมวิท 38 ภายใต้คอนเซปท์ “Tomorrow’s Living Dream” ซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 3 ของแบรนด์ PORSCHE ต่อจาก Porsche Design Tower Miami โดย Porsche เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติเยอรมัน ทำงานร่วมกับ Dezer Development ในการพัฒนาอาคารพักอาศัยแห่งแรก ที่ได้เปิดในปี 2017 เป็นรูปแบบอาคารสูง 60 ชั้น จำนวน 132 ยูนิต ประกอบไปด้วยลิฟท์จอดรถอัตโนมัติที่สามารถนำรถไปจอดในห้องพักอาศัยได้เลย และมาพร้อมกับบริการบำรุงรักษารถยนต์ขั้นพื้นฐาน เช่น เปลี่ยนยาง หรือการล้างรถ โดยสามารถจอดรถบน Sky Garages ได้ตั้งแต่ 2 – 11 คัน ส่วนโครงการที่ 2 จะเป็นอาคารโรงแรม Radisson Blu โชว์รูมรถยนต์ และออฟฟิศสูงที่สุดในเมืองกับระดับ 90 เมตร ในเมือง Stuttgart ประเทศเยอรมัน ที่ใช้ชื่อว่า Porsche Design Tower Stuttgart และที่ล่าสุดก็คือที่สุดขุมวิท 38 นี่ล่ะครับ โดยมาพร้อมกับ Signature Designs สุดหวือหวา สมกับเป็น Ultra Modern Architecture อาทิ The X-Frame ซึ่งเป็นการออกแบบระบบโครงสร้างและหน้าตา facade บริเวณส่วน Podium ชั้นส่วนกลางให้เป็นรูปทรง x ปราศจากเสาและคานรูปแบบเดิมๆให้เกะกะสายตา หน้ากว้างเกือบเต็มความยาวที่ดินถึง 80 เมตร, The Crown การออกแบบยอดอาคาร ที่มอบความโดดเด่นในยามค่ำคืนด้วย The Iconic Light สีแดง ราวกับไฟท้ายของรถยนต์ PORSCHE 911 Carrera S, The Loop อันนี้ดูอวกาศมาก คุณโก้บอกว่าเหมือนกับซีนจากหนังเรื่อง Mission Impossible ที่ทอม ครูซ โรยตัวลงมาจากเพดานอาคาร เพราะเค้าออกแบบโถงทางรถวิ่งในอาคารแบบ Single Loaded Corridor พร้อมโถง Atrium แบบเปิดโล่งอยู่กลางอาคาร ให้ผู้พักอาศัยขับรถขึ้นไปจอดที่ Passion Space ส่วนตัวได้เลย ก่อนที่จะใช้ Private Lift ขึ้นไปที่ห้องได้ โดย Passion Space นี้จะสามารถใช้เป็น Showcase ส่วนตัว หรือทำกิจกรรมพบปะปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงท่ามกลางรถแสนรักได้อย่างง่ายดาย
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://bit.ly/4eZZxaK
4. บูทิคคอนโด ดีไซน์เปี่ยมเอกลักษณ์แห่งแรกในย่านเชิงทะเล ภูเก็ต: SURFHOUSE Residences Phuket – Bangtao
ในรอบปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสแวะเวียนมาดูคอนโดที่ภูเก็ตหลายโครงการ จากหลายดีเวลลอปเปอร์ทั้งไทยและต่างชาติ แต่น่าแปลกที่มีเพียงแค่ไม่กี่โครงการเท่านั้น ที่สามารถถ่ายทอดบริบทของการใช้ชีวิตบนเมืองริมชายฝั่งทะเลอันดามัน อันเปี่ยมไปด้วยอัตลักษณ์ที่น่าตื่นตาของเกลียวคลื่นกระทบชายหาด เสียงคลื่นกระทบฝั่งที่แทรกเข้ามาท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติป่าเขา ตลอดจนสีสันของกิจกรรมริมชายหาด ผ่านงานออกแบบสถาปัตยกรรมที่มอบความผ่อนคลายสบายใจ ราวกับอยู่ในวิลล่าส่วนตัว เพื่อให้คุณได้ดื่มด่ำกับลมหายใจแห่งมหาสมุทรก่อนที่จะกลับไปเผชิญกับชีวิตอันแสนวุ่นวายในเมืองหลวงอีกครั้ง…SURFHOUSE Residences by Sala Hospitality คือหนี่งในคอนโดที่ผมเชื่อว่า หากใครได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศจริงเมื่อตอนตึกเสร็จแล้ว ก็จะต้องหวนนึกถึงเสมอ ในทุกคราวที่แวะเวียนมาเยือนที่ภูเก็ต แม้ว่าตัวโครงการจะอยู่ค่อนข้างห่างจากชายหาดบางเทา และไกลจากย่านแฮงค์เอาท์สตรีทอย่างเชิงทะเลพอสมควร แต่ด้วยราคาขายราวๆตรม.ละแสนต้นๆ กับการบริหารประสบการณ์ตามแบบฉบับของ Sala Hospitality ก็เชื่อว่าที่นี่น่าจะเป็นที่หมายปองในใจของใครหลายคนครับ
SURFHOUSE Residences ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด ISLAND STATE OF MIND ที่ผสานการออกแบบและความเป็นธรรมชาติมาบรรจบกันอย่างกลมกลืน ความงดงามบนเส้นโค้งของเกลียวคลื่น สีครีมของเม็ดทราย และพื้นที่ระเบียงที่กว้างเพียงพอสำหรับทุกกิจกรรม และสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ เช่นเดียวกับนำแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของคลื่นเวลาที่เล่น Surf มาถ่ายทอดออกมาผ่านเส้น Facade และ Oversize Balcony ที่มีความโค้งมน เป็น Organic Form ที่แตกต่างจากโครงการคอนโด Low Rise ทั่วไป เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้เปิดรับอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มที่ โดยที่ยังให้ความสำคัญพิถีพิถันกับการเฟ้นเลือกวัสดุสำหรับโครงการที่มีคุณภาพสูง เพื่อความสวยคลาสสิกแบบไร้กาลเวลา นอกจากนี้ยังให้ความ Exclusivity เหนือใครด้วย จำนวนยูนิตเพียงแค่ 34 ยูนิต บริการที่ให้คุณได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วย Lifestyle Concierge, Housekeeping, Laundry, Catering Services และ Surf Class พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมายจากโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ Sala Hospitality Group โดยสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกฟรีที่ โรงแรม ศาลา ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่โหยหาวิถีธรรมชาติ แต่ต้องการความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว บนนิยามของโครงการที่ว่าถ้า “ศาลา” คือโรงแรมที่เน้นมอบประสบการณ์การบริการระดับไฮเอนด์ สำหรับ SURFHOUSE คือการตอบโจทย์ในทุกมิติของที่อยู่อาศัยแบบกลมกล่อม ลงตัวในทุกฟังก์ชัน และความรู้สึก
สำหรับ Sala Hospitality Group คือเครือบูติครีสอร์ทสุดหรูที่มีสไตล์โดดเด่นและมีชื่อเสียงของเมืองไทย ที่ก่อตั้งในปี 2549 โดยคุณทศ จิราธิวัฒน์ และภรรยาคุณศุกตา (เป็นธุรกิจส่วนตัว ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทกงสีในกลุ่มเซ็นทรัล) จาก Passion ในเรื่องของ Luxury Travel & Lifestyle โดยที่ชื่นชอบในดีไซน์โรงแรมสไตล์ Boutique & Romantic แตกต่างจากโรงแรมในเครือ Centara ที่เน้นความใหญ่โตของตัวอาคาร และพื้นที่ส่วนกลาง โดยศาลาฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป จะเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ในแบบ Immersive แบบเป็นส่วนตัวกับบรรยากาศโดยรอบให้กลมกลืนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา ทะเล หรือริมแม่น้ำ แบ่งออกเป็น 2 แบรนด์หลักได้แก่ ศาลา รีสอร์ท แอนด์ สปา และ ศาลาบูติก ที่มีจำนวนยูนิตแค่หลักสิบยูนิต ปัจจุบันมีธุรกิจโรงแรมระดับไฮเอนด์เครือศาลาจำนวน 9 แห่งทั่วประเทศไทย รวมไปถึงรีสอร์ทและสปา Six Senses บนเกาะสมุยที่ขึ้นชื่อในความละเมียดละไม และความพิถีพิถันในการใส่ใจบริการ จนสามารถคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วหลายรายการ ที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2547 โดยเป็นรีสอร์ทแบบ Pool Villa แห่งแรกๆของไทย
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://bit.ly/3ZE4CB7
5. ทาวน์โฮมและบ้านแฝดที่มีทำเลดีที่สุดของฝั่งธนฯ: Supalai Grand Essence Arun Amarin
ถนนอรุณอมรินทร์นั้นเป็นถนนสายวัฒนธรรมของฝั่งธนฯ ที่เชื่อมต่อไปยังถนนหลักใกล้เคียงได้หลายสาย ทั้งอิสรภาพ, พระราม 8 รวมไปถึงประชาธิปก โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 โซนหลักก็คือ ช่วงต้นที่เชื่อมต่อระหว่างถนนอรุณอมรินทร์ และถนนประชาธิปก บริเวณใกล้กับโรงเรียนศึกษานารีและวงเวียนเล็ก ซึ่งเป็นย่านแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่วางตัวคู่ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา มี landmark ที่สำคัญคือ วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) วัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร โดยที่สามารถเดินทางสู่ถนนอิสรภาพและสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT อิสรภาพ ได้ผ่านทางถนนวังเดิม/ ช่วงกลางตั้งแต่แยกถนนวังเดิม – แยกถนนวังหลัง ที่ได้ชื่อว่าเป็น Medical Hub ด้วยความใกล้โรงพยาบาลชั้นนำถึง 2 แห่งคือ รพ.ธนบุรี และรพ.ศิริราช โดยมี Landmark ที่สำคัญหลายแห่งทั้ง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ตลาดวังหลัง / และช่วงปลาย ตั้งแต่แยกวังหลังข้ามสะพานอรุณอมรินทร์ ไปสิ้นสุดที่สะพานพระราม 8 เชื่อมต่อกับย่านปิ่นเกล้า ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลในการพัฒนาคอนโด
จากศักยภาพ ความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยสะพานข้ามแม่น้ำ ไปจนถึงตัวเลือกการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใกล้เคียงมากถึง 3 สาย ทั้งสายสีเขียว สีน้ำเงิน และสายสีทอง รวมถึงในเชิงการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ตลอดจนการเป็นทำเลศูนย์กลางของ Medical Hub แถวหน้าของประเทศ ของย่านอรุณอมรินทร์ – ประชาธิปก จึงอาจกล่าวได้ว่านี่หนึ่งใน Rare Location สุดยอดทำเลหายากในย่านฝั่งธนฯ ที่การพัฒนาโครงการแนวราบดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากไม่สามารถหาที่ดินขนาดใหญ่ในย่านนี้เพื่อพัฒนาโครงการได้ อีกทั้งหากพัฒนาได้ก็คงจะมีเพียงแค่ไม่กี่หลัง ซึ่งก็จำเป็นต้องขายในราคาแพงมากๆ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญพื้นที่ด้านฝั่งธนฯของศุภาลัย จากการเปิดโครงการคอนโดใหม่อย่างต่อเนื่องบนทุกทำเลศักยภาพของฝั่งธนฯ จึงทำให้การพัฒนาโครงการแนวราบครั้งแรกในย่านนี้เป็นจริงขึ้นมาได้กับ “ศุภาลัย แกรนด์ เอสเซ้นส์ อรุณอมรินทร์” บ้านแฝด และทาวน์โฮมหรู 3.5 ชั้น Modern Luxury สุด Private เอกสิทธิ์เพียง 36 ครอบครัว
Supalai Grand Essence ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าประเภทบ้านทรงสูงในเขตเมือง (Luxury Urban Home) ที่มีระดับราคาขายเกินกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป โดยนี่เป็นโครงการที่ 2 แล้ว และก็เป็นโครงการที่ไม่ไกลจากโครงการแรกอย่าง Supalai Grand Essence @ Thaphra Interchange มากเท่าไหร่ โดยอาจกล่าวได้ว่า “ศุภาลัย แกรนด์ เอสเซ้นส์ อรุณอมรินทร์” คือการสานต่อความสำเร็จจากโครงการแรก จากดีมานท์การอยู่อาศัยในย่านนี้ที่ยังคงมีอยู่อีกเยอะ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีโครงการแนวราบจากผู้พัฒนารายอื่นอีกเลยในย่านนี้ เนื่องจากเป็นย่านที่มีแต่คอนโดใหม่ที่เกาะทั้งสถานี MRT อิสรภาพ, BTS วงเวียนใหญ่, BTS สายสีทองสถานีคลองสาน และ MRT สายสีม่วงใต้สถานีสะพานพุทธ ที่ปริมาณยูนิตรวมๆ กันแล้วเป็นหลายพันยูนิตเลย แต่แทบจะไม่น่าเชื่อว่าในย่านนี้ไม่มี Supply ทั้ง Home Office, Townhome และบ้านแฝดสร้างใหม่ ในทุกระดับราคาเกิดขึ้นเลยมานานมากๆ เเล้ว ตัวเลือกแนวราบของคนในย่านนี้คือตึกแถวเก่าๆ ไม่ว่าจะริมถนนหรือในซอยเท่านั้น ที่ซื้อแล้วมารีโวทวนซ้ำไปมา แถมจำนวนบ้านทั้งหมดในโครงการยังมีแค่ 36 หลัง ใกล้รถไฟฟ้า MRT สะพานพุทธ แบบเดินไปได้เพียง 350 เมตร ใกล้กับโรงเรียนศึกษานารี และโรงเรียนซางตาครูส ฯลฯ
ซึ่งหากใครที่กำลังมองหาบ้านแนวสูงที่มอบความสะดวกสบายขั้นสุดบนทำเลฝั่งธนฯ ต้องยกให้ทำเลที่นี่มาเป็นอันดับหนึ่งของปีนี้เลย เพราะตัวเลือกอื่นในระดับราคาเดียวกันก็คือ บ้านเดี่ยวที่อยู่ในย่านที่ไกลอออกไปอย่างถนนพรานนกตัดใหม่ บรมราชชนนี ราชพฤกษ์ บางแค วุฒากาศ กัลปพฤกษ์ ในราคาที่อาจจะแพงกว่าแต่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่น้อยกว่า ซึ่ง Supalai Grand Essence Arun Amarin เป็นบ้านที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ มีหลายชั้น หลายห้องให้เลือกอยู่ พร้อมพื้นที่ของครอบครัวให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และยังอยู่ในเขตเมืองที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อย่านอื่นได้สะดวกอีกด้วย
อ่านบทความรีวิวทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://propholic.com/prop-verdict/supalai-grand-essence-arun-amarin/
6. ห้อง Loft ที่พาพร้อมดีไซน์แปลกใหม่ ให้พื้นที่ใช้สอยได้มากกว่าใครถึง 3 ระดับ: ASPIRE HUAI KHWANG
ASPIRE ห้วยขวางเป็นคอนโด High Rise ใหม่เพียงแค่แห่งเดียวของย่านห้วยขวาง ฝั่งตลาดห้วยขวาง ที่พ่วงด้วยนวัตกรรมดีไซน์จากการผสานความร่วมมือระหว่างเอพี และมิตซูบิชิ เอสเตท เพื่อชีวิตจริงที่ใช้งานได้มากกว่า สามารถตอบชีวิต 24 ชั่วโมงด้วยทำเลใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีห้วยขวาง
การออกแบบที่ล้ำกว่าที่อื่นๆ เพราะเป็นครั้งแรกกับห้องแบบ New Triplex เพดานสูงถึง 4.45 เมตร ที่แบ่ง Space การใช้งานออกเป็น 3 Layers พร้อมห้องเก็บของขนาดใหญ่ และห้องแบบ SIMPLEX ได้พื้นที่ครัวแบบปิด และ Flexible area ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ การสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนกลางให้แตกต่างและตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง โดยมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ เชื่อมต่อ 3 อาคารไว้เป็นหนึ่งเดียว บนพื้นที่กว่า 3,940 ตารางเมตร ที่มีไฮไลท์เป็นสระว่ายน้ำแบบ Lap Pool ยาวถึง 30 เมตร พร้อม AQUA ENERGETIC HUB และสไลเดอร์สีแดงสดใส THE ROSY SWIRL เปิดขายในราคาเริ่มต้นที่ Competitive ในบรรดาทุกคอนโดใหม่ย่านห้วยขวางที่เป็นทำเล ยอดฮิตของบรรดา Expat ชาวเอเชีย เพราะใกล้สถานฑูตจีนและเกาหลี
ทำให้มีโอกาสปล่อยเช่าที่มากกว่า เพราะอยู่ท่ามกลางจุดศูนย์กลางของ Office Hub ของ New CBD พระรามเก้า และเป็น Campus Condo กลางเมือง ที่ใกล้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในแบบที่เดินถึงได้สะดวก
รายแรกในไทยกับ NEW TRIPLEX ห้องชุดดีไซน์ใหม่ ขนาด 1 ห้องนอนเริ่ม 27 – 45 ตารางเมตร ที่ตกแต่งเพิ่มเติมได้สูงเทียบเท่าห้อง 3 ชั้น เพื่อชีวิตจริงที่ใช้งานได้มากกว่า เชื่อมต่อทุกพื้นที่เป็นหนึ่งเดียว นวัตกรรมดีไซน์จากการผสานความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น พร้อมห้องเก็บของขนาดใหญ่พิเศษกว่าที่เคยพบมา โดยห้องชุดแบบ NEW TRIPLEX จะเริ่มในชั้น 29-34 ของอาคาร B โดยพร้อมเปิดให้ชมสเปซ 3 ชั้นจริงในขนาดห้องชุดแบบ 30 ตารางเมตร 1 ห้องนอน ณ สำนักงานขาย สัมผัสพื้นที่ชั้น 1 ที่ครบทั้งในส่วนของ Living Room พื้นที่ครัว ห้องน้ำ และห้องเก็บของขนาดใหญ่ พร้อมการปรับพื้นที่ใช้สอยแนวตั้งที่เพิ่มขึ้น เป็นได้ทั้งพื้นที่ระเบียง ชั้น 2 กับ Multi Space ที่สามารถปรับเป็นพื้นที่ทำงานแบบส่วนตัวได้อย่างสบายๆ และการต่อเติมในชั้น 3 กับพื้นที่ห้องนอน พร้อม Powder Room ที่เป็นสัดส่วน
อ่านบทความรีวิวต่อทั้งหมดอีกครั้งที่นี่ https://propholic.com/prop-verdict/aspire-huai-khwang/