วิเคราะห์เทรนด์การพัฒนาห้อง Loft เพดานสูง หวังแก้ Pain Point ในการอยู่คอนโด หรือเป็นเพียงอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเพิ่มกำไรให้ผู้ประกอบการ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดที่อยู่อาศัยทางตั้งหรืออาคารชุด(Condominium) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลตามแนวรถไฟฟ้าทั้งในทำเลใจกลางเมืองและชานเมือง จากการที่มีดีมานด์ของคนที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลที่เดินทางได้สะดวก ใกล้แหล่งงาน ซึ่งผู้ประกอบการ(Developer) ก็มีการพัฒนาห้องพักอาศัยหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่ด้วยทำเลที่ตั้งของอาคารชุดเป็นทำเลที่เดินทางได้สะดวก ก็ย่อมต้องแลกมากับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย จึงทำให้พบเห็นผู้ประกอบการมีการพัฒนาห้องพักอาศัยในอาคารชุดที่มีขนาดเล็กลงๆ เพื่อที่จะได้ทำราคาออกมาได้อย่างเหมาะสม ไม่สูงจนเกินไปและยังตรงกับกลุ่มลูกค้าที่จะมาอยู่อาศัย
โดยตลาดห้องชุดในปัจจุบันที่มีขนาดเล็กสุด จะอยู่ที่ประมาณ 21 ตารางเมตร ซึ่ง Pain Point สำคัญในการอยู่อาศัยของห้องขนาดเล็ก คือ เรื่องของความคับแคบ ความทึบตัน แสงเข้าไม่ถึง รวมถึงการใช้งานกิจกรรมแทบทุกอย่างจะอยู่ในพื้นที่เดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่นอน พื้นที่พักผ่อน หรือ พื้นที่ทำงาน ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการอยู่อาศัยห้องชุดขนาดเล็กหรือห้องSimplex ทั่วไป ในปัจจุบันจึงเห็นว่ามีการพัฒนาห้องพักอาศัยในอาคารชุดรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า ห้อง Loft ซึ่งเป็นห้องพักอาศัยที่ผู้ประกอบการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหา Pain Point ความคับแคบและความทึบตัน ให้สามารถมีมิติที่โปร่งโล่ง โดยใช้วิธีการเพิ่มความสูงของฝ้าเพดานและเพิ่มพื้นที่ชั้นลอย เพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องเพิ่มมากขึ้น เป็นการแก้ปัญหาข้อจำกัดเดิมของห้องขนาดเล็ก ทั้งในด้านการจัดฟังก์ชันการใช้งาน ด้านบรรยายกาศภายในห้องที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ในปัจจุบันจึงพบเห็นผู้ประกอบการหลายรายที่นิยมพัฒนาห้องพักอาศัยในรูปแบบ Loft ใส่เข้าไปในตัวโครงการกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Siamese Rama 9, โครงการ Landmark, โครงการ Noble Form Thonglor, โครงการ Whizdom The Forestia และ โครงการอื่นๆ เป็นต้น
ข้อสังเกตของการพัฒนาห้องในรูปแบบ Loft อีกประเด็นหนึ่ง อาจจะเป็นการแก้ปัญหาให้กับ Developer เองรึเปล่า? เนื่องจาก ห้องรูปแบบ Loft เป็นห้องที่สามารถเลี่ยงข้อกำหนด FAR (Floor Area Ratio) ได้ จากการที่พื้นที่ชั้นบนที่เพิ่มขึ้นมาจะถูกคิดเป็นพื้นที่เฟอร์นิเจอร์ไม่ได้คิดเป็นพื้นที่ก่อสร้าง(ไม่รวมอยู่ในโฉนด) และจะไม่รวมอยู่ใน FAR ทำให้ Developer นิยมพัฒนา เพราะ จะได้ขายห้องพักได้ในราคาที่สูงขึ้นและไม่ติดข้อกำหนดด้าน FAR
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วหลายๆท่านคงตั้งคำถามต่อว่า แล้วห้องพักอาศัยที่เรียกแบบ Duplex ละมีความเหมือนหรือความแตกต่างกับห้องพักอาศัยในรูปแบบ Loft อย่างไรบ้าง ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างห้อง Loft และ ห้อง Duplex จริงๆแล้วมีอยู่หลายประเด็นดังต่อไปนี้
ห้องพักอาศัยในรูปแบบ Loft จะเป็นห้องพักอาศัยที่มีชั้นลอย ซึ่งในทางกฎหมายไม่มีการกำหนดว่าพื้นที่ชั้นลอยต้องมีความสูงกี่เมตร ทำให้เห็นว่าหลายโครงการมีการทำเพดานบริเวณชั้นลอยที่เตี้ยหรือต่ำกว่า 2.4 เมตร ซึ่งต่ำกว่าความสูงของห้องมาตรฐานปกติ ในส่วนพื้นที่ชั้นลอยที่เพิ่มขึ้นมาจะถูกคิดเป็นส่วนของ “เฟอร์นิเจอร์” ทำให้เมื่อคิดค่าส่วนกลางพื้นที่ใช้สอยบนชั้นลอยจะไม่ถูกนำมาคิดด้วย นอกจากนี้ห้องพักอาศัยในรูปแบบ Loft ยังไม่จำเป็นต้องมีประตูเปิดออกในบริเวณชั้นบนเหมือนกับห้องในรูปแบบ Duplex ด้วย ส่วนถ้าความสูงพื้นถึงพื้นอีกชั้นหนึ่งตั้งแต่ 5 เมตรขึ้นไปพื้นที่ชั้นลอยต้องไม่เกิน 40% ของเนื้อที่ห้อง
สำหรับห้องพักอาศัยในรูปแบบ Duplex พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นมาด้านบนจะถูกคิดเป็นพื้นที่ 2 ชั้น ซึ่งห้องพักอาศัยแบบ Duplex ในชั้นบนจะถูกกำหนดเป็นส่วนก่อสร้าง และจะมีการกำหนดพื้นที่ชั้น 2 ให้มีความสูงอย่างน้อย 2.4 เมตร สำหรับห้องแบบเปิดโล่ง แต่ในส่วนแบบปิดทึบความสูงพื้นถึงพื้นอย่างน้อย 2.6 เมตร และจะต้องมีประตูเปิดออกทั้งชั้นบนและชั้นล่างตามกฎหมาย (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 ข้อที่ 22) นอกจากนี้ด้วยความที่ชั้นบนคิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างพื้นที่ส่วนนี้จึงถูกรวมอยู่ในพื้นที่ที่ต้องเสียค่าส่วนกลางเพิ่มด้วย และถ้าจะทำพื้นที่ชั้นลอย ห้องนั้นต้องมีความสูงตั้งแต่ 5 เมตรขึ้นไปโดยมีพื้นที่ชั้นลอยไม่เกิน 40% ของเนื้อที่ห้อง (ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 หมวดพื้นที่ภายในอาคาร)
จึงทำให้เห็นว่าห้องพักอาศัยในอาคารชุดที่เป็นรูปแบบ Loft จะมีข้อได้เปรียบมากกว่า ห้อง Duplex ในมุมมองของการที่จะเพิ่มทางเลือกห้องพักอาศัยที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องขนาดเล็ก Studio หรือห้อง Simplex ทั่วไปแต่ไม่ได้ต้องการห้องพักอาศัยที่มีขนาดใหญ่เท่ากับห้อง Duplex รวมไปถึงด้านระดับราคาที่จะสามารถทำตลาดแทรกกลางระหว่าง ห้อง Simplex กับห้อง รูปแบบ Duplex ได้
ถ้าลองคิดคำนวณแบบคร่าวๆ โครงการอาคารชุดพักอาศัยที่ตั้งอยู่ในเมืองจะมีการกำหนดพื้นที่ที่สามารถก่อสร้างได้ตามกฎหมายผังเมืองจาก FAR (Floor Area Ratio) ซึ่งพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในมักจะอยู่ที่ 1:7 ถึง 1:8 ส่วนเนื้อที่ดินโครงการโดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2 ไร่ ถึง 3 ไร่ เมื่อคำนวณออกมาก็จะมีพื้นที่ที่สามารถก่อสร้างได้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 22,400 – 25,600 ตารางเมตร
– โดยถ้าทำห้อง Simplex เพียงแบบเดียว เมื่อหักพื้นที่ Non-Salable area เช่น ทางเดิน ที่จอดรถ สวน และอื่นๆ ก็จะมีพื้นที่ขายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60%ของพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมด หรือ ประมาณ 13,440 – 15,360 ตารางเมตร
– แต่ถ้ามีการเพิ่มห้องรูปแบบ Loft จำนวน 20% ของตัวโครงการ ก็จะทำให้มีพื้นที่ขาย(พื้นที่ใช้สอย) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 14,515.2 – 16,588.8 ตารางเมตร(พื้นที่ชั้นลอยคิดเป็น 40%ของพื้นที่ชั้นล่าง) โดยพื้นที่ขายส่วนเกินจะไม่กระทบกับพื้นที่อาคารรวม(FAR: Floor Area Ratio) พร้อมทั้งยังสามารถขายห้องในมูลค่าที่สูงขึ้นกว่าการพัฒนาห้อง Simplex โดยทั่วไป
โดยในบทความนี้จะขอยกตัวอย่าง โครงการที่มีห้องพักอาศัยในรูปแบบ Loft ที่มีความน่าสนใจในตลาด ทั้งในด้านการออกแบบ ฟังก์ชันการใช้งาน รวมถึงประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจ