ความเดิมตอนที่แล้วบอกถึงความจำเป็นของคนเราในการลงทุนซึ่งมาจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ตอนนี้จะเป็นการขยายความในการลงทุนหุ้น

การลงทุนในหุ้นมันเป็นแค่การ ซื้อ ถือขายแค่นั้นหรือ ไม่ต้องหาข้อมูลอะไรก็ซื้อขายแบบไม่มีหลักคิด หลักการใดๆก็ได้หรือ มันเป็นหนทางได้เงินมาอย่างง่ายๆ บางทีอาจจะง่ายที่สุดในโลกกระมัง เพราะหลายคนที่เพิ่งเข้าตลาดมักจะคิดว่าเป็นคนไม่โลภมากแต่ขอผลตอบแทนน้อยๆเพียงเดือนละ 1% ถ้าโลภหน่อยก็ เดือนละ 5%

1% ต่อเดือน 5% ต่อเดือน(ไม่ใช่ต่อปีนะครับ)?

โดยที่ไม่อยากหาความรู้เพิ่ม ไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องเข้าคอร์สสอนการลงทุนในหุ้น และไม่ต้องทำอะไรเลย ขออยู่เฉยๆให้ผลตอบแทนงอกเงยขึ้นมา มันจะพอเป็นไปได้ไหมที่ผลลัพธ์ดีๆจะออกมาได้โดยไม่มีสาเหตุ ปัจจัยใดๆเลย
ลองพิจารณาเทียบเคียงกับหลักความเป็นจริงเหล่านี้กัน

กว่าที่พวกเราจะมีงานทำมันต้องใช้เวลาเรียนหนังสือกี่ปี เราใช้เวลาเรียนตั้งแต่ ป.1 ถึงปริญญาตรีถึง 16 ปี (แล้วต้องสอบให้ผ่านทุกปีด้วย) เพื่อเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาทสำหรับคนจบปริญญาตรี

เราเห็นเพื่อนเรากล้ามใหญ่ เราเองก็อยากกล้ามใหญ่เหมือนเขา แทนที่เราจะเอาเวลาไปออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก เรากลับอยู่เฉยๆ และรอคอยให้กล้ามใหญ่ขึ้นเองใครจะมาสอนเรา เราก็ไม่เอา แล้วกล้ามเรามันจะใหญ่ขึ้นได้ไหม?

จากการพิจารณาตัวอย่าง 2 ข้อ ถ้ามันง่ายขนาดนั้น การเรียกว่า “เล่นหุ้น” น่าจะเหมาะสมกว่าแล้วสุดท้ายก็จะโดน”หุ้นเล่น” เพราะขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงในศาสตร์นี้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายจนเกินไป แม้กระทั่งการใช้เวลาคบเพื่อนสนิทมิตรสหายยังต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันจึงค่อยสนิทกันเลย

แล้วเราจะเริ่มต้นการลงทุนในหุ้นอย่างไรดี

คำตอบคืออ่านและศึกษาให้เยอะ ในที่นี้จะให้ข้อมูลการลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน(วีไอ) เนื่องจากผมมีความรู้และความเข้าใจในแนวทางนี้มากกว่าแนวทางอื่นๆ

คำว่า”หุ้น”ไม่ได้หมายความว่า รวยเร็วรวยง่าย แต่มันมาจากคำว่า”หุ้นส่วนธุรกิจ” คือการร่วมกันทำธุรกิจซึ่งเราต้องติดตามผลการดำเนินงานและอนาคตของบริษัทโดยเราลงทุนในเงินและผู้บริหาร พนักงานลงแรงทำงาน

เพราะฉะนั้นองค์ความรู้หลักๆในการลงทุนหุ้นคือความรู้ด้านธุรกิจ การบริหาร การตลาด(ซึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปของยอดขาย) การเงิน(อัตราส่วนทางการเงิน) บัญชี(การวิเคราะห์งบการเงิน) ประวัติศาสตร์(ศึกษาความเป็นไปในอดีต เพื่อทำนายอนาคต) จิตวิทยา(เพื่อความเข้าใจในคน)
ก่อนลงสนามจริง ขอแนะนำหนังสือทุกเล่ม รวมทั้งหนังสือแปลของด็อกเตอร์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์หุ้นเชิงปัจจัยพื้นฐาน หนังสือที่เขียนโดยเดลคาร์เนกี้ ชื่อวิธีชนะมิตรและจูงใจคนกับวิธีชนะทุกข์และสร้างสุข หนังสือจิตวิทยาของเดวิด ไลเบอร์แมน ทุกเล่ม จากสำนักพิมพ์วีเลอร์น หนังสือชุด 500 ล้านปีของความรักเพื่อความเข้าใจมนุษย์ในเชิงลึก กลยุทธ์สงคราม หนังสือที่แปลโดยคุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ทุกเล่ม หนังสือบัญชีทุกเล่มของด็อกเตอร์ภาพร เอกอรรถพร และของอาจารย์วรศักดิ์ ทุมมานนท์ และความรู้ในด้านต่างๆด้วยการเสิร์ชหาใน Google เช่นแนวคิดด้านลงทุนจากนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จโดยเสิร์ชหา yoyo’s investing way/ คุณ Ih ครับ/ www.dekisugi.net

และความรู้ต่างๆมากมายที่ทุกวันนี้สามารถค้นหาได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านทาง Google
ทั้งหมดที่แนะนำนี้ควรใช้เวลาอ่านไม่เกิน 3 ถึง 6 เดือนเพราะถ้าใช้เวลานานกว่านั้นมันอาจจะบ่งชี้ได้ว่าเรายังไม่ได้สนใจที่จะลงทุนอย่างจริงจัง เพราะการทำอะไรให้ประสบความสำเร็จในโลกนี้จะต้องมีขั้นมีตอนตามหลักอิทธิบาท 4
นั่นคือ

๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น(ความอยากที่จะทำ)
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น(โฟกัสมุ่งมั่น)
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น(มีสมาธิจดจ่อในเรื่องนั้นๆ)
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น(พิจารณาด้วยปัญญาพยายามพัฒนาสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น)

ถ้าเรามีความอยากเพียงพอ ระยะเวลา 6 เดือนอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำในการอ่านชุดหนังสือที่แนะนำนี้ให้จบ เพราะนักลงทุนจริงๆจะต้องอ่านไปชั่วชีวิต เหมือนกับเราท้องหิว เราจะทนหิวได้นานขนาดไหน ถ้าเราหิวมากพอ สมองเราก็จะสั่งงานให้เราไปหาอาหารมากินโดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
แต่ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นขนาดนั้นแล้วไม่อยากตกรถกับหุ้นก็สามารถเลือกจะลงทุนในกองทุนหุ้นได้แต่ไม่เหมาะจะลงทุนหุ้นด้วยตัวเองเนื่องจากสถิติคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น 100 คนจะมีคนสำเร็จในระยะยาวเพียง 10 คนแล้ว 10 คนนี้ก็ต้องเก่งมากถึงเอาตัวรอดได้แค่คิดว่าเราซึ่งไม่มีความมุ่งมั่นพอแล้วไปสู้กับ 10 คนนี้ แค่ไม่ขาดทุนก็เก่งแล้ว

ใครที่คิดว่าสามารถอ่านจบภายใน 6 เดือนข้างหน้าได้
เชิญติดตามต่อในบทความหน้าซึ่งจะเป็นตอนต่อของการลงทุนในหุ้น

 
เอก ธำรง
Facebook:ake thamrong
Line ID:akethamrong