เบื้องหลังความสำเร็จของ “โดนัลด์ ทรัมป์” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้โผ่งผางและบ้าคลั่ง จนคนทั่วไปไม่คิดว่าเขาจะก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งผู้นำสหรัฐอเมริกาได้ คือการที่เขาสร้าง Personal Brand ตัวเองขึ้น จนทำให้เกิด Brand Value ในธุรกิจภายใต้ชื่อ Trump และสร้างคะแนนนิยมในการเลือกตั้งขึ้นมาเหนือนักการเมืองอาชีพอย่างฮิลารี่ คลินตัน ได้ในที่สุด

ประวัติของเขาเกิดในตระกูลพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ภายใต้ชื่อบริษัท Trump Organization  แต่ชีวิตเขาใช่ว่าจะราบรื่น เขาเคยล้มเหลวกับธุรกิจคาสิโนมาก่อนถึงกับล้มละลาย และช่วงปี 2008 ธุรกิจของเขาได้รับผลกระทบจากวิกฤตสินเชื่อซับไพร์ม จนเป็นหนี้สินกว่า 900 ล้านเหรียญ จนต้องขายกิจการบางส่วนเพื่อให้ธุรกิจหลักอยู่รอด และสามารถกลับมาอยู่ในฐานะที่มั่นคงได้

เครดิตภาพ: http://wallpapersdsc.net/celebrities/donald-trump-12178.html

บุคลิกโผงผางของเขาทำให้ทรัมป์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง รวมถึงการเป็นเจ้าของสิทธิการประกวดนางงาม Miss USA และเป็นเจ้าขอและพิธีกรเองในราย The Apprentice ซึ่งจะให้เงินสนับสนุนธุรกิจที่มีศักยภาพแลกกับการต้องมาพรีเซนต์ต่อหน้าเขาและกรรมการ จนทำให้วลีคำว่า “You are fired” (คุณถูกไล่ออก) ติดหูคนอเมริกันทันที

ทรัมป์ มักเปิดเผยความมั่งคั่งของเขาในที่สาธารณะว่ามีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 10,000 ล้านเหรียญ แต่นิตยสารฟอร์บส ได้ประเมินมูลค่าความมั่งคั่งของทรัมป์ สิ้นสุดเดือนกันยายน 2559 อยู่ที่ 3,700 ล้านเหรียญ ส่วน Bloomberg ประเมินอยู่ที่ 3,000 ล้านเหรียญ โดยความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเขาอยู่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ค อย่างเช่น

อาคารสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก 1290 Avenue Of The Americas มูลค่า 409 ล้านเหรียญ

Nike Town  มูลค่า 390 ล้านเหรียญ

อาคาร Trump Tower ถนน Fifth Avenue  มูลค่า 371 ล้านเหรียญ

อาคาร เลขที่ 40 ย่าน Wall Street  มูลค่า 350 ล้านเหรียญ

Trump International Hotel and Tower  มูลค่า 38 ล้านเหรียญ

เครดิตภาพ: https://www.trumpinternationalrealty.com/property-gallery/

นอกจากนี้เขายังมีธุรกิจในต่างประเทศอย่างเช่น ปานามา เปอร์โตริโก้ เกาหลีใต้ ตุรกี ฯลฯ รวมถึงธุรกิจอื่นๆอย่างเช่น รีสอร์ทและสนามกอล์ฟ และยังเป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัวที่มีชื่อของเขาติดอยู่ มูลค่ากว่า 35 ล้านเหรียญ บ้านพักที่เบฟเวอรี่ฮิลล์ มูลค่า 9 ล้านเหรียญ และบ้านพักที่ฟลอริด้า มูลค่า 14.5 ล้านเหรียญ เงินสดจำนวน 230 ล้านเหรียญ โดยโครงการล่าสุดของเขาคือการบูรณะที่ทำการไปรษณีย์เก่าอายุนับร้อยปี ที่กรุงวอชิงตันดีซี เป็นโรงแรม มูลค่า 60 เหรียญ ซึ่งห่างจากทำเนียบขาวเพียงแค่สองถนนเท่านั้น

เครดิตภาพ: https://www.trumpinternationalrealty.com/property-gallery/

ความร่ำรวยของเขาทำให้ถูกโจมตีในประเด็นการหลบเลี่ยงปกปิดภาษีในช่วงที่หาเสียงซึ่งเขาอ้างว่าธุรกิจมีผลขาดทุนทำให้ไม่ต้องเสียภาษี  นอกจากนี้เขายังประกาศไม่รับเงินเดือนตำแหน่งประธานาธิบดี มูลค่า 400,000 เหรียญต่อปีอีกด้วย

ทรัมป์ มีแนวคิดในการทำธุรกิจอยู่ด้วยกันสี่ข้อคือ

หนึ่ง..ให้มองหาโอกาสทางธุรกิจเสมอ ไม่ว่างานนั้นจะหนักหรือไม่

สอง..ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในมุมมองของเขาไม่มีคำว่าล้าสมัย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงตลอดเวลา จึงต้องพัฒนาธุรกิจตลอดเวลา

สาม..ออกสื่อให้เยอะ เพราะทุกคนจะจดจำตัวเราและธุรกิจของเราได้

สี่..ให้เอาชื่อตัวเองมาเป็นแบรนด์บริษัท เพื่อให้คนจดจำและยังมีคนเชื่อมั่นในธุรกิจแม้เราจะไม่ได้บริหารแล้ว

ทั้งนี้ เบื้องหลังความสำเร็จของการสร้างอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของทรัมป์ มาจากกลยุทธ์การขาย “ชื่อ” ของตัวเขาเองนั่นเอง โดยจากการเปิดเผยของเวบไซท์ investopedia.com เผยว่ามูลค่าลิขสิทธิในชื่อของ Trump Foundation มีมูลค่าถึง 28 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับที่ 106 ของโลก ประกอบกับสินค้าที่ระลึกต่างๆภายใต้แบรนด์ทรัมป์ ยังมีมูลค่าถึง 14 ล้านเหรียญ Bloomberg ประเมินด้วยว่าหากเขาจะขายสิทธิตราสินค้าในชื่อ Trump จะต้องใช้เงินซื้อถึง 35 ล้านเหรียญ

สาเหตุที่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการเล่นโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Twitter ที่มีผู้ติดตามเขาจำนวนมาก มากกว่าคู่แข่งอย่างฮิลารี่ คลินตันด้วยซ้ำ และเขายังโพสต์ข้อความด้วยตัวเองโดยไม่ใช้ทีมงาน

การที่ชื่อแบรนด์ Trump มีมูลค่าและความเชื่อมั่นระดับสูง ทำให้ทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเขาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและขายได้เสมอ ขอให้มีชื่อ Trump ติดอยู่ด้วย ขณะเดียวกัน เขายังจัดตั้งบริษัท Property Management ของตัวเองขึ้นมาบริหารทรัพย์สินเอง รับรายได้จากค่าลิขสิทธิต่างๆเอง

ด้วยแบรนด์ที่มีชื่อว่า Trump ซึ่งติดอยู่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 200 แห่งทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2010 กล่าวได้ว่านี่คือแบรนด์ที่ทรงพลังที่ผลักดันให้เขาประสบความสำเร็จทั้งทางธุรกิจและการเมืองได้ในที่สุด จากนี้ไปคือบทพิสูจน์ของตัวเขาแล้วว่าในบทบาทผู้นำประเทศ เขาจะยังรักษาแบรนด์ของตัวเองไว้ได้ไหม อีกสี่ปีข้างหน้าจะเป็นเครื่องพิสูจน์

ที่มาภาพ: Bloomberg