คอนโดมีเนียมที่จัดผังอาคารแบบ Single Loaded Corridor และ Double Loaded Corridor แตกต่างกันอย่างไรแบบใดดีกว่ากัน?

ชยางกูร กิตติธีรธำรง 20 November, 2023 at 14.50 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


การจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสักห้องนึง คงมีปัจจัยหลายอย่างที่หลายคนต้องคำนึงถึงก่อนการจะตัดสินใจซื้อ เพราะคอนโดมิเนียมไม่ได้เป็นทรัพย์สินที่มีราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นการคำนึงถึงในด้านทำเลที่ตั้ง ความสะดวกสบายในการเดินทาง สภาพแวดล้อมใกล้เคียง รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆที่จัดเข้ามาให้ภายในโครงการ แต่อีกอย่างนึงที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแต่ไม่ได้ให้ความสนใจกันมากนักก็คือ การจัดผังอาคารในรูปแบบ Single Loaded Corridor กับ Double Loaded Corridor ซึ่งจริงๆแล้ว การจัดผังอาคารทั้ง 2 รูปแบบ มีข้อดีข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกในการอยู่อาศัยก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งการจัดผังอาคารทั้ง 2 รูปแบบมักจะเกิดจากวัตถุประสงค์และคอนเซปท์ในการพัฒนาโครงการที่ไม่เหมือนกัน แต่การพัฒนาทั้ง 2 รูปแบบจะมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง มีประเด็นจุดเด่นจุดด้อยด้านไหน รวมถึงถ้าจะเลือกซื้อควรจะเลือกซื้อแบบไหน เดียวบทความนี้จะมาสรุปให้ฟังกันครับ

 

ในปัจจุบันการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในรูปแบบ Single Loaded Corridor และ Double Loaded Corridor มีให้เห็นทั้งในอาคารแบบ Low-rise ตึกเตี้ย และโครงการ High-Rise ตึกสูง ตั้งแต่ในระดับราคาต่ำจนไปถึงระดับราคาสูง แต่ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า ว่าผังอาคารที่จัดออกแบบมาในรูปแบบ Single Loaded Corridor และแบบ Double Loaded Corridor เป็นแบบใดและแตกต่างกันอย่างไร?

Single Loaded Corridor คือ การจัดผังอาคารโดยให้ห้องพักอาศัยอยู่ติดพื้นที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งของอาคารเท่านั้น โดยอีกฝั่งจะไม่มีห้องพักอาศัยแต่จะเปิดเป็นช่องโล่งให้สามารถมีลมถ่ายเทผ่านไปมาได้ หรือบางโครงการมักจะประดับตกแต่งด้วยต้นไม้แทน ซึ่งการพัฒนาในรูปแบบ Single Loaded Corridor มักจะพบเห็นในโครงการที่มีระดับราคาสูงในเมือง หรือ โครงการที่ต้องการเน้นรับวิว เช่น โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้อาจจะรวมไปถึงรูปร่างของที่ดินที่บีบบังคับให้เกิดการพัฒนาแบบ Single Loaded Corridor เช่น ที่ดินรูปแปลงสามเหลี่ยมหรือแปลงที่ดินขนาดเล็ก เป็นต้น

Double Loaded Corridor คือ รูปแบบการจัดผังอาคารที่ผู้ประกอบการหลายโครงการเลือกพัฒนากัน เนื่องจากเป็นการจัดผังอาคารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยลักษณะ คือจะจัดให้ห้องพักอาศัยตั้งอยู่ขนาบข้าง 2 ฝั่งทางเดินวางยาวตลอดแนวตัวอาคาร โดยตำแหน่งประตูของห้องทั้ง 2 ฝั่งมักจะอยู่ตรงข้ามกันพอดี ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปทั้งในโครงการแบบ Low-rise และแบบ High-Rise ตั้งแต่ระดับราคาต่ำจนไปถึงระดับราคาสูง

 

เมื่อทราบเบื้องต้นกันแล้วว่าการจัดผังอาคารในรูปแบบ Single Loaded Corridor กับ Double Loaded Corridor มีความแตกต่างกันอย่างไร มาดูกันต่อในแง่มุมการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการในปัจจุบันกันว่า โครงการที่มีการพัฒนาขึ้นในปัจจุบันทั้งในรูปแบบ Single Loaded Corridor กับ Double Loaded Corridor มีการพัฒนาออกมาอย่างไรบ้าง? มีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร? ผู้เขียนจึงข้อสรุปออกมาใน 4 ประเด็นหลัก


ประเด็นแรกเรื่องของความเป็นส่วนตัว (Privacy)

ในการอยู่อาศัยในโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งมีลักษณะของห้องที่วางเรียงรายตลอดแนวตัวอาคาร การให้ความเป็นส่วนตัว หรือ Privacy นอกจากจะขึ้นอยู่กับเรื่องของจำนวนยูนิตที่แต่ละโครงการมีใส่มาในอาคารและจำนวนยูนิตในแต่ละชั้นแล้ว อีกเรื่องก็คือ การวางผังอาคารและตำแหน่งของห้อง ถ้าเป็นโครงการส่วนใหญ่ก็จะการออกแบบวางผังเป็นลักษณะ Double Loaded Corridor คือ มีห้อง 2 ฝั่งวางตำแหน่งขนาบแนวทางเดิน การให้ความเป็นส่วนตัวก็อาจจะไม่ได้มีมากนักขึ้นอยู่กับจำนวนยูนิตในแต่ละชั้น รวมถึงเมื่อห้องฝั่งตรงข้ามมีการเปิดประตู เข้า-ออก ก็อาจจะสร้างเสียงรบกวนเข้ามาภายในห้องได้บ้าง แต่ถ้าเป็นโครงการในลักษณะ Single Loaded Corridor นอกจากจะได้ความเป็นส่วนตัวจากจำนวนยูนิตที่ไม่มากในแต่ละชั้นแล้ว ยังได้ความเป็นส่วนตัวจากการที่ไม่มีห้องอยู่ฝั่งตรงข้าม เวลาการใช้งานจริงการที่จะได้รับเสียงรบกวนจากห้องในฝั่งตรงกันข้ามก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ยกตัวอย่างเช่น
1.โครงการ Saladeng One เป็นโครงการพักอาศัย ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง อย่างพื้นที่สีลม-สาทร เป็นโครงการที่ถือว่ามีทำเลที่ดีมาก โดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในกลางอาคารให้มี Void 2 ตำแหน่ง เริ่มต้นตั้งแต่บริเวณพื้นที่ชั้น 5 โดยจำนวนยูนิตต่อชั้นส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ประมาณ 12 ยูนิต และมีการพัฒนาเป็นลักษณะ Single Loaded Corridor ซึ่งฝั่งทางเดินจะเป็นวิวเปิดโล่งภายในอาคารแทน

2.โครงการ Ideo Sathorn-วงเวียนใหญ่ เป็นโครงการในย่านฝั่งธนบุรี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ แปลนอาคารจะมีลักษณะเป็นรูปตัว U ล้อมพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการที่มีการจัดสวนและสระว่ายน้ำ ยูนิตเฉลี่ยต่อชั้นอยู่ที่ 16 – 22 ยูนิต โดยออกแบบทั้งโครงการตั้งแต่ชั้น 6 ถึงชั้น 28 เป็นลักษณะ Single Loaded Corridor ซึ่งฝั่งทางเดินจะได้รับวิวเปิดโล่งของพื้นที่ส่วนกลางของโครงการแทนเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัยมากขึ้น

 

ประเด็นที่สองเรื่อง วิว บรรยากาศ (Environment)

โดยปกติห้องพักอาศัยในอาคารชุดที่มีการจัดผังอาคารแบบ Double Loaded Corridor การที่จะได้รับวิว บรรยากาศ ภายนอก ก็จะมาจากพื้นที่ทางฝั่งระเบียงภายในห้องตัวเองเพียงฝั่งเดียว เพราะอีกฝั่งที่เป็นทางเดินก็จะอยู่ติดกับห้องของคนอื่น ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นโครงการที่มีการจัดผังอาคารแบบ Single Loaded Corridor นอกจากจะมีวิวทางฝั่งระเบียงภายในห้องแล้ว ทางฝั่งทางเดินก็จะได้รับวิวรับแสงธรรมชาติได้เช่นกัน ซึ่งบางโครงการก็จะมีการจัดสวน Landscape ไว้ประดับตกแต่งเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับพื้นที่แต่ละชั้นของอาคารด้วยนอกจากนี้การพัฒนาแบบ Single Loaded Corridor ยังพบมากในทำเลโครงการที่มีวิวที่ดี เช่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจาก วิว บรรยายกาศ เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการได้ ผู้ประกอบการจึงมักเลือกการวางผังอาคารให้เป็นแบบ Single Loaded Corridor เพื่อให้ห้องทุกห้องรับวิว และยังทำให้ห้องพักอาศัยสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งการพัฒนาในแบบนี้ยังมีข้อดีในเรื่องการมีอากาศถ่ายเทที่ดี และช่วยลดความชื้นตามทางเดินในตัวอาคารได้ ยกตัวอย่างเช่น

 

1. โครงการ Menam Residences เป็นโครงการระดับ Luxury ที่มีทำเลที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง มีพื้นที่โครงการติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีความสูงกว่า 54 ชั้น โดยยูนิตต่อชั้นมีเพียง 10 ยูนิตเท่านั้นและมีการออกแบบให้ทุกห้องเป็นแบบ Single Loaded Corridor ทำให้ทุกห้องสามารถรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้ทั้งหมด โดยฝั่งทางเดินโครงการจะปล่อยโล่งให้แสงธรรมชาติและลมเข้าถึงได้ ซึ่งจะมองเห็นวิวฝั่งเมืองในย่านพระราม3-สาทร แทน

2. โครงการ The Pano Rama 3 เป็นอีกโครงการระดับ Luxury อีกแห่งนึงที่มีการออกแบบให้ทุกห้องสามารถรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้เช่นกัน โดยโครงการมีทำเลที่ตั้งอยู่บนถนนพระราม3 ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา และมีการจัดผังอาคารเป็นแบบ Single Loaded Corridor โดยความน่าสนใจ คือ แปลนของอาคารจะมีการออกแบบให้เป็นลักษณะรูปตัว Y โดยมีการวางตำแหน่งห้องพักอาศัยทุกห้องให้หันหน้ารับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา

ประเด็นที่สามเรื่องพื้นที่บำรุงรักษา (Services)

ด้วยความที่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในรูปแบบปกติทั่วไปหรือ Double Loaded Corridor พื้นที่ Service หรือตำแหน่งที่ตั้ง CDU(Condensing Unit) ก็จะถูกตั้งไว้ในบริเวณพื้นที่ระเบียงภายในห้องเป็นหลัก โดยจะมีทั้งแบบแขวนไว้ด้านบน และวางไว้บนพื้นระเบียง แต่สำหรับโครงการที่จัดผังอาคารในรูป Single Loaded Corridor ก็ไม่จำเป็นต้องวางไว้บนพื้นที่ฝั่งระเบียงเนื่องจากมีพื้นที่อีกฝั่งที่สามารถวางได้ ทำให้ไม่ไปกินพื้นที่ใช้สอยระเบียงภายในห้อง
ยกตัวอย่างเช่น

 

1. โครงการ The Esse Asoke โครงการนี้เป็นอาคาร High-Rise ใจกลางอโศก มีการจัดผังอาคารในรูป Single Loaded Corridor คล้ายรูปทรงตัว L ซึ่งจำนวนยูนิตต่อชั้นจะมีเพียง 12 ยูนิตเท่านั้น มีการออกแบบวางตำแหน่ง CDU อยู่บนพื้นที่ส่วนกลางทางเดินในตำแหน่งอีกฝั่งหนึ่งของตัวห้อง ทำให้นอกจากจะให้ความสวยงามกับอาคารภายนอกแล้ว ยังช่วยทำให้พื้นที่ระเบียงใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นและเทควิวได้อย่างเต็มที่

2. โครงการ Ashton Sukhumvit 41 โครงการนี้เป็นโครงการ Low-rise สูง 8 ชั้น มีการจัดผังอาคารในรูป Single Loaded Corridor แบบตัว I โดยฝั่งระเบียงหันเข้าหาพื้นที่สวนและสระว่ายน้ำ ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 อาคาร ส่วนฝั่งทางเดินทางโครงการก็มีจัดพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติมมา นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทางโครงการจะมีการวางตำแหน่ง CDU ไปรวมกันอยู่บนพื้นที่ชั้นบนดาดฟ้า ซึ่งเป็น Roof Top Garden ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปติดไว้ตามพื้นที่ระเบียงของแต่ละห้อง ทำให้สามารถใช้ระเบียงได้อย่างเต็มที่ รวมถึงในวันที่จะต้องมีการ service ภายหลังก็สะดวกและง่ายเช่นกัน

 

ประเด็นที่สี่เรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน (Investment)

ถ้าพูดถึงมุมมองด้านความคุ้มค่าในการลงทุนของการพัฒนาคงตอบได้ยากเนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่เบื้องต้นในการพัฒนาโครงการที่เป็นรูปแบบ Double Loaded Corridor ซึ่งพบเห็นได้เป็นส่วนใหญ่ จำนวนของห้องพักอาศัยหรือยูนิตของทั้งโครงการหรือต่อชั้นย่อมได้ปริมาณมากกว่าในการพัฒนาโครงการที่มีแต่แบบ Single Loaded Corridor ซึ่งก็จะเป็นการพัฒนาที่ทำให้ผู้ประกอบขายห้องได้ปริมาณเยอะกว่า แต่ในทางตรงกันข้ามการพัฒนาในรูปแบบ Single Loaded Corridor ถึงแม้จะได้จำนวนยูนิตในโครงการและจำนวนยูนิตต่อชั้นที่น้อยกว่า แต่การพัฒนาในรูปแบบ Single Loaded Corridor ก็สามารถเพิ่มมูลค่าของห้องให้มีราคาขายที่สูงกว่าในแบบ Double Loaded Corridor ทั่วไปและลูกบ้านได้รับประโยชน์มากขึ้นด้วย

เพื่อเห็นภาพมากขึ้นผู้เขียนขอยกตัวอย่างโครงการ Menam Residences เป็นกรณีศึกษา จากเดิมที่โครงการมีการพัฒนาทั้งหมด 294 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นประมาณ 10 ยูนิต ถ้าลองคำนวณคร่าวๆ ว่าถ้าปรับการจัดผังอาคารใหม่และพัฒนาให้เป็นแบบ Double Loaded Corridor โดยมีทั้งห้องฝั่งวิวแม่น้ำกับฝั่งวิวเมือง ก็จะทำให้โครงการมียูนิต ต่อชั้นเพิ่มขึ้นเป็น 20 ยูนิต ซึ่งก็จะทำให้ทางโครงการมีพื้นที่ขายเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อกล่าวถึงราคาขาย ห้องที่พัฒนาเพิ่มมาใหม่ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของอาคารซึ่งจะมองไม่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา การตั้งราคาขายถ้าจะขายเท่ากับห้องทางฝั่งวิวแม่น้ำเจ้าพระยาก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อมาถึงตรงนี้หลายคนก็อาจจะบอกว่าก็พัฒนาทั้งห้องที่เห็นวิวแม่น้ำกับห้องที่ไม่เห็นวิวแม่น้ำสิ ก็น่าจะคุ้มค่ากว่าการพัฒนาแค่ฝั่งเดียว เพราะมีพื้นที่ขายเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้ามองแบบนั้นก็อาจจะไม่ผิด แต่มิติการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างจะซับซ้อนไม่ใช่ว่าการเพิ่มพื้นที่ขายให้ได้มากที่สุดจะทำให้โครงการได้กำไรเพิ่มขึ้น แต่ต้องมองถึงจุดประสงค์ในการพัฒนาโครงการด้วย อย่าง โครงการ Menam Residences ซึ่งเป็นโครงการระดับ Luxury การมีจำนวนยูนิตที่เยอะเกินไปก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เสมอไป เนื่องจากความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยก็จะลดลงตามไปด้วย รวมถึงภาพลักษณ์โครงการก็อาจจะไม่สามารถดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายมาซื้อก็เป็นได้

 

ซึ่งจริงๆแล้ว โครงการส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่มีการพัฒนาเป็นแบบ Single Loaded Corridor มักไม่ค่อยได้พบเห็นในโครงการระดับ Economy แต่มักจะพบเห็นในโครงการระดับ luxury เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากข้อจำกัดของเรื่อง Cost & Space efficiency ที่ทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะไม่พัฒนากัน หรือถ้าจะมีก็อาจจะมีแค่บางส่วนของอาคาร เช่น โครงการ The Niche Mono เจริญนคร ซึ่งจะมีการพัฒนาเป็น Single Loaded Corridor แค่ชั้นบนๆ คือ ชั้น 20-29 หรือ จะเป็นโครงการ Low-rise อย่างเช่น โครงการ Haven Luxe ที่มาพร้อมกับโถง Void กลางอาคารสูงถึงฝ้าเพดาน เป็นต้น ซึ่งเรียกได้ว่าสำหรับประเทศไทยถ้าใครได้พบเจอโครงการที่มีการพัฒนาแบบ Single Loaded Corridor ก็เรียกได้ว่าเป็น Rare item ที่ไม่ได้หาได้บ่อยๆ และถ้าได้พบเจอก็คุ้มค่ามากทีเดียว

แต่ถ้าลองเปรียบเทียบกับโครงการในต่างประเทศ การพัฒนาโครงการในรูปแบบ Single Loaded Corridor มีให้พบเห็นได้ตั้งแต่ โครงการ Social Housing อพาร์ทเม้นท์ในเมือง จนไปถึงคอนโดมิเนียมราคาสูง และส่วนใหญ่จะพัฒนาทางเดินเป็นแบบ Open-Air เปิดรับแสง-ลม วิวธรรมชาติและวิวเมือง ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Social Housing ใน Vienna ที่มีการออกแบบทางเดินเป็นแบบ Single Loaded Corridor แบบเปิดโล่ง พร้อมกับการออกแบบ Façade เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน หรือจะเป็นโครงการ PROUD Kurakuen เป็นโครงการอาคารพักอาศัย 4 ชั้น ในโอซาก้า ญี่ปุ่น ที่มีอาคารเปิดสู่วิวทะเลสาบและภูเขา และมีการออกแบบทางเดินเป็นแบบเปิดโล่ง Open-Air เช่นกัน ซึ่งข้อดีของการออกแบบทางเดินแบบเปิดโล่ง คือ ช่วยประหยัดพลังงาน(ไม่ต้องเปิดไฟตลอดวัน) รวมถึงมีอากาศถ่ายเทที่ดี ช่วยลดความชื้นภายในอาคาร เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ภาพจำของคนไทยส่วนใหญ่ยังคงมองว่าการพัฒนาแบบ Single Loaded Corridor แบบเปิดโล่งมักจะอยู่ในห้องพักราคาถูกอย่างเช่นโครงการ Popular Condo ที่เมืองทองธานี

 

สุดท้ายบทความนี้ไม่ได้จะสรุปว่าการพัฒนาแบบ Single Loaded Corridor หรือ Double Loaded Corridor แบบใดดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคในการอยู่อาศัย หรือ ทางฝั่งผู้ประกอบการก็ขึ้นอยู่กับการวาง Position ของโครงการว่ามีวัตถุประสงค์คืออะไร กลุ่มเป้าหมายเป็นแบบไหน การพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

 

อ้างอิง:
คอนโดมิเนียม “ไอดีโอ สาทร-วงเวียนใหญ่” | อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ananda.co.th)
“ SALADAENG ONE ” คอนโดซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ จัดงาน Grand Opening 21-22 ก.ค. นี้ พร้อมโชว์ห้องตัวอย่างที่มีชีวิตครั้งแรก | propholic.com propholic.com
The Pano – Rama 3 road – Bangkok condo units for sale and rent (the-pano.com)
THE ESSE Asoke (singhaestate.co.th) / THE ESSE ASOKE | propholic.com propholic.com
Menam Residences | propholic.com propholic.com / SINGLE LOADED CORRIDOR (menamresidences.com)
https://www.sena.co.th/project/niche-mono-charoen-nakhon / https://propholic.com/prop-talk/haven-luxe-%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3-3-%e0%b8%a2%e0%b8%b9%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%97/

ชยางกูร กิตติธีรธำรง

ชยางกูร กิตติธีรธำรง

สถาปนิกจบใหม่ กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท มีความสนใจด้านอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทตั้งแต่ที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ คอนโด โรงแรม และชอบไปดูโครงการและงานออกแบบอยู่เสมอ เพื่อเก็บเกี่ยวองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ

เว็บไซต์

นาวว์ เมกา

แชปเตอร์ วัน สปาร์ค จรัญ

ศุภาลัย เซนส์ ศรีนครินทร์

โครงการ Supalai Sense Srinakarin แบรนด์ใหม่ ถูกใจผู้...

9 November, 2023

เฟล็กซี่ ริเวอร์วิว-เจริญนคร

FLEXI Riverview - Charoennakorn เป็นคอนโดแบรนด์ Fle...

27 October, 2023

โมดิซ โวยาจ ศรีนครินทร์

Modiz Voyage Srinakarin (โมดิซ โวยาจ ศรีนครินทร์) ตั...

19 October, 2023

โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ

เชื่อแน่ว่า หากใครที่เคยได้ไปล่องเรือเที่ยวหรือดินเน...

11 October, 2023

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง