แสนสิริ จับมือ Whoscall “รู้ทันมิจ ชีวิตปลอดภัย” มอบโค้ดป้องกันภัยไซเบอร์ มูลค่ากว่า 7 ลบ. ให้ลูกบ้านและชุมชน พร้อมสร้าง “คอมมูนิตี้ปลอดภัย” อย่างแท้จริง
– มากกว่า ‘ระวังรอบรั้ว’ คือ ‘ระวังภัยรอบตัว’ ที่อยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว #แสนสิริ ส่งความห่วงใยให้ลูกบ้านห่างไกลมิจฉาชีพ ตอกย้ำเบอร์หนึ่งอสังหาฯ ผู้นำด้านบริการหลังการขายที่ ‘ดูแลคุณไม่สิ้นสุด’
– มอบโค้ดพรีเมียม รวมมูลกว่า 7 ล้านบาท เสริมเกราะป้องกันดูแลลูกบ้าน Sansiri Family ทุกเจเนอเรชัน พร้อมขยายความรู้ ‘แก่ผู้สูงอายุ’ และการเข้าถึงไปยังชุมชนโดยรอบ ให้ใช้ชีวิตปลอดภัย อุ่นใจรอบด้าน รับสิทธิ์ได้ผ่านแอป Sansiri Home Service
– ย้ำภารกิจ Good Citizen เดินหน้าลงพื้นที่ร่วมกับ Whoscall ในคอมมูนิตี้ของแสนสิริ ให้ความรู้กับกลุ่มผู้สูงอายุ ครอบครัว รวมถึงชุมชนโดยรอบ
ชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และพาร์ทเนอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายมาโดยตลอด โดยเฉพาะ ‘ความปลอดภัย’ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตในระยะยาว ความร่วมมือกับ Whoscall คือ การต่อยอดภารกิจด้านความปลอดภัย ให้ครอบคลุมภัยใกล้ตัวในโลกดิจิทัลที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อผ่านเพียงหน้าจอมือถือ เพราะเราเชื่อว่า ‘คอมมูนิตี้ที่น่าอยู่’ เริ่มต้นจากความอุ่นใจที่มั่นคงในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘ที่อยู่อาศัย’ แต่คือ ‘คุณภาพชีวิตที่ดี’ ของทุกคนในชุมชน”
จากกลยุทธ์ “LIFE-LONG PROMISE” มุ่งยกระดับการดูแลให้เหนือกว่าแค่รั้วบ้านสู่การ ‘ป้องกันภัยรอบตัว’
ทุกวันนี้ ภัยคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกภายนอกอีกต่อไป แต่มาในรูปแบบของ ภัยไซเบอร์ ที่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด แสนสิริ ในฐานะผู้สร้างบ้านและยกระดับคุณภาพชีวิต จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในทุกมิติ นอกเหนือจากความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี LIV-24 ในทุกโครงการ ยังรวมถึงการสร้าง ‘คอมมูนิตี้ที่ปลอดภัย’ ด้วยโค้ด Whoscall พรีเมียม เบสิก ใช้งานได้นาน 365 วัน เพื่อให้ลูกบ้านและครอบครัวอุ่นใจในทุกด้าน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ปลอดภัยให้ชุมชนกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี
จากข้อมูลเชิงสถิติพบว่า สถานการณ์ภัยไซเบอร์ในไทยน่าเป็นห่วง มูลค่าความเสียหายจากต้นปีนี้สูงถึง 60,000 ล้านบาท โดยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 25-40 ปี (70%) และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง (60%) ซึ่งช่องทางที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุด คือ โซเชียลมีเดีย (80%) สะท้อนให้เห็นว่าภัยคุกคามนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน