เซ็นจูรี่ 21(ประเทศไทย) แจงผลประกอบการครึ่งแรกของปี58 ทุกสายงานธุรกิจมีผลประกอบการเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ “กิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์” เผยมีคอนโดฯขนาดกลางเปิดใหม่จ่อคิวให้บริหารงานขายและการตลาดอีก 5 โครงการมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดแฟรนไชส์เพิ่มอีก 20 สาขาภายในปีนี้รับแนวโน้มกระแสตลาดซื้อ-ขาย-เช่าบ้านหรือคอนโดฯมือสองรุ่ง นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์(ประเทศไทย)จำกัด หรือ เซ็นจูรี่21(ประเทศไทย) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ว่าบริษัทฯมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ และแต่ละหน่วยธุรกิจก็มีผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดีสวนทางกับภาวะของตลาดโดยรวมที่การซื้อขายค่อนข้างชะลอตัว โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้สามารถทำยอดขายรวมได้ 90% ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 30% เมื่อเทียบปี 2557 ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯได้รับบริหารการขายและการตลาดโครงการให้กับลูกค้ากว่า 20 โครงการ มีบางโครงการที่สามารถปิดการขายกว่า 90% ภายใน 1 เดือน ในส่วนนี้ได้ส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายรวมในครึ่งแรกและคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 น่าจะสามารถทำยอดขายได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือจะมีโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวใหม่และทางบริษัทฯจะเป็นผู้เข้าไปบริหารการขายและการตลาดให้อีก 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท “มีโครงการขนาดปานกลางของดีเวลลอปเปอร์รายกลางๆและขนาดเล็กซึ่งมีทั้งลุกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่ต้องการมืออาชีพเข้าไปช่วยด้านการขายและการตลาดและที่ผ่านมาเราก็มีผลงานการขายที่มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย” นายกิตติศักดิ์ กล่าว

โครงการ	จำนวนยูนิต	มูลค่ายอดขาย (ลบ.)
The BRIX , จรัลสนิทวงศ์ 64	520	1,550
The PRESIDENT, ราชพฤกษ์ 3	211	543
The SAINT RESIDENCES, ห้าแยกลาดพร้าว (เฟส 1)	128	595

ในด้านการซื้อขายที่ดินนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเซ็นจูรี่ 21 กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีความเคลื่อนไหวในการซื้อขายที่ดินอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มีที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพนำเข้ามาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งที่เป็นที่ดินที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าสายที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง รวมถึงที่ดินที่อยู่ใจกลางเมืองหรือใจกลางธุรกิจทำเลCBD ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่สิ่งปลูกสร้างอยู่แล้วทั้งที่เป็นอาคารพาณิชย์เก่าและอาคารเก่าที่เจ้าที่ดินของต้องการขาย ที่ดินที่น่าจับตามองที่คาดว่าจะทำลายสถิติการซื้อขายใหม่ด้วยราคาสูงสุด ก็คือ ที่ดินย่านพระรามสี่-ศาลาแดง “ผมว่าที่ดินแปลงนี่น่าจะเป็นแปลงที่มีราคาต่อตารางวาสูงที่สุดในกรุงเทพฯคือสูงกว่าแปลงสุขุมวิท 24 ที่ซื้อขายกันที่ 2 ล้านบาทต่อตารางวา” ส่วนที่ดินอีกทำเลที่การซื้อขายเปลี่ยนมือกันค่อนข้างคึกคักก็คือ ที่ดินในพื้นที่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม เช่น ศรีราชา ชลบุรี ที่ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวกันมาก ปัจจุบันราคาซื้อขายก็เพิ่มขึ้นสูงมาก แต่การที่ดีลจะจบหรือไม่จบนั้นก็ยังคงขึ้นอยู่ว่าผู้ซื้อซื้อไปแล้วจะคุ้มค่ากับการลงทุนไหม ตรงนี้น่าจะเป็นตัวสะท้อนว่า ราคาที่ดินควรจะอยู่ที่ราคาไหน พร้อมกันนี้นายกิตติศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจว่าบริษัทฯจะยังคงเดินหน้าขยายแฟรนไชส์ภายใต้แบรนด์ “เซ็นจูรี่21” ที่ปัจจุบันมี 50 สาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดและจะมีอีก 3 รายที่กำลังเซ็นสัญญาและจะเปิดสาขาใน 1-2เดือนนี้ และในปีนี้ตั้งเป้าเปิดแฟรนไชส์ใหม่เพิ่มอีก 20 สาขา ทำให้สิ้นปีน่าจะมีสาขาแฟรนไชส์รวมทั้งสิ้น 80 สาขา แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะชลอตัว ก็ยังมีผู้ที่สนใจเข้ามาคุยปรึกษาถึงเรื่องการดำเนินธุรกิจซื้อขายเช่า อสังหาริมทรัพย์ กับเรา ในรูปแบบแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการที่ไปออกงานบูธในงาน Smart SME Expoที่เมืองทองธานีมีผู้ที่สนใจกว่า 60 รายที่กำลังเข้ามาเจรจาสนใจเป็นตัวแทนซื้อ-ขายอสังหาฯและต้องการได้สิทธิ์แฟรนไชส์แบรนด์ เซ็นจูรี่ 21 ด้วยเหตุนี้ประกอบกับบริษัทฯได้เล็งเห็นว่าแนวโน้มในอนาคตตลาดจะซื้อขายผ่านมืออาชีพและผ่านตัวแทนที่มีไลเซ่นส์มากขึ้น จึงมีนโยบายขยายแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อให้เครือข่ายและแบรนด์ของเรามีสามารถที่จะให้บริการและตอบสนองตลาดอย่างมืออาชีพ “ด้านตลาดบ้านมือสอง หรือ รีเซล ก็ถือได้ว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ได้หวือหวามาก แต่คาดว่าต่อจากนี้ตลาดรีเซลน่าจะเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ”นายกิตติศักดิ์ กล่าว พร้อมกับให้ความเห็นว่า เนื่องจากว่าโครงการที่อยู่ในทำเลดีๆที่สามารถพร้อมอยู่แล้วมีจำนวนจำกัด ทำให้ลูกค้าที่ต้องการโครงการเหล่านั้น เข้ามาใช้บริการเอเจนท์บ้านมือสองเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครือข่ายของเซ็นจูรี่เอง ที่มีเอเจนท์ ที่ปรึกษาทางการขาย รีเซล รวมทั้งแฟรนไชส์ซีกว่า 300 คน ก็จะช่วยให้ลูกค้าหารายการทรัพย์สิน หรือ listing ได้ตรงความต้องการมากขึ้น นายกิตติศักดิ์ ยังกล่าวให้ความเห็นถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 ว่า ยังมีหลายปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาฯให้ชะลอตัว ได้แก่ 1. กำลังซื้อที่คาดว่าจะไล่ไม่ทันราคาซื้อขายที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วบางทำเล หรือบางโครงการราคาที่เปิดขายสูงเกินกำลังซื้อที่ผู้บริโภคจะซื้อ 2.อัตราการเติบโตของจีดีพีที่ระดับ 3% ยังไม่เอื้ออำนวยให้ภาคธุรกิจอสังหาฯเติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนในอดีต 3.ปัญหาภัยธรรมชาติ คือภัยแล้ง ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกๆส่วน โดยเฉพาะภาคการเกษตร ในส่วนนี้นอกจากจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมแล้วยังกระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดด้วย และ.4.หนี้สินภาคครัวเรือนยังอยู่ในอัตราที่สูง จะทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินเกิดภาวะตึงตัว ผลกระทบตามมาก็คือ สถาบันการเงินก็จะมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น