สรุปประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2024

wipawan khampuwiang 16 December, 2024 at 08.00 am

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


อีกไม่นานก็จะถึงปีเปลี่ยนผ่าน จากปี 2024 เข้าปี 2025 แล้ว เวลาในแต่ละวันช่างเดินไวจริงๆ ใครทำตามแพลนปีนี้ของตัวเองครบแล้วบ้าง? แต่ต้องบอกเลยว่าประเทศไทยในปีนี้ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายให้เราได้ติดตามข่าวกันไม่เว้นวัน บางเหตุการณ์ลากยาวหลายวันหลายสัปดาห์ให้ดูกันฉ่ำๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการเมือง เศรษฐกิจ บันเทิง หรือแม้กระทั่งวงการอสังหาฯ เราเองก็ไม่น้อยหน้า มาคราวนี้เราจะพาไปตามกับประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2024 ว่ามีอะไรกันบ้าง จะเด็ดแค่ไหน เริ่มกันเลย…

 

Image Credit from www.freepik.com : 1 2 3 4

 

1. เหล่า Pet Parents คิดหนัก เมื่อ กทม. เตรียมออก ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์

ที่มีการควบคุมการเลี้ยงสุนัขและแมว โดยให้ กทม. เป็นเขตห้ามเลี้ยงสุนัขและแมว เกินจำนวนที่กำหนดเช่น พื้นที่อาคารชุดหรือห้องเช่า ตั้งแต่ 20-80 ตารางเมตรขึ้นไป เลี้ยงได้ไม่เกิน 1 ตัว หากเกิน เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว และเนื้อที่ดิน ไม่เกิน 20 ตร.วา เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว เนื้อที่ดิน 20-50 ตร.วา เลี้ยงได้ไม่เกิน 3 ตัว เนื้อที่ดิน 50-100 ตร.วา เลี้ยงได้ไม่เกิน 4 ตัว เนื้อที่ดิน 100 ตร.วา ขึ้นไป เลี้ยงได้ไม่เกิน 6 ตัว

 

โดยเจ้าของต้องนำสัตว์เลี้ยงไปทำเครื่องหมายระบุตัวอย่างถาวร จะมีการใช้ข้อบังคับให้สุนัขและแมวต้องมีการฝังไมโครชิป เพื่อให้ทราบเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแลรับผิดชอบอีกด้วย ซึ่งจะลดและแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่นโดยการฝังไมโครชิฟตามมาตรฐานที่ กทม. กำหนด พร้อมนำใบรับรอง ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุขสำนักอนามัยหรือสำนักงานได้เลย

 

ซึ่งข้อบัญญัติในเรื่องการควบคุมการเลี้ยงนั้น เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่จะทำให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงตามหากันเจอ เมื่อมีสัตว์หลงหาย ทั้งยังสามารถควบคุมการเลี้ยงและดูแลสัตว์ในปกครองได้อย่างทั่วถึง เพราะมีข้อบังคับให้พื้นที่ห้องหรือพื้นที่บ้านขนาดเท่าไหร่ให้เลี้ยงสัตว์ได้กี่ตัว แต่ในอีกหนึ่งด้านก็คือ คนรักสัตว์ที่มีสัตว์เลี้ยงในปกครองเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีพื้นที่บ้านหรือห้องที่ไม่สอดคล้องกับที่ข้อบัญญัติกำหนด ก็อาจจะไม่ได้รับความร่วมมือในเรื่องนี้มากนัก และยังถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เนื่องจากสามารถดูแลสัตว์ที่เลี้ยงได้ทุกตัว รวมไปถึงในภาคอสังหาฯ ของเหล่าดีเวลลอปเปอร์ที่ทำโครงการ แนว Pet Friendly และ Pet Allow ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อบัญญัติส่วนนี้ และนำไปแจ้งต่อลูกบ้านให้ได้เรียนรู้พร้อมทำความเข้าใจ ซึ่งอาจจะไม่กระทบต่อดีเวลลอปเปอร์มากนัก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียมก็มีข้อบังคับที่แจ้งต่อลูกบ้านว่าสามารถเลี้ยงสัตว์ได้กี่ตัวและมีน้ำหนักตามที่โครงการกำหนดนั่นเอง พร้อมทั้งยังช่วยลดปริมาณของสัตว์เลี้ยงถูกทิ้งให้เป็นสัตว์จรจัดได้อีกด้วยนะ

 

2. การลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายจาก 2.50% เป็น 2.25% ครั้งแรกในรอบ 4 ปีเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญช่วยให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยผลบวกเกิดขึ้นทันทีกับผู้ซื้อบ้าน ผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน ประหยัดค่างวดผ่อนทันทีล้านละ 2,000 กว่าบาทต่อปี

 

แต่แม้ดอกจะลดแต่ตลาดอสังหาฯ โดยรวมก็ยังไม่กระเตื้องทั้งยอดขาย และยอดโอน โดยจากข้อมูลของ LWS พบว่า “ปัญหาใหญ่ของภาคอสังหาฯ อยู่ที่สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Loan) ทำให้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 70% โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ผนวกกับสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อโครงการ (Project Finance) โดยมีข้อกำหนดว่าจะอนุมัติสินเชื่อโครงการเมื่อมียอดขายตั้งแต่ 30 – 50% ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ หลายโครงการเปิดตัวแล้วก็ชะลอหรือยกเลิกการเปิดตัวโครงการไป ในขณะที่สินค้าคงเหลือที่มีอยู่ในระบบยังมีเพียงพอต่อการขาย ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายแห่งชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงเวลาที่เหลือของปี”

 

จึงอาจจะสรุปได้ว่าการลดดอกเบี้ยไม่ใช่ยาขนานที่ถูกต้องในการกระตุ้นตลาด เพราะปัจจัยสำคัญก็คือธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้เปราะบาง และกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนในอัตราสูง ในขณะที่กลุ่มที่มีศักยภาพในการผ่อน แต่มีบ้านอยู่แล้วหลายหลังได้ก็ติดกับดักของ LTV ที่ต้องใช้เงินก้อนมาจ่ายค่าดาวน์

 

3. การลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับอสังหาฯ ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ต่อสัญญา ทั้งมือ 1 และมือ 2 จนถึง 31 ธ.ค. 67

มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกมาเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ที่มีการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท เป็นการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จึงทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น เกือบ 10% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการโอนอาคารชุด ในขณะที่ที่อยู่อาศัยแนวราบลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้สัญญาณอสังหาฯ ปี 67 เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น

 

โดย ธอส. ฉายภาพปี 68 ว่า “ตลาดอสังหาฯ ปี 68 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.8-3 โดยปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และคาดว่าจะมีการต่ออายุมาตรการลดค่าโอน ซึ่งเรามองว่า ที่อยู่อาศัยระดับราคา 5-7 ล้านบาท มีดีมานด์ที่คนไทยต้องการ ขณะที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีการดูดซับไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ยังมีประเด็นเรื่อง LTV และหนี้ครัวเรือนที่อาจจะทำให้ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากกังวลเรื่องหนี้เสียที่จะเกิดขึ้นตามมา”

 

ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ แต่อาจจะติดตรงค่าโอนและจดจำนองที่มีราคาสูงเกินไป จนทำให้ชะลอการซื้อออกไปก่อน แต่เมื่อมีการลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ก็ทำให้คนกลุ่มนี้หันมาจับจองโครงการที่ได้เล็งไว้ก่อนหน้าที่อยู่ในระดับไม่เกิน 7 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่าโอนเกือบ 60,000 ล้านบาท หนุนตลาดคอนโดฯ ไตรมาส 3 ให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

 

4. สะท้านวงการ อนันดาเปิดตัวโครงการ Porsche Design Tower ปักราคาขายตารางเมตรละล้าน!

โครงการ PORSCHE DESIGN TOWER BANGKOK ที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการร่วมพัฒนากันระหว่างอนันดา และ PORSCHE บนช่วงต้นซอยสุขุมวิท 38 ภายใต้คอนเซปท์ “Tomorrow’s Living Dream” ซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 3 ของแบรนด์ PORSCHE ต่อจาก Porsche Design Tower Miami โดย Porsche เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติเยอรมัน ทำงานร่วมกับ Dezer Development ในการพัฒนาอาคารพักอาศัยแห่งแรก ที่ได้เปิดในปี 2017 เป็นรูปแบบอาคารสูง 60 ชั้น จำนวน 132 ยูนิต ประกอบไปด้วยลิฟท์จอดรถอัตโนมัติที่สามารถนำรถไปจอดในห้องพักอาศัยได้เลย และมาพร้อมกับบริการบำรุงรักษารถยนต์ขั้นพื้นฐาน เช่น เปลี่ยนยาง หรือการล้างรถ โดยสามารถจอดรถบน Sky Garages ได้ตั้งแต่ 2 – 11 คัน

 

แต่ละห้องชุดของโครงการ Branded Residence แห่งนี้ ได้ติดตั้งผนังกระจกเปิดออกสู่ระเบียง เปิด-ปิดอัตโนมัติเพียงแค่กดปุ่มสวิตช์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกลไก ‘คิเนติก มูฟ’ (Kinetic Move) ของระบบหลังคาคิเนติกในรถยนต์ปอร์เช่ รุ่น 911 ทาร์กา (Porsche 911 Targa) และการใช้งานแบบไฮบริด ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสลับใช้งานพื้นที่ภายนอกและภายในได้อย่างไม่มีสะดุด

 

ไม่เพียงเท่านั้น ภายในโครงการยังมีห้องแบบอัลตร้าลักชัวรีด้วยห้องพักสไตล์ ‘สกาย วิลล่า’ สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 22 ยูนิต มีให้เลือกทั้งแบบห้องดูเพล็กซ์พร้อมสระน้ำส่วนตัว และควอดเพล็กซ์สุดหรู พร้อมพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 525 ถึง 1,135 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 525 ล้านบาท) จนถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,400 ล้านบาท) พร้อมปักหมุดเริ่มก่อสร้างโครงการในปี พ.ศ. 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. 2571

 

ก่อนที่จะได้เข้าชมตึกจริงในอีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ตอนนี้มี Curvistan Bangkok ให้ชม อยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 38 ซึ่งเป็น Experiential Space ของแบรนด์ PORSCHE ที่พร้อมจะให้ Brand Follower ของ PORSCHE รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบรถและคนรักไลฟ์สไตล์เหมือนกัน เข้ามาสัมผัสประสบการณ์การผสมผสานอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผ่านบรรยากาศของคาเฟ่ บาร์ และการจัดแสดงแกลเลอรีอันน่าทึ่ง พร้อมข้อเสนอพิเศษของร้านค้าที่จะมอบให้คุณ โดย Sale Gallery พร้อมห้องตัวอย่างของโครงการนั้นกำลังสร้างอยู่ในช่วงท้ายซอยสุขุมวิท 38 ซึ่งน่าจะเปิดให้คนสนใจซื้อได้เข้าไปชมได้ในช่วงปีหน้า ส่วนใครที่เคยเห็นโครงการนี้จากต่างประเทศมาแล้วและรู้สึกชอบ อยากจะจับจองเป็นเจ้าของสักห้อง บอกได้เลยว่าโครงการนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กับที่ต่างประเทศเช่นกัน สาวก PORSCHE ห้ามพลาด

5. เริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก

โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีระยะทางรวม 35.9 กิโลเมตร 29 สถานี แบบ Heavy Rail ที่วิ่งเชื่อมต่อได้ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – บางขุนนนท์ และรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี และสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้อีก 8 สาย ให้คุณเดินทางได้รอบกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ โดยรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี ที่มีการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 100% มีแผนจะเปิดเดินรถได้ภายในปลายปี 2570 หรือต้นปี 2571 และจะช่วยหนุนตลาดที่อยู่อาศัยให้คึกคักขึ้น

 

ซึ่งการมาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก จะอยู่ตามแนวถนนรามคำแหงไปทั้งสาย ต่อเนื่องไปถึงถนนรามอินทรา และพื้นที่รอบๆ สถานีมีนบุรีซึ่งเป็นปลายทางของสายสีส้มและเป็นสถานีร่วมกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จึงทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากเข้าไปซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีที่ดินเหลือขายหรือที่ดินที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ที่ให้ลูกบ้านสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก เนื่องจากใกล้กับโครงการรถไฟฟ้าและยังสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้ทั่วกรุงเทพฯ

 

โดยเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกที่มีสถานี Interchange หลายสถานี ไม่ว่าจะเป็นสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ เชื่อมกับสายสีน้ำเงิน, สถานีวัดพระราม 9 เชื่อมกับ สายสีเทา, สถานีมีนบุรี เชื่อมกับ สายสีชมพู และสถานีแยกลำสาลี ที่เชื่อมได้ทั้งกับสายสีเหลืองและสายสีน้ำตาล ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับสูงขึ้น พร้อมทั้งมีผู้ประกอบการเข้ามาจับจองที่ดินพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อขยายความเจริญออกสู่นอกเมืองให้กรุงเทพฯ มีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ทำให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีความสะดวกในเรื่องของการเดินทางได้หลายเท่า ให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นจากการขับรถยนต์ส่วนตัว และยังช่วยลดปัญหารถติดได้อีกด้วย

6. อุตสาหกรรมอสังหาขานรับหลักการ ESG ที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน

การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสีเขียวจะทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม แต่ยังต้องสร้างความตระหนักและความเข้าใจถึงความจำเป็นของที่อยู่อาศัยสีเขียวต่อกลุ่มผู้ซื้อในวงกว้าง ภายใต้ความท้าทายด้านต้นทุน และมาตรฐานรับรองในระดับสากล โดยไทยมีการนำแนวคิด ESG มาเป็นกรอบในการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย

 

ซึ่งในด้านของผู้ประกอบการคำนึงถึงการลดผลกระทบตั้งแต่จุดเริ่มต้น ผ่านการออกแบบและการก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งการลดการเกิดของเสียและเริ่มใช้การก่อสร้างสำเร็จรูป ซึ่งสะท้อนถึงความแพร่หลายของการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการของเสีย และการใช้เทคโนโลยีทางการก่อสร้าง เมื่อถึงช่วงที่มีคนเข้าอยู่อาศัยแล้ว ผู้ประกอบการเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและน้ำ รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการอยู่อาศัย สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัย ตลอดจนการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับผู้อยู่อาศัยอีกด้วย

 

รวมไปถึงในเรื่องของสีทาบ้านก็ช่วยลดการใช้พลังงาน แก้ปัญหาค่าไฟแพง รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก ซึ่งจะเป็นสีแบบใหม่ ที่มีคุณสมบัติสามารถทำให้บ้านและอาคารเย็นลง มีความทนทานต่อรังสี UV ช่วยลดการใช้แอร์ภายในที่อยู่อาศัยได้ ตอบสนองนโยบาย Net Zero ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เครื่องไฟฟ้าตามที่อยู่อาศัยได้ พร้อมทั้งยังสามารถตอบโจทย์การสร้างอาคารแบบ Well-Being ได้ โดยแบรนด์ผู้ผลิตสีของไทย มีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Captain, TOA, Dulux, Beger และ Jorakay

 

ตัวอย่างของการทำโครงการแบบโลว์คาร์บอนแบบเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ที่ยังคงมุ่งมั่นความยั่งยืนกับการพัฒนาโครงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คอนโดของเสนาทุกโครงการจะเป็นโลว์คาร์บอน โดยมีการออกแบบบ้านให้ประหยัดการใช้พลังงาน ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานในทุกส่วน และใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Cell ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ควบคู่กับระบบ SMART ENERGY & ENVIRONMENT การใช้ EV Ready ช่วยกระตุ้นให้ลูกบ้านเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในการเดินทางจะลด CO2 จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากการใช้น้ำมันของรถยนต์ได้ มีบริการการเดินทาง รับ – ส่ง ลูกบ้านด้วยรถ V MOVE พลังงานไฟฟ้า จากโครงการไปสู่จุดหมายปลายทาง เช่น สถานีรถไฟฟ้า และศูนย์การค้า ภายในโครงการมีต้นไม้เริ่มต้นประมาณ 50 ต้น ที่จะช่วยลด CO2 ได้ 500 KgCO2/ปี

 

ในการพัฒนาโครงการตามมาตรฐานรับรองที่อยู่อาศัยสีเขียว ต้องอาศัยจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ ผู้ประกอบการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้มีความเข้าใจถึงความจำเป็นของที่อยู่อาศัยสีเขียวต่อกลุ่มผู้ซื้อในวงกว้าง ควรผลักดันให้มีการนำมาตรฐานรับรองที่อยู่อาศัยสีเขียวมาปรับใช้ อาจจะสร้างแรงจูงใจจากการ ค่างวดผ่อนที่ไม่สูงมาก และสามารถซื้อหรือลงทุนโครงการดังกล่าวเพื่อนำไปช่วยลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้คนหันมาสนใจกับที่อยู่อาศัยสีเขียวมากขึ้น พร้อมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยสีเขียวยังได้ประโยชน์ต่อหลายฝ่ายอีกด้วย

7. กำลังซื้อจากต่างชาติ ทางออกที่เร็วที่สุดในการพยุงตลาดอสังหาฯ

เพราะขาดกำลังซื้อจากคนในประเทศ มาตรการช่วยเหลือในแบบยาแรงจากรัฐบาล และราคาที่ดินที่ไม่ลดลงเลย ทำให้หลายฝ่ายมองว่า กำลังซื้อจากต่างชาติคือทางออกที่ทำได้เร็วที่สุด ทั้งในเรื่องของตลาดต่างจังหวัดในหัวเมืองท่องเที่ยว และการขยายเพดานในการซื้อคอนโดในโควตาชาวต่างชาติ ตลอดจนการแก้ไข พ.ร.บ. ทรัพย์อิงสิทธิ ตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. 2562 เพื่อให้ขยายสัญญาการเช่าจาก 30 ปี เป็น 99 ปี ที่จะช่วยกระตุ้นตลาด Leasehold ให้เป็นที่น่าสนใจของชาวต่างชาติได้มากขึ้น

 

โดยข้อมูลจากนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธอส. เผยว่า เศรษฐกิจถูกกระตุ้นโดยภาคของอสังหาฯ ที่มีเรื่องของการปรับลดดอกเบี้ยการโอนกรรมสิทธิ์ ให้ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จากเมื่อก่อนเพียง 3 ล้านบาท เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการโอนฯ ของผู้ที่ซื้อที่พักอาศัยในราคาไม่เกิน 7 ล้าบาทได้ดีขึ้น

 

สำหรับยอดโอนห้องชุดของชาวต่างชาติในไตรมาส 3 มีจำนวน 3,756 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 และมีมูลค่าการโอน 18,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติ 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มีจำนวน 11,036 หน่วย (มีสัดส่วนร้อยละ 13.3 ของจำนวนหน่วยโอนห้องชุดทั้งหมด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 แต่มีมูลค่าการโอน 51,458 ล้านบาท (มีสัดส่วนร้อยละ 24.2 ของมูลค่าการโอนห้องชุดทั้งหมด) ลดลงร้อยละ -1.5 โดยจีน และ รัสเซีย แม้จะมีสัดส่วนการโอนห้องชุดมากในอันดับต้นๆ แต่มีจำนวนและมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัญหาเรื่องสงคราม และภาคอสังหาฯ ในจีนยังไม่ฟื้นตัว ในขณะที่พม่า และไต้หวันมีจำนวนหน่วย และมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

“ตัวเลขแค่ 9 เดือน ยอดโอนเทียบเท่าตลอดปี 66 แล้ว เราคาดว่าทั้งปี หน่วยโอนและมูลค่าจะสูงขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ 3 ชาติ คือ จีน พม่า และไต้หวัน จะติดท็อปทรี แต่พบว่า อินเดียมีมูลค่าเฉลี่ยโอนสูงสุดถึง 6.3 ล้านบาท”

 

ตลาดการซื้อคอนโดของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจีนและรัสเซีย จะยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนตลาดคอนโดในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา การพัฒนาของระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการรถไฟฟ้าและสนามบินจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น

 

8. เปิดตัวโครงการ ONE Bangkok

เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ กับโครงการเมกะโปรเจกต์ในย่านพระราม 4 คือ โครงการ ONE Bangkok (วัน แบงค็อก) บนที่ดินแปลงใหญ่กว่า 108 ไร่ ด้วยงบประมาณ 120,000 ล้านบาท บนพื้นที่อาคารรวมอยู่ที่ประมาณ 1.83 ล้านตารางเมตร ภายใต้แนวคิด The Heart of Bangkok เมืองที่ใช้ใจสร้าง โดยยึดเอา “หัวใจ” ของผู้คนเป็นศูนย์กลาง สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านการออกแบบ คุณภาพ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีทั้งอาคารสำนักงานแบบพรีเมียม จำนวน 5 อาคาร โรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่และไลฟ์สไตล์ 5 แห่ง อาคารที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่อีกจำนวน 3 อาคาร ระบบขนส่งสาธารณะแบบครบวงจร มีทางเข้าออกรอบโครงการถึง 6 จุด พร้อมทั้งสร้างพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งกว่า 50 ไร่ ไปจนถึง One Bangkok Retail ที่รวบรวมประสบการณ์การชอปปิ้งที่เหนือระดับแบบครบวงจรที่สุดไว้ในที่เดียว ภายใต้แนวคิด “The Rhythmic Experience” บนพื้นที่เช่าสุทธิรวมกว่า 190,000 ตารางเมตร

 

พร้อมกับโซน One Bangkok Retail ก่อน บนพื้นที่ช้อปปิ้ง แฮงค์เอาท์ นั่งชิลจิบกาแฟ ทานข้าวนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 190,000 ตร.ม. บนแนวคิด The Rhythmic Experience ที่นำเสนอ 3 ประสบการณ์ “Retail – Food – Art” จาก 3 อาคาร Parade, The Storeys และ POST 1928 ด้วยคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างและมีดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่สามารถเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วย ‘Retail Loop’ กว่า 900 ร้านค้า ภายในโครงการยังมีส่วนของโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในระดับ Luxury จะมีทั้งหมด 5 แห่ง มีที่เผยรายละเอียดแล้ว 3 แห่งคือ โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โรงแรมหรูระดับ 6 ดาว โรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก โรงแรมแบรนด์แอนดาซแห่งแรกในกรุงเทพฯ และ เฟรเซอร์ สวีทส์ กรุงเทพ บน Tower 2

 

และเตรียมเผยโฉม The Wireless House One Bangkok นิทรรศการที่ชุบชีวิตประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศไทยกลับมาเล่าใหม่อย่างร่วมสมัย ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมแยกพระราม 4 ตัดกับถนนวิทยุ อีกส่วนอาคารที่สำคัญคือ Chang Canvas ซึ่งเป็นโรงเบียร์และบาร์ขนาดใหญ่ ติดกับอาคาร ONE BANGKOK ARENA ซึ่งเป็น Live Entertainment Arena ศูนย์กลางการจัดงานมาตรฐานระดับโลก

 

โดยส่วนของอาคารสำนักงาน ได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน WiredScore และมาตรฐาน SmartScore ในระดับแพลตตินัม และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ทำให้พื้นที่สำนักงานภายในโครงการฯ ถูกสร้างขึ้นมาโดยคำนึงถึงสุขภาวะของผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะที่ล้ำสมัยเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบอาคารให้เหนือกว่ามาตรฐานของอาคารสำนักงานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การนำกระจกฉนวนกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้กว่า 75% มาใช้ การติดตั้งระบบระบายอากาศประสิทธิภาพสูงที่สามารถดึงอากาศจากภายนอกเข้าสู่อาคารสูงกว่ามาตรฐานสากลถึง 30% มี District Command Center หรือศูนย์ควบคุมการสั่งการที่ใหญ่และครบวงจรที่สุด และมีแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของผู้ใช้อาคารอย่างครบครัน เช่น การเข้าออกอาคาร การสำรองที่จอดรถ ระบบค้นหาตำแหน่งรถ (Find My Car) และยังมีระบบการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

 

ภายในโครงการยัง Membership Program รวบรวมทุกบริการและสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ตลอดจนมีบริการ One Stop Service ที่ให้บริการชอปปิ้งแบบครบวงจรผ่าน Concierge ของศูนย์การค้าฯ และบริการ  EV Shuttle Bus รับส่งระหว่างบีทีเอสเพลินจิตมายังโครงการด้วยเช่นกัน

 

เรียกได้ว่า One Bangkok เป็น Destination แห่งใหม่ในไทยเลยก็ว่าได้สำหรับนักท่องเที่ยวและคนไทยด้วยเช่นกัน เพราะเป็นโครงการมิกซ์ยูสแบบครบวงจร ไม่ว่าคุณจะมองหาห้างสรรพสินค้าไว้ช้อปปิ้ง ร้านอาหารหลากหลาย โรงแรมหรูแบบลักซ์ชัวรี่ หรือแม้กระทั่งสำนักงานพรีเมียม ก็มารวมไว้ในที่เดียว ให้คุณสามารถใช้ชีวิตที่ One Bangkok ที่เดียวได้เลยทั้งวันแบบไม่มีเบื่อ และยังมีงานศิลปะสวยๆ พร้อมสวนสีเขียวขนาดใหญ่ให้ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดเลย

9. รัฐบาลประกาศเดินหน้า เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ สถานบันเทิงครบวงจร

พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ฉบับแก้ไขล่าสุด มาตรา 41 ระบุว่า ให้สถานบันเทิงครบวงจรตั้งอยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น โดยจะต้องประกอบไปด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้าย พระราชบัญญัตินี้อย่างน้อยสี่ประเภท ร่วมกับกาสิโน ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าครบวงจร โรงแรมระดับ 5 ดาว ร้านอาหารและบาร์ ศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่ ศูนย์สุขภาพครบวงจร สนามกีฬา ยอชต์และครูซซิ่งคลับ สถานที่เล่นเกม สระว่ายน้ำและสวนน้ำ สวนสนุก พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้าโอท็อป และกิจการอื่นๆ ทั้งนี้ สัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด

 

โดยรายละเอียดในกฎหมายดังกล่าวกำหนดคุณสมบัติเอกชนที่จะลงทุน ให้ใบอนุญาตมีอายุ 30 ปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต โดยผู้รับใบอนุญาตจะต้องชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และค่าธรรมเนียมรายปีตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนด แต่ต้องไม่เกินอัตราตามบัญชีแนบท้ายกฎหมายนี้ โดยให้มีการประเมินประสิทธิภาพของ การดำเนินงานทุก 5 ปี และอาจพิจารณาต่ออายุได้คราวละไม่เกิน 10 ปี รวมถึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาข้อเสนอของเอกชน โดยโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ต่างได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มทุนต่างชาติและผู้ประกอบการไทยด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งจะเป็นตัวสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างผลประโยชน์ให้เกิดกับประเทศล้วนๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ สร้างรายได้ให้กับประชาชน ประเทศได้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีเอกชนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ประกาศเสนอตัวสนใจร่วมลงทุนหลายราย ประกอบด้วย กลุ่มสนามม้านางเลิ้ง ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ,กลุ่มบริษัท สยามพาร์คซิตี้, บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด, กลุ่มเดอะมอลล์, บริษัท พราว กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงท่องเที่ยว, บริษัท อิมแพ็คเอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นต้น

 

เมื่อ พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ผ่าน และเปิดให้ใช้บริการได้ในอนาคต ก็จะมีทั้งผลดีและผลเสียที่ตามมา หลักๆ แล้วก็จะทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการเติบโตมากขึ้น ยังทำให้อัตราการว่างงานของคนในพื้นที่ลดน้อยลง เพราะเกิดการจ้างงานมากขึ้น มีการกระตุ้นเงินหมุนเวียนในในประเทศ และเกิดการลงทุนในพื้นที่ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย โดยหากรัฐและผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจดังกล่าวมีมาตรการกำกับ ควบคุม  และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ก็จะไม่เกิดผลกระทบต่างๆ ที่ร้ายแรงตามมาในภายหลัง

 

10. “เช่า” ง่ายกว่า “ซื้อ” หมดห่วงเรื่องกู้ไม่ผ่าน ปลอดภาระในระยะยาว ไม่ชอบก็แค่ย้าย

ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังไม่มีการเติบโตขึ้นมากนัก เนื่องด้วยเป็นผลกระทบมาจากโควิดที่กินเวลาระยะยาว ส่งผลต่อสถานะการเงินของผู้บริโภค ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ ภาวะหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินในการซื้อที่อยู่อาศัยปัจจุบันยังคงสูงเมื่อเทียบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค จึงเป็นเหตุให้ความต้องการซื้อของที่อยู่อาศัยทุกประเภทลดลง และผู้บริโภคเลยเลือกที่จะชะลอแผนการซื้อบ้าน ซื้อคอนโดออกไปก่อน

 

โดยดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) แพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเรื่องการเช่าและการซื้อว่า “ภาพรวมความต้องการซื้อทั่วประเทศในไตรมาสล่าสุดลดลง 7% โดยลดลงทุกประเภทที่อยู่อาศัย ขณะที่ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปรับขึ้นเล็กน้อย 1% ตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงที่ยังไม่ฟื้นตัว จึงเลือกชะลอแผนการซื้อหรือโยกย้ายที่อยู่อาศัยออกไปก่อน ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการเช่าทั่วประเทศลดลง 10% โดยดัชนีค่าเช่าแนวสูงเพิ่มขึ้นถึง 5% และแนวราบเพิ่มขึ้น 4%”

 

ซึ่งตลาดการเช่าอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยครองตลาดเช่าด้วยสัดส่วนถึง 92% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ ถือเป็นประเภทที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี รองลงมาคือบ้านเดี่ยว 5% และทาวน์เฮ้าส์ 3% จะพบว่าที่อยู่อาศัยให้เช่าส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับค่าเช่า 10,000-30,000 บาท/เดือน มากที่สุดด้วยสัดส่วน 41% เมื่อแบ่งตามประเภทอสังหาฯ ที่มีตั้งแต่คอนโดที่มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาก็จะเป็นทาวน์เฮ้าส์ ไปจนถึงบ้านเดี่ยวนั่นเอง

 

ยกตัวอย่าง Model ตลาดการเช่าแบบใหม่ของเสนาฯ ที่ได้ต่อยอดจาก LivNex มาสู่โมเดลใหม่ “RentNex” Pay wisely, Live Flexibly การเช่าคอนโดรูปแบบใหม่ เน้นความยืดหยุ่นให้กับผู้เช่า และไม่ผูกพันกับสัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้าด้วยบริการสมัครสมาชิก หรือ Subscription Model ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ในการสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น Netflix, YouTube Premium, Spotify Premium, Canva Pro

 

ซึ่งเสนามองว่า “RentNex จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ หรือ Generation Rent ที่เน้นการเช่าอยู่มากกว่าความต้องการซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ โดยลูกค้าสามารถเลือกเช่าแบบสมัครสมาชิกได้จากคอนโดมิเนียม 20 โครงการ โดยแต่ละโครงการนำร่องประมาณ 10 ยูนิต เพื่อทดลองตลาด เริ่มต้นเช่าเพียง 6,700 บาท/เดือน มีแพคเกจให้เลือก 3 แบบตามระดับราคาคอนโดมิเนียม”

 

ในด้านของการเช่าอยู่อาศัยนั้น เรียกได้ว่ามีข้อดีกว่าซื้ออยู่อาศัยเช่นกัน เพราะเมื่อคุณเช่าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโด หรืออะพาร์ทเม้น เมื่อครบสัญญาการเช่าในระยะเวลาที่ถูกกำหนด คุณสามารถย้ายออกไปเช่าที่อื่น หรือต่อสัญญาอีกก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งถ้าหากมีโอกาสที่ต้องย้ายงานใหม่ห่างไปจากที่อยู่อาศัยเดิม ก็สามารถย้ายที่พักเพื่อให้เราอยู่ใกล้ที่ทำงานได้เลย ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องสัญญาต่างๆ เมื่อคุณอยู่ครบกำหนด ต่างจากการซื้ออยู่อาศัย ที่ไม่สามารถโยกย้ายตามที่ทำงานได้ เพราะจะติดในเรื่องของผ่อนจ่ายกับธนาคาร หรือขายเพื่อย้ายที่อยู่ใหม่ก็ต้องใช้เวลาทำเรื่องดำเนินการนานกว่าการเช่าอยู่เช่นกัน

 

11. กระแส Affiliate Marketing มาแรงแซงทุกเทรนด์การตลาดอสังหาฯ ขายง่ายได้ Content ฟรี!

Affiliate Marketing กลายมาเป็นเทรนด์ที่หลายๆ วงการใช้กันอย่างแพร่หลาย ที่มีทั้งความสะดวก ประหยัดงบการซื้อสื่อ และได้ยอดการมองเห็น การติดตามกลับเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นการนำเอาสินค้าไปให้คนทั่วไป ลูกค้า รวมถึงกลุ่ม Influencer ทำคอนเทนต์โปรโมทตามช่องทางออนไลน์ และแปะลิ้งค์ที่ทางดีเวลลอปเปอร์ generate มาให้ ในแพลตฟอร์มตัวเอง ถ้าหากมียอดการซื้อสินค้าผ่านลิ้งค์ที่เราใช้โปรโมท เราก็จะได้รับค่านายหน้า โดยไม่ต้องลงทุนผลิตสินค้า สต๊อกของ หรือแม้กระทั่งแพ็คสินค้าส่งให้ลูกค้าเลย ซึ่งเรานั้นจะเป็นเพียงตัวกลางระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อเพียงเท่านั้น ทำงานที่ไหนก็ได้ มีแค่มือถือเครื่องเดียวก็จบครบทั้งทำคอนเทนต์ ไปจนถึงแปะลิงค์ รอคนมากด

 

โดยกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ Affiliate Marketing ก็ถูกมานำมาใช้ในวงการอสังหาฯ กันหลายแบรนด์ ซึ่งจะมีการดึงเอาอินฟลูเอนเซอร์ เข้ามาช่วยโปรโมทโครงการต่างๆ คิด Content ให้ตอบโจทย์เป้าหมายที่เป็นลูกค้าคนรุ่นใหม่ เมื่ออินฟลูฯ ทำการขายได้ก็ถือเป็นโอกาสในการขยายช่องทางขายใหม่ และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ได้ประโยชน์ทั้งเจ้าของโครงการและอินฟลูฯ ฝั่งนึงได้มี Content ที่หลากหลายมากขึ้น อีกฝั่งก็ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น Win Win กันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าสำหรับ influencer สายอสังหาฯที่มองเรื่องของการทำ Quality Content จะไม่ชอบสิ่งนี้ เนื่องจากกติกาในการการได้ค่า Refer นั้นค่อนข้างเยอะ ยุ่งยาก ลูกค้าส่วนใหญ่มีพฤติกรรม Window Shopping ที่ซ้ำกันในหลายช่องทาง จนดูเหมือนว่าจะเสียทั้งค่า Production และพื้นที่ Media ไปอย่างฟรีๆโดยไม่ได้อะไรกลับมา

 

ทั้งนี้ดีเวลลอปเปอร์หลายรายก็หันมาให้ความสนใจกับกลยุทธ์นี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น แสนสิริ กับแคมเปญ Sansiri Affiliate Level-Up แค่ทำคอนเทนต์โดนใจก็มีสิทธิ์รับค่าคอมเป็นล้าน พร้อมนำคอนโด 27 โครงการเข้าร่วมแคมเปญ, เอสซี แอสเสท กับ SC Affiliate Wealth Partner Program โปรแกรมสร้างรายได้ง่ายๆ ให้กับผู้สมัครที่ทำการโปรโมทโครงการของ SC ASSET ผ่านช่องทางต่างๆ เมื่อมีการจองและโอนกรรมสิทธิ์ผ่านลิงก์ของผู้สมัคร ผู้สมัครจะได้รับค่าตอบแทนสูงสุดอยู่ที่ 1,300,000 บ.*, ออริจิ้น เปิดตัวแคมเปญ ORIGIN LIVE รับล้าน โชว์สเต็ปสุดยอดนักขายผ่าน Live เปิดทางครีเอเตอร์นักขายทั่วประเทศ ร่วมสร้างสรรค์คอนเทนท์คอนโด พร้อมรับค่าคอมมิชชั่นสูงสุด 1 ล้าน และแอสเซทไวส์ แคมเปญสุดพิเศษ “HOLE IN ONE  เพื่อนได้บ้าน เราได้ค่าแนะนำ” นำโครงการเข้าร่วมแคมเปญ 26 โครงการ แนะนำหรือเชิญชวนลูกค้าที่สนใจให้มาเป็นลูกบ้านแอสเซทไวส์ตามเงื่อนไข รับเลยค่าแนะนำสูงสุด 800,000 บาท

 

ในปัจจุบัน Affiliate Marketing มีคนทำกันอย่างแพร่หลาย เรียกได้ว่าใครๆ ก็ทำได้ แต่จะมีแนวทาง และมีเอกลักษณ์ของตัวเองขนาดไหนถึงจะดึงดูดให้เกิด Conversion ขึ้นมาเป็นตัวเงินได้ ซึ่งในมุมมองของเราธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่เปิดให้มีช่องทาง E-Commerce แบบ 100% สามารถมี Product ให้ปักตระกร้าได้ เพื่อปิด Loop ของ Customer Journey ให้จบได้ในทุกครั้งที่เห็น Content ไม่ใช่ในแบบการตลาดอสังหาบ้านเรา ที่จบด้วยการลงทะเบียน แล้วไปรอลุ้นหน้างานกันอีกที

 

12. บ้านเพื่อคนไทย ผ่อนเริ่มเดือนละ 4,000 บาท ไม่ต้องดาวน์ ผ่อนนาน 30 ปี อยู่ได้ 99 ปี

เด็กจบใหม่สมัยนี้ ทำงานยังไงก็ไม่สามารถซื้อบ้านได้ เพราะราคาบ้าน และคอนโดแพงขึ้นสวนทางกับค่าจ้างที่ได้รับในแต่ละเดือน อีกทั้งหลายๆคนก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนงานบ่อย ขาดความต่อเนื่องในการทำงานทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายๆแห่งก็มักจะเลือกที่จะปฎิเสธสินเชื่อ หรือหากกู้ได้ก็มักจะมีเงินเหลือไม่พอเก็บออม หรือใช้สอยในชีวิตประจำวัน ทางออกที่ทำได้รวดเร็ว เบ็ดเสร็จที่สุดในแบบที่ไม่ต้องหวังพึ่งเอกชนให้พัฒนาบ้านราคาถูกที่เด็กจบใหม่ รวมถึงผู้ที่มีความฝันอยากได้บ้านหลังแรกสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ในแบบไม่ต้องควักเงินก้อน และยื่นกู้แบงค์ให้ยุ่งยาก ก็คือการเข้าแทรกแซงตลาดจากทางภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลของนายกอิ๊งค์ ก็ผุดนโนบายเพื่อเอาใจเด็กจบใหม่ และผู้ที่อยากมีบ้านหลังแรกอย่างเต็มตัว ด้วยการผลักดันสร้าง “บ้านเพื่อคนไทย” โดยมีรูปแบบทั้งคอนโดห้องเริ่มต้น 30 ตรม. และบ้านเดี่ยวชั้นเดียว เฟอร์ฯครบ ไม่มีดาวน์ จ่ายค่าเช่าเริ่มเดือนละ 4,000 บาท ผ่อนยาวไม่เกิน 30 ปี มีสิทธิอยู่ 99 ปี หากจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นอาศัยต่อ เจ้าของต้องอาศัยอยู่อย่างน้อย 5 ปี

โดยความคืบหน้าล่าสุดโมเดลพัฒนา “บ้านเพื่อคนไทย” สรุปว่าให้ทางบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ซึ่งเป็นบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของ รฟท. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการนำร่องใช้ที่ดินของ รฟท.ในการพัฒนา ซึ่งสำหรับเราก็ดูจะคล้ายกับโมเดลในการพัฒนาในแบบ TOD (Transit Oriented Development) ที่ไปพัฒนาโครงการที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางด้วยเครือข่ายรถขนส่งสาธารณะได้ง่าย เพื่อช่วยให้ประหยัดเวลาในการเดินทางในแบบไม่ต้องใช้รถ สนับสนุนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแบบโลว์คาร์บอน

 

สำหรับพื้นที่นำร่องของการพัฒนาบ้านเพื่อคนไทยภายใต้ที่ดินการรถไฟฯ เบื้องต้นมี 4 โครงการ ประกอบด้วย
1. ที่ดินย่าน กม.11
2. ที่ดินบริเวณสถานีเชียงราก
3. ที่ดินบริเวณสถานีธนบุรี
4. ที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่

 

โดยปัจจุบัน SRTA อยู่ระหว่างการดำเนินการ และเตรียมเปิดตัวห้องตัวอย่าง ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ 20 ม.ค.68 นี้

เห็นมีหน้าตาบ้าน อาคาร และแปลนห้องมาแล้ว แคปมาให้ดูจากเรื่องเล่าเช้านี้ และทางกรุงเทพธุรกิจ บ้านจะเป็นขนาด 50 ตรว.แต่มีพื้นที่ใช้สอยแค่ 50 ตรม. 2 นอน 1 น้ำ จอดรถได้ 2 คัน

ส่วนคอนโดจะมีพื้นที่ใช้สอย 30 และ 45 ตรม. เท่าที่ดูจากรูปชุดเฟอร์ฯโอเคเลย เค้าให้ห้องแบบแต่งครบ โดยทางรัฐบาลย้ำว่านี่ไม่ใช้บ้านคนจน เน้นทำราคาให้ถูกที่สุดแต่อย่างใด

โครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่ใช่โครงการที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาให้ฟื้นขึ้นมาได้อย่างโดยตรง เพราะด้วยจำนวน Supply ยังค่อนข้างมีน้อยอยู่ถ้าเทียบกับปริมาณอสังหาฯของดีเวลลอปเปอร์ทุกรายในปัจจุบัน จึงไม่สามารถที่จะเข้ามาช่วยแทรกแซงให้เกิดการแข่งขันกันทำบ้านในราคาที่ถูกลงมาได้อย่างมีนัยสำคัญ เหมือนอย่างบ้านของการเคหะสิงค์โปร์ (ในระยะแรกสถานีนิคมรถไฟ กม. 11 น่าจะมีจำนวนประมาณ 1,232 ยูนิต และบ้านที่อยู่โดยรอบสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีแค่ 35 หลังเท่านั้น) แต่ในมุมมองของเราสิ่งที่น่าจะ impact กับตลาดก็คือ การสร้าง awareness ให้กับกลุ่มโครงการแบบ Leasehold ที่เราเชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะขยายได้ถึง 99 ปีเทียบเท่ากับบ้านเพื่อคนไทยในอนาคต โดยหากคนไทยจำนวนมากรับรู้ว่าการอยู่โครงการ Leasehold ก็เป็นเรื่องปกติไม่ได้แปลกอะไร ก็น่าจะกระตุ้นให้ดีเวลลอปเปอร์มีการพัฒนาโครงการแนวนี้กันมากขึ้น เพราะต้นทุนที่ดินก็จะถูกกว่า หรือไม่ก็อาจจะเกิดโมเดลในการทำงานร่วมกันบนที่ดินของเอกชนแปลงอื่นๆ ได้เช่นเดียวกัน

 

จบไปแล้วกับ 12 ประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2024 ที่เรามานำเสนอให้ทุกคนได้อ่านกัน ทั้งเรื่องสัตว์เลี้ยง เรื่องการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ การเปิดตัวเมกะโปรเจกต์ย่านพระราม 4 และโครงการ Porsche Design Tower ใครชอบประเด็นไหนกันบ้าง? และปีหน้าเราก็รวมเอาเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับวงการอสังหาฯ มาให้ทุกคนได้ติดตามกันอีกเช่นเคย เจอกันใหม่ปีหน้า ปี 2025 จ้า

wipawan khampuwiang

wipawan khampuwiang

จบทางด้านภาษาไทยและชอบงานเขียน ชอบอ่านและดูรูปภาพรีวิวบ้าน คอนโดต่างๆ เบื่อกับการอยู่ห้องทั้งวันแบบไม่มีอะไรทำ ฉะนั้นงานอดิเรกก็เลยชอบหาที่เที่ยวและถ่ายภาพ

เว็บไซต์

นิว เอปิค อโศก-พระราม 9

นิว คอร์ คูคต สเตชัน

ศุภาลัย แกรนด์ เอสเซ้นส์ อรุณอมรินทร์

ทำเลฝั่ง “ธนบุรี” ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง...

6 November, 2024

ศุภาลัย ธาม เจริญนคร

เป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ของศุภาลัย ที่เป็นผู้เชี่ย...

2 November, 2024

นิช ไพรด์ เอกมัย

Unimaginable Life ชีวิตเกินจินตนาการใจกลางเอกมัย หาก...

21 October, 2024

ศุภาลัย บลู สาทร-ราชพฤกษ์

ทำเลสถานีบางหว้า คือสถานี Interchange สำคัญของชาวฝั่...

17 October, 2024

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง