“Well-Being and Sustainable Lifestyle” เทรนด์อสังหาฯ มาแรงในปี 2567 ที่คนส่วนใหญ่มองหา ชี้ต้องการพื้นที่บ้านรองรับ “การพักผ่อน – Work at Home” เน้นต้องประหยัดพลังงาน มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพ มีนวัตกรรมสมาร์ทโฮม ก่อสร้างที่ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และลดการปล่อยคาร์บอน ด้าน “แสนสิริ” ปรับกลยุทธ์ใหม่ ครองใจลูกค้า กลับมาคว้ารางวัล The Most Powerful Brand 2023 จาก TERRABKK ไปครอง
นางสาว สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด หรือ TERRA BKK กล่าวว่า จากผลวิจัย The most powerful of real estate brand 2023 และเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด Well-Being and Sustainable Lifestyle จากแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง 2,000 คน พบว่า ผู้ตอบกว่า 42% มีแผนจะซื้อบ้านในช่วง 3 ปี โดยส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ในระดับราคาตั้งแต่ 3 – 7 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อบ้านปีนี้คนส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจเรื่องวัสดุก่อสร้างกันมากขึ้น รองลงมาคือ ระบบรักษาความปลอดภัย, สังคมและสิ่งแวดล้อมและบริการหลังการขาย
เมื่อเจาะลึกมาดูสินค้าในแต่ละกลุ่มจะพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 78% วางแผนที่จะซื้อบ้านเดี่ยว โดยส่วนใหญ่
เป็นคนในกลุ่ม Baby Boomer (อายุมากกว่า 56 ปีขึ้นไป) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 28-41 ปี), รองลงมาเป็นกลุ่มทาวน์โฮม มีสัดส่วน 47% โดยเป็นกลุ่ม Gen X (อายุ 46-56 ปี) และ Gen Z (อายุ 18-27 ปี), ส่วนคอนโดมิเนียม มีผู้วางแผนที่จะซื้อราว 27% ซึ่งเป็นคนในกลุ่ม Gen Z และGen Y ในระดับราคา 2-7 ล้านบาท
ด้านพฤติกรรมการอยู่อาศัยในปี 2567 พบว่า คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ในบ้าน 2 ด้าน คือ การพักผ่อนในพื้นที่ห้องรับแขก-ห้องนั่งเล่น – ห้องอเนกประสงค์ และการทำงานแบบ Work at Home รวมถึงมีความต้องการพื้นที่นอกตัวบ้าน หรือ
ในสวนมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับแนวคิด sustainable lifestyles จากผลวิจัยที่พบว่า ความต้องการบ้านในอุดมคติ จะประกอบด้วย 3 ด้าน คือ Comfortable and Convenience Living, Safe and Secure Environment และ Well-Being เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าการอยู่บ้านในสังคมใหม่ที่ครบ สมบูรณ์ด้วยสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ในบ้านมีการใช้สมาร์ทโฮม เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก เหล่านี้จะช่วยให้ความเป็นอยู่ทั้งร่างกายและจิตใจดีขึ้น
ทั้งนี้จากผลวิจัยจะเห็นว่า sustainable lifestyles ของคนแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยกลุ่ม Gen Z
(อายุ 18-27 ปี) จะเป็นกลุ่มที่ใส่ใจเรื่องการเดินทาง โดยส่วนใหญ่จะเน้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะกันมาก ส่วนกลุ่ม Gen Y (อายุ 28-41 ปี) ให้ความใส่ใจด้านพลังงานเช่นการเปิด-ปิดไฟเมื่อไม่จำเป็น, กลุ่ม Gen X (อายุ 46-56 ปี) จะเป็นคนที่สนใจเรื่องอาหาร และสุขภาพ เช่น ลดการกินเนื้อสัตว์ หรือกินพืชผักตามฤดูกาล และกลุ่ม Baby boomer (อายุมากกว่า 56 ปีขึ้นไป) เป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจมาก เพราะคนกลุ่มนี้หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีสีเขียวเช่น โซล่าร์เซลล์ มากขึ้น
ซึ่งจาก sustainable lifestyles ที่กล่าวถึงได้สะท้อนถึงความต้องการบ้านของผู้บริโภคที่สอดรับกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต อาทิ การออกแบบ Universal design, มีพื้นที่ห้องสปาหรือโปรแกรมบริการการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย, มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพและกายภาพบำบัด, บริการช่วยเหลือเรื่องสุขภาพ, บ้านประหยัดพลังงาน Solar Cell /ฉนวนกันความร้อน, ระบบกรองอากาศ PM2.5 และไวรัส, นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย เช่น Smart Home, EV Charger, ระบบการคัดแยกขยะอย่างแท้จริง เพื่อลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม, การก่อสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยคาร์บอน
ทางด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปี 2567 พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ 76% ลดลง 4% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่ 80% แม้ในภาพรวมค่าดัชนีจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ในแง่ของการซื้อสินค้ามูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ, รถยนต์ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคง
มองว่าช่วงนี้ไม่ใช่โอกาสดีในการซื้ออสังหาฯ ทั้งจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน รวมถึงราคาอสังหาฯที่ปรับตัวสูงขึ้นตามค่าก่อสร้างใหม่ ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อใหม่ทำให้ลูกค้าบางกลุ่มต้องชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป