Experience Design เจาะกลยุทธ์การออกแบบประสบการณ์โรงแรมยุคใหม่ ทำอย่างไรให้พื้นที่สร้างประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย
Propholic.com สรุปเนื้อหาจากสัมมนา Special Projects Sohotel – Market Study and Research บรรยายโดย Steven C. Nebel จาก sohohospitality.com ในงาน NoVacancy Asia 2025 เมื่อ 18 พ.ย. 2025
Soho Hospitality มีประสบการณ์ด้านการออกแบบภายในและมีผลงานสร้างแบรนด์ร้านอาหารมาแล้วมากมาย เช่น Yankii ที่ย่านสุขุมวิท พวกเขาเชี่ยวชาญสร้าง experience ให้ผู้คนที่เข้ามาใช้ space ในงานสัมมนาเขาได้แบ่งปันความรู้กับชุมชนคนโรงแรมให้มองเห็นภาพว่ามีโอกาสที่จะพัฒนาพื้นที่ภายในโรงแรมให้กลายเป็นรายได้เพิ่มได้อย่างไรบ้าง เรามาดูกันเลย
1. Human-Centric Hospitality จุดเริ่มต้นของความภักดีในยุคใหม่
วิทยากรอธิบายปรัชญาหลักของ Soho Hospitality ว่าความสำเร็จของธุรกิจโรงแรมในยุคนี้ต้องเริ่มจาก “มนุษย์” ไม่ใช่ “ดีไซน์เพื่อโชว์” แต่คือการเข้าใจความต้องการ ความหวัง ไลฟ์สไตล์ และแรงขับเคลื่อนของผู้เข้าพัก แล้วสร้างประสบการณ์ที่ตอบความเป็นมนุษย์เหล่านั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สวยสะดุดตา แต่ต้องสัมผัสหัวใจ แขกต้องรู้สึกว่าโรงแรม “รักเขา” และเขาก็อยาก “รักตอบ”
โมเดลที่ใช้คือแนวคิดคล้ายลำดับขั้นความต้องการของ Maslow จากความต้องการพื้นฐานไปจนถึงความต้องการทางอารมณ์ และทั้งหมดนี้คือกุญแจในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียง “return on ego” ของเจ้าของหรือดีไซเนอร์ แต่คือผลลัพธ์จริงบนงบดุลของโรงแรมด้วย
เขานำเสนอว่า 4 ปัจจัยสำคัญของอุตสากรรมโรงแรม ประกอบด้วย Room Design, F&B, Amenities, และ Experiences & Activations
2. Room Design ห้องพักยุคใหม่ แค่ Instagrammable ไม่พอ แต่ต้องไปให้ถึง Behavioral Design
งานวิจัยของ Cornell พบว่าแม้ผู้เข้าพักกว่า 41% รู้สึก “พึงพอใจด้านความงาม” แต่กลับ “ไม่รู้สึกผูกพันกับห้อง” ซึ่งชี้ชัดว่าการออกแบบโรงแรมปัจจุบันกำลัง “เน้นภาพมากเกินไป” แต่ “ขาดพฤติกรรมมนุษย์เป็นฐานคิด”
จุดบอดในอุตสาหกรรมโรงแรมตอนนี้คือ
– ห้องและพื้นที่ส่วนกลางที่ถ่ายรูปสวย แต่ใช้งานจริงไม่สะดวก แขกสับสน ไม่รู้จะไปตรงไหน
– ห้องพักแบบ rigid ที่ไม่ยืดหยุ่น และกลายเป็นภาระสำหรับเจ้าของในระยะยาว
– ดีไซน์ที่เน้น mood มากกว่า function ทำให้แขกไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับพื้นที่
แนวทางการออกแบบใหม่
– ห้องขนาดคอมแพค 20–24 ตร.ม. แต่ต้องจัด zoning ที่ชัดเจน มีโซนพักผ่อน ทำงาน กิจกรรมสังคม
– ใช้เฟอร์นิเจอร์ปรับเปลี่ยนได้ เช่น sliding partitions, multi-use furniture
– Tech-enabled personalization เป็นหัวใจ เช่นไฟ ปรับอารมณ์, ระบบควบคุมง่าย, in-room customization
– ดีไซน์ต้องเล่าเรื่อง ผ่านวัสดุ flow ของพื้นที่ และจังหวะการใช้งานในหนึ่งวันของแขก
3. Food & Beverage จากแผนกทำกำไรน้อย สู่การเป็นตัวเล่าเรื่องของ Branding
รายงานชี้ว่าโดยเฉลี่ย F&B ในโรงแรมทำกำไรเพียง 8-12% ขณะที่ร้านอาหารทั่วไปทำได้ 18–25% มากกว่าอย่างชัดเจน
สาเหตุของช่องว่างนี้อยู่ที่
– เปิดบริการตามแพทเทิร์นเดิม ๆ ไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมคนยุคใหม่
– ร้านอาหารในโรงแรมมัก generic ไม่มีตัวตน
– ไม่มีการเชื่อมเรื่องราวกับแบรนด์โรงแรม
– แขกต้องการของ “ท้องถิ่นจริง” แต่โรงแรมยังนำเสนอแบบสากลไร้รสนิยม
เทรนด์ที่มาแรง
– Pop-up dining และ collaboration กับเชฟหรือ local vendors
– Lobby ที่ถูกเปลี่ยนบทบาทให้เป็น “F&B platform” เช่นเดียวกับพื้นที่ในห้างสมัยใหม่
– Modular layout ในร้านอาหารเพื่อให้ปรับกิจกรรมได้
– การออกแบบด้วย visual storytelling , การออกแบบให้ครบทุกประสาทสัมผัส แสง–เสียง–กลิ่น และควรมี QR menus สะดวกทันสมัย
– เน้นความยืดหยุ่นของพื้นที่มากกว่าร้านแบบคงที่
ผู้เข้าพักต้องการเห็น “เมืองที่เขามาเยือน” ในโรงแรม ไม่ใช่ร้านอาหารที่เหมือนกันทั่วโลก เพราะแขกต้องการเห็น neighborhood reflection คือเข้าพักแล้วรู้สึก “ฉันได้กินแบบคนท้องถิ่นจริง ๆ” ไม่ใช่แบบที่โรงแรมคิดให้แทน




















