“Concentration” is the new asset class เพราะ “สมาธิ” คือสินทรัพย์ที่กำหนดว่าเราจะได้อยู่ชนชั้นระดับไหนในโลกอนาคต
การลงทุนไม่ว่าจะเป็นในตลาดหุ้น ตลาดเงิน คริปโต อสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจอื่นๆ ล้วนต้องการทรัพยากรทางจิตใจหนึ่งเดียวที่มักถูกมองข้ามนั่นคือ Concentration หรือสมาธิ มันคือการโฟกัสอย่างมีสติและสามารถอยู่กับสิ่งที่สำคัญได้ยาวนานกว่าใคร เพราะในโลกที่ข้อมูลข่าวสารไหลทะลัก และแรงกดดันจาก noise หรือสิ่งรบกวนต่างๆ เยอะมากมาย นักลงทุนที่มีสมาธิเป็นพื้นฐานจะได้เปรียบอย่างชัดเจน
สมาธิ (Concentration) ทรัพยากรทางจิตใจที่นักลงทุนต้องมี
ยกตัวอย่าง เมื่อผู้ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้มีแค่มูลค่าของที่ดินและอาคารเท่านั้น แต่คือ การเลือก การวิเคราะห์ การถือครองอย่างมีวินัย ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยสมาธิที่มั่นคง เหมือนกับตลาดหุ้น นักลงทุนไม่ได้ชนะเพราะซื้อถูกขายแพงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ชนะด้วยการอยู่ได้นานกว่า เลือกอยู่ในหุ้นที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการไหลไปตามความถาโถมโจมตีของข่าวสารหรือแรงกระตุ้นต่าง ๆ
สมาธิเป็นทุนทางจิตใจที่ช่วยให้เราสามารถอยู่กับสิ่งที่สำคัญนานกว่าคนอื่น วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง และตัดสินใจอย่างชาญฉลาด หากเราไม่มีสมาธิ มีโอกาสสูงที่จะพลาดจังหวะลงทุนที่ควรรอ หรือจะถูกแรงแทรกแซงจากเสียงรอบข้างจนโยกย้ายพอร์ตไวเกินไป
สื่อดิจิทัลและการหลุดโฟกัส คือภัยเงียบต่อนักลงทุน
ปัจจุบันสิ่งที่ทำให้สมาธิรั่วไหลได้ง่ายคือ โซเชียลมีเดีย มือถือ และ notification แจ้งเตือนนับครั้งไม่ถ้วน งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมการใช้สื่อหลายช่องทางพร้อมกัน (media multitasking) ส่งผลลบต่อความสามารถของสมองในการโฟกัสและคิดให้ลึก
จากงานวิจัยของ Anthony Wagner ของมหาวิทยาลัย Stanford สรุปว่าคนที่ใช้สื่อหลายอย่างพร้อมกันบ่อย ๆ ทำงานความจำด้อยลง อีกบทความสรุปงานวิจัยเรื่อง Media Multitasking and Cognitive, Psychological, Neural, and Learning Differences สรุปว่า เด็กและเยาวชนใช้สื่อเฉลี่ยถึงวันละ 7.5 ชั่วโมง โดยเกือบหนึ่งในสามของเวลานั้นเป็นการใช้หลายสื่อพร้อมกัน (Media Multitasking หรือ MMT) ซึ่งสัมพันธ์กับความแตกต่างด้านสมอง การรับรู้ และพฤติกรรมทางจิตใจ คนที่มีแนวโน้มใช้สื่อหลายอย่างพร้อมกันมักมีความจำระยะสั้นและระยะยาวแย่กว่า ควบคุมความสนใจและแรงกระตุ้นได้ยากกว่า รวมถึงมีความเสี่ยงต่อความกังวลและซึมเศร้ามากขึ้น งานวิจัยยังพบว่าการทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกันระหว่างเรียนหรือทำการบ้านทำให้ผลการเรียนลดลง แม้ยังไม่สามารถสรุปเหตุและผลได้แน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้พิจารณาลดการใช้สื่อพร้อมกันระหว่างทำงานหรือเรียนรู้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสมองและการเรียนรู้ในระยะยาว
จากงานวิจัยเหล่านี้พอจะบอกได้ว่า สำหรับนักลงทุนแล้ว ถ้าสมาธิของเราโดนถ่ายโอนให้มือถือให้โซเชียลมีเดียหรือโดนรบกวนจากแอปต่างๆ ไม่หยุด เราอาจสูญเสียความสามารถในการอ่านแนวโน้มหรือรอจังหวะอย่างมีสติได้
ยิ่งเสพ Social Media มาก ยิ่งยากจนจริงหรือไม่
พบข้อสังเกตเชิงข้อมูล จำนวนชั่วโมงการใช้โซเชียลมีเดีย กับระดับ GDP ต่อหัว จากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างคร่าวๆ จาก 22 ประเทศทั่วโลก โดยเปรียบเทียบ “เวลาใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ยต่อวัน” กับ “รายได้ต่อหัว (GDP per capita)” พบข้อสังเกตเชิงข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ นั่นคือแนวโน้มที่ชัดเจนว่า ประเทศที่ร่ำรวยกว่ามักใช้โซเชียลมีเดียน้อยกว่า โดยมีความสัมพันธ์ของข้อมูลที่อาจตีความหมายได้ว่า ยิ่งรายได้เฉลี่ยต่อคนสูง ประชากรยิ่งใช้เวลาน้อยลงบนแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรัมน ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ใช้เวลากับ Social Media เพียง 1–2 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ เคนยา และแอฟริกาใต้ ใช้เวลาบน Social Media เกิน 2 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน
แนวโน้มนี้อาจสะท้อนความแตกต่างด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละประเทศ ประเทศรายได้สูงมักมีแรงงานที่ทำงานในสายอาชีพที่ใช้สมาธิและการวิเคราะห์มากกว่า อีกทั้งให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพิ่มคุณค่าในชีวิต เช่น การอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย หรือพัฒนาทักษะ ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนามักมีสัดส่วนประชากรวัยรุ่นสูง และใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารและแสดงตัวตน จึงใช้เวลาบนสื่อออนไลน์มากกว่า ซึ่งภาพรวมอาจสะท้อนว่าความสามารถในการจัดการเวลาและสมาธิ อาจเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของสังคมที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจหรือไม่ ประเด็นนี้ควรตั้งข้อสังเกตและนำมาทำเป็นงานวิจัยที่สมบูรณ์ และสังคมไทยควรตั้งคำถามกับประเด็นนี้ด้วยว่าเราอยากเห็น GDP ไปในทิศทางใด



