บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่มีจุดแข็งมากๆในการพัฒนาโครงการให้โดนใจคนเจนใหม่ ด้วยแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรุกพัฒนาโครงการสไตล์ Campus Condo ในย่านมหาวิทยาลัย รอบกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับในต่างจังหวัด โดยอาศัยแต้มต่อที่สำคัญในเรื่องของการเป็นผู้นำในด้านไลฟ์สไตล์ ด้วยการสร้าง Business Synergy ของกลุ่มธุรกิจแบบใหม่ๆโดยเฉพาะในกลุ่ม Entertainment และ Commercial Retail ให้เข้ากับธุรกิจ Residential เช่นเดียวกับการสร้าง Marketing Advantage ผ่านการทำการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆด้วย Lifestyle Marketing โดยในช่วง 3 ปีให้หลัง ตั้งแต่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯเดินหน้าติดปีกเครื่องยนต์ใหม่ด้วยสารพัดโครงการแนวราบระดับพรีเมียม และโครงการมากมายในภูเก็ต จนหลายๆคนมองว่ายอดขายของ ASW ในภูเก็ตคือดัชนีชี้วัดสำคัญในเรื่องของความร้อนแรงของตลาด จาก 10 แบรนด์โครงการทั้งหมดภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้

โดยในปีนี้ บริษัทฯพร้อมพัฒนาโครงการต่อเนื่องมากถึง 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 20,500 ล้านบาท เช่นเดียวกับมุ่งถ่ายทอดแนวคิด “การสร้างความสุข ให้ทุกจังหวะของชีวิต” ที่ตั้งใจส่งมอบความสุขผ่านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพแบรนด์ต่างๆ ในเครือ ด้วยการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร และไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ คู่รักนักเปียโนและผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ที่มีคาแรคเตอร์สมาร์ท อบอุ่น ที่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กลุ่มคนทุกเจเนอเรชัน มาร่วมสะท้อนตัวตนของแบรนด์แอสเซทไวส์ โดยเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา AssetWise 20 years of Happiness ผ่านโซเชียลมีเดียครั้งแรกในวันที่ 5 ก.พ.นี้

“…นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในมุมมองของเราเป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดต่อธุรกิจอสังหาฯ เพราะจะผลักดันให้การลงทุนขยายตัวออกไปนอกเมืองมากยิ่งขึ้น และในมุมมองของดีเวลลอปเปอร์ก็ยังสามารถพัฒนาโครงการให้มีห้องขนาดใหญ่ขึ้นในราคาที่ถูกลงได้ เช่นเดียวกับเป็นการลดมลภาวะที่เกิดขึ้นจากการเดินทางได้ดี ซึ่งปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการใหม่ได้มากกว่าแผน โดยบริษัทสามารถทำยอดขายปี 2567 ได้ถึง 19,330 ล้านบาท สูงเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 3 โครงการ และเติบโตขึ้นกว่า 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับกวาดยอดโอนจากโครงการแนวราบพร้อมอยู่พร้อมโอนแบรนด์ใหม่มากมาย ดังนั้นในปีนี้ แอสเซทไวส์จึงเดินหน้าธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Growing Success, Growing Happiness” ควบคู่กับสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง” นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)

Growing Success หมายถึงการขยายโครงการไปยังทำเลที่บริษัทสามารถสร้าง Performance ที่ดี ในขณะที่ Growing Happiness หมายถึงการสร้างความสุข และรอยยิ้มให้กับสังคมรอบข้าง ดังนั้นในปี 2568 แอสเซทไวส์ จึงวางแผนเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 20,500 ล้านบาท ผ่านแบรนด์หลักอย่าง KAVE, ATMOZ และ MODIZ พร้อมสานต่อความสำเร็จของโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ตแบรนด์ THE TITLE ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ในเครือแอสเซทไวส์ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท เตรียมขยายแบรนด์ THE TITLE สู่โครงการ Luxury Villa เป็นครั้งแรกอีก 2 โครงการบนทำเลหาดในยางและเชิงทะเล

โดยมี Campus Condo แบรนด์หลักคือ Kave Playground ข้างๆรร.บดินทร์เดชา, Kave Ally แจ้งวัฒนะ ใกล้ม.เกริก, Kave Carnival รังสิต ใกล้ม.รังสิต โดยอีก 2 โครงการจะเป็น Atmoz Desol สถานีทิพวัล และ Modiz โครงการใหม่

ในขณะที่ภูเก็ต โครงการที่น่าติดตาม 5 โครงการคือ คอนโด 3 โครงการ The Katabello ที่หาดกะตะ มูลค่า 5,500 ลบ., Adora Rawai มูลค่า 1,400 ลบ., The Title Balcony Naiyang มูลค่า 3,800 ลบ. และเป็น Villa 2 โครงการ คือ The Title Villa Naiyang มูลค่า 500 ลบ. และ The Title Villa Cherngtalay มูลค่า 1,000 ลบ.

ด้านเป้าหมายยอดขายและรายได้ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 19,500 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 10,500 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2567 ขณะเดียวกัน แอสเซทไวส์ยังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2568 ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,050 ล้านบาท และปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) สิ้นปี 2567 มูลค่ารวมกว่า 25,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นโครงการในกรุงเทพฯ ปริมณฑล จำนวน 12,600 ล้านบาท โครงการในทำเล EEC จำนวน 2,700 ล้านบาท และโครงการในภูเก็ตอีกกว่า 9,900 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้สร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2570

นอกจากนี้บริษัทยังขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) โดยเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของคนทุกเจเนอเรชันผ่านบริษัทย่อยในเครือ อาทิ ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์, ธุรกิจ Health & Wellness และธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์และรีเทล