เปิดไฮไลท์เลย์เอาท์ห้องน่าซื้อ อยู่สบาย เฟอร์ฯครบ ปล่อยเช่าสะดวก ที่ CANVAS Cherngtalay ลักซ์ชูรีคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ล่าสุด สไตล์รีสอร์ท จากแสนสิริ
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม Vacation Home หรือ กลุ่มตลาดอสังหาเพื่อการพักผ่อนในเมืองท่องเที่ยวตากอากาศเป็นกลุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และกำลังร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วง High Season จากปัจจัยสนับสนุนอย่าง Mega Trend ด้านการใช้ชีวิตของคนทั่วโลก จนส่งผลมาถึง Consumer Trends ในแง่ต่างๆ ทั้งในเรื่องของสายการบินในประเทศที่เพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น, จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น, การหลีกเลี่ยงจากปัญหา Geo – Politics ในหลายประเทศ, ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบ Wellbeing, รูปแบบการทำงานทางไกลโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ, ความได้เปรียบของค่าครองชีพที่ต่ำกว่าในประเทศไทย รวมถึงการมีบ้านพักหลังที่ 2 สำหรับเกษียณ (Second Home for Retirement) ซึ่งล้วนแล้วส่งผลด้านบวกกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ตากอากาศ หลายๆแห่งในประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์บริเวณชายฝั่งทะเลทางภาคใต้ ในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำอย่าง ภูเก็ต
โดยข้อมูลจาก Knight Frank เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูเก็ตแสดงถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรก ของปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมถึง 4.3 ล้านคน ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดเพียง 7% เท่านั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งสูงขึ้นถึง 2.6 ล้านคน ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 42% เมื่อเทียบกับปีต่อปี และยังเกิดความต้องการในการอยู่อาศัยแบบ Long-stay หรือการอยู่ระยะยาวเป็นบ้านหลังที่ 2 กันมากขึ้นทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและคนต่างชาติ
สอดคล้องกับข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ REIC ที่เผยว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวม 13,218 หน่วย มูลค่า 108,419 ล้าน แบ่งเป็น โครงการบ้านจัดสรร 2,674 หน่วย มูลค่า 13,837 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 10,544 หน่วย มูลค่า 94,582 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นที่อยู่อาศัยขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 4,791 หน่วย เพิ่มขึ้น 190.5% มูลค่า 46,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 829.8% และแม้จะการเปิดขายเยอะ แต่ก็ขายได้เยอะมากเช่นกัน กับจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ถึง 5,253 หน่วย เพิ่มขึ้น 75.7% คิดเป็นมูลค่า 43,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.4% โดยข้อมูลที่สำคัญพบว่า พื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่สูงสุดอันดับแรกในครึ่งแรกของ ปี 2567 คือโซนหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 2,216 หน่วย มูลค่า 26,055 ล้านบาท