เจาะลึกละเอียดยิบ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” เมืองมหัศจรรย์ในผืนป่า พร้อมเผยข้อมูลของ “ดิ แอสเพน ทรี” โครงการเพื่อนแท้หนึ่งเดียวที่พร้อมให้บริการคุณไปตลอดชีวิต
ในอีก 20 ปีข้างหน้า หากกรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ หรือต้องเผชิญกับมหันตภัยครั้งใหม่ และมีความเป็นอยู่ที่แออัดมากขึ้นจนเป็นแหล่งสะสมมลพิษที่มากที่สุดของประเทศไทย แล้วเราจะอยู่กันยังไง? ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯยังจะคงพัฒนาโครงการในรูปแบบเดิมๆไหม? ผู้คนส่วนใหญ่จะยังเลือกซื้อคอนโดในเมืองกันอยู่หรือ? พร้อมพงษ์ – ทองหล่อจะยังคงเป็นย่านที่เจ๋งที่สุดของกรุงเทพอยู่หรือเปล่า? คำถามเหล่านี้ยังคงดังก้องและวนเวียนอยู่ในความคิดผมเสมอมานับตั้งแต่ที่สังคมโลกเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นห้วงเวลาของมหันตภัยโรคระบาดที่กัดกินทั่วทุกชีวิตบนโลกใบนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าเราเอาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อม และความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯเป็นตัวตั้ง ก็แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้มากๆเลยทีเดียวที่สิ่งที่ผมคิดนั้น จะมีโอกาสเกิดขึ้นมาจริงๆ และหากเป็นแบบนั้นแล้วนิยามความสุขของคนแต่ละคนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป…“สุขภาพ” และ “ความสุข” เป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนาและให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและชัดเจน จนทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และทำให้การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและปลอดภัยจากโรคร้ายต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องการคอนโดกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าเพื่อให้ได้เดินทางไปทำงานได้สะดวก แต่ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คอนโดกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าอาจไม่มีความสำคัญในโลกที่กิจกรรมส่วนใหญ่สามารถสร้าง กำหนดรูปแบบ และเชื่อมโยงถึงกันได้บนโลกดิจิทัล ในขณะที่สเปซที่กว้างขึ้น ความเป็นส่วนตัว การหลบลี้จากความวุ่นวายในตัวเมือง เพื่อกลับสู่วิถีธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหา ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนในยุคมิลเลนเนียลมากมายที่ประสบความร่ำรวยมากมายจากการลงทุนใน Alternative Investment และการทำธุรกิจส่วนตัว ส่งผลให้ในหลายๆประเทศเกิดภาวะ The Great Resignation ที่กระตุ้นให้เกิดภาวะว่างงานเป็นจำนวนมหาศาลจนส่งผลกระทบต่อวงจรเศรษฐกิจ และภาพรวมของศักยภาพทำเล CBD ที่บริษัทหลายๆแห่งเริ่มที่จะลดขนาดการใช้พื้นที่ลง และที่เราเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) อันส่งผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ และรูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทย ที่มีแนวโน้มเป็นโสด หรือไม่มีบุตรมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ,สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสภาพัฒน์ ได้ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด และเมื่อถึงปี 2574 ก็จะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด ในขณะที่สัดส่วนของประชากรที่อายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2563 เป็น 26% ในปี 2583 โดยประเทศไทยใช้เวลาเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์เพียง 17 ปี ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีเวลาเตรียมการมากถึง 50-100 ปี
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นดังกล่างล้วนเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงชุมชน ความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ และสิ่งแวดล้อมในแบบยั่งยืน ซึ่งก็ต้องบอกว่าในปัจจุบันนี้แม้ว่าเราจะเห็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯหลายรายเริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการแนว Wellness Residences และ Elderly Care Residences มากขึ้น อีกทั้งจุดเด่นในเชิงพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายในหลายโครงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าโครงการส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ในกรอบของการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทและนักลงทุน สร้างเพื่อเกาะกระแสเทรนด์เน้นความหวือหวาเป็นหลัก มากกว่าการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม ระบบนิเวศน์ และสิ่งแวดล้อมภายในโครงการ
ภาพ Infographic จาก ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab by MQDC) ที่ร่วมมือกับ ศูนย์วิจัย Arup Foresight and Innovation ประเทศออสเตรเลีย ที่แสดงถึงปัจจัยที่ส่งอิทธิพลต่อเทรนด์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก จนนำมาซึ่ง Megatrend ของการพัฒนาเมืองในแบบยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ 5 ฉากทัศน์อนาคต ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2050 ซึ่งมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและเมืองใกล้เคียง หรือเรียกว่า Greater Bangkok ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกไป 150 กม. เพื่อสร้างการฉุกคิด และตอบโจทย์ความจำเป็นของการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยได้นำเสนอความเป็นไปได้ของ 5 ฉากทัศน์อนาคต อาทิ เมืองแห่งเทคโนโลยี (Technotopia) พื้นที่สุขภาพนิยม (Urban Playgrounds) เมืองพร้อมรับทุกสภาวะ (Decentralised Resilience) ขุมพลังของคนหลายเจน (Accelerated Generations) และไลฟ์สไตล์ผสานกายใจ (Transforming Lifestyle)
เมืองแห่งความมหัศจรรย์ในผืนป่า “เดอะ ฟอเรสเทียส์ – THE FORESTIAS” โดย MQDC
ท่ามกลางการขยายตัวของประชากรในมหานครใหญ่ทั่วโลก มักจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ของการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในอดีตหลายๆ ครั้งที่เมืองในอุดมคติอาจหมายถึงเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร เครือข่ายคมนาคมขนส่ง ถนน และอาคารขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่ธรรมชาติและป่าไม้ แต่ในยุคปัจจุบันแนวคิดของเมืองในอุดมคติอย่างแท้จริง ที่ทยอยเกิดขึ้นมารอบโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น Smart & Sustainable City ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากคำถามที่ว่า “ความสุขที่ยั่งยืนของชีวิตเราคืออะไร?” โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีบนพื้นที่สีเขียวให้กับผู้อยู่อาศัย ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดมลพิษ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ สร้างความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ปลูกจิตสำนึกในเรื่องของการอนุรักษ์พลังงาน และตอบโจทย์ความสุขสมบูรณ์ของผู้อยู่อาศัยในแบบหลาย Generations เช่นเดียวกับโครงการ “เดอะ ฟอเรสเทียส์ – THE FORESTIAS” โดย MQDC โครงการเมืองต้นแบบแห่งแรกของโลก บนพื้นที่ 398 ไร่ ที่ตั้งอยู่บนถนนบางนา – ตราด กม.7 ซึ่งเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ Biodiversity โดยมีแนวทางการพัฒนาโครงการด้วยการนำความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และมนุษย์ มาอยู่ร่วมกันภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพและเอื้อประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงการทำลายสิ่งแวดล้อมและพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ระบบนิเวศของโลก
ในฐานะโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยด้วยมูลค่าโครงการมหาศาลถึง 125,000 ล้านบาท เดอะ ฟอเรสเทียส์ (The Forestias) ตั้งเป้าสู่การเป็นต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมือง และจะกลายเป็นโครงการเมืองแห่งแรกในโลกที่ทุกมิติถูกออกแบบโดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์หลักอย่างเดียวคือส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสุขภาพดียิ่งขึ้น ด้วยการผนึกกำลังความรู้ความสามารถในการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างร่วมกับผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ที่เป็นสถาบันชั้นนำระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของโครงการซึ่งครอบคลุมไปถึงการจัดวางพื้นที่ที่อยู่อาศัย การจัดวางพื้นที่สาธารณะ การผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต การบริหารจัดการแสงธรรมชาติ เสียง ความร้อน การหมุนเวียนของอากาศ คุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ำ จะส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง โดยภายในโครงการจะประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ อาทิ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘วิสซ์ดอม’ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ซิกส์เซนส์’ และโรงแรมแบรนด์ ‘ซิกส์เซนส์’ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด พื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงพื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ และตลาด
ถอดรหัสแบรนด์ THE FORESTIAS มีความหมายใดซ่อนอยู่ภายใต้อัตลักษณ์แห่งความหลากหลาย
คำว่า THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ มาจากคำว่า “Forest” ที่แปลว่า “ผืนป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์” ผมผนวกกับคำว่า “Fantasia” ที่แปลว่า “ความมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ”
โดยได้สะท้อนอัตลักษณ์ของโครงการผ่านโลโก้ “ต้นไม้ใหญ่” ที่มีองค์ประกอบอย่างกิ่ง ก้าน และใบไม้ที่แตกต่างกัน สื่อให้เห็นถึงความเป็นแฟนตาซีที่กระตุ้นจินตนาการให้ทั้งผู้ที่อยู่ในโครงการหรือผู้ที่เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ ได้รับความสุขที่แท้จริงที่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งสัญลักษณ์ต่างๆ ได้บ่งบอกตัวตนของโครงการและยังสื่อให้เห็นถึงจินตนาการและความสุขที่ผู้อาศัย โดยสะท้อนผ่านการหลอมรวมสัญลักษณ์ ได้แก่
“ธรรมชาติ” ที่เป็นแนวคิดหลักของโครงการในการอยู่รวมกันกับธรรมชาติอย่างมีความสุข เพราะหลักการของการสร้างสรรค์ธรรมชาติภายในโครงการนั้นให้ความสำคัญกับการอยู่รวมกันระหว่างคน สัตว์ และป่า โลโก้นี้อยู่ในรูปของต้นไม้ใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยรูปของใบไม้และสัตว์ต่างๆ ที่บ่งบอกถึงระบบนิเวศของธรรมชาติที่ผสมผสานกันอยู่ภายใต้โครงการ “THE FORESTIAS”
“มือ” แสดงถึงความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่าง มีความสุข ในพื้นที่ของธรรมชาติที่แท้จริง รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนในโครงการ เช่น เพื่อนบ้าน และส่วนๆ ต่างที่ให้คนนอกเข้าร่วมมาทำกิจกรรมได้ เช่น กิจกรรมในป่า หรือโซนพื้นที่รีเทล
“ฝาครอบอาหาร” บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ และร้านอาหารที่จะมีอยู่ภายใต้โครงการ THE FORESTIAS เพราะเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์
“เครื่องหมายพยาบาล” ที่บ่งบอกถึง สถานพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโครงการจัดขึ้น และมีบริการพิเศษ เพื่อวิถีชีวิตของผู้สูงอายุ เพื่อให้กลุ่มผู้สูงอายุและสมาชิกวัยอื่นๆ ของครอบครัวใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้โครงการนี้อย่างมีความสุข ไร้กังวลหากผู้สูงอายุในครอบครัวต้องการความช่วยเหลือทางด้านแพทย์ พยาบาล ทางโครงการก็มีสถานพยาบาลเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านของโครงการ THE FORESTIAS
และ “หัวใจ” ซึ่งอยู่บริเวณแกนกลางของต้นไม้ โดยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ประกอบกันอยู่ในต้นไม้ THE FORESTIAS นี้นั้น เป็นตัวแทนของการอาศัยอยู่รวมกันของธรรมชาติ สัตว์ และครอบครัว ที่ทั้งหมดสามารถอาศัยอยู่ภายใต้โครงการ THE FORESTIAS ได้อย่างลงตัว
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
เพราะความสุขมีจุดเริ่มต้นจากสุขภาพที่ดี และสุขภาพที่ดีเริ่มมาจากวิถีธรรมชาติ
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
หนึ่งในองค์ประกอบที่มีความพิเศษโดดเด่นอย่างมากของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คือ ป่าขนาดใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของโครงการ สร้างความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศน์ ซึ่งจะพัฒนาเติบโตและมีวิวัฒนาการความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติต่อไปอีกเรื่อยๆ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่ผืนป่าขนาดใหญ่เช่นนี้ ถูกนำมาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมือง เพื่อมอบความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่รวมพืชพันธุ์กว่า 38 สายพันธุ์ และสัตว์กว่า 123 สายพันธุ์ บนพื้นที่เดิมให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนได้อย่างสมดุล รวมทั้งพื้นที่ป่าธรรมชาติ 4 ระดับ ได้แก่ ป่าทึบ (Deep Forest) ป่าเพื่อผู้อยู่อาศัย (Resident Forest) ป่าแอดเวนเจอร์และศูนย์รวมกิจกรรม (Event Lawn) และพาวิลเลี่ยนสไตล์ธรรมชาติ (Forest Pavilion) ซึ่งผืนป่านี้จะเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการทั้งหมด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนและบุคคลภายนอกสามารถเข้ามาพักผ่อนและแอบอิงธรรมชาติขนาดใหญ่ภายในพื้นที่โครงการ
โดยทางโครงการต้องการที่จะปลูกป่าที่เป็นต้นไม้ใหม่ที่ถูกปลูกขึ้นภายในโครงการ เป็นต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ด จนมีความสูง 40 – 60 ซม. ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การตัดต้นไม้มาจากที่อื่นแล้วขนย้ายเข้ามาใส่ไว้ในโครงการ เนื่องจากต้นไม้ที่ถูกขนมาจากที่อื่นแล้วนำเข้ามาปลูกนั้นจะถูกตัดรากแก้วทำให้การเติบโตนั้นช้าลง และต้องมีความสูงไม่เกิน 15 เมตร เพื่อความสะดวกในการขนส่ง ซึ่งการปลูกจากต้นกล้านั้นจะต้องมีทฤษฎีการปลูกที่เลียนแบบธรรมชาติ จึงจะเติบโตได้เร็วขึ้น ทางโครงการจึงได้นำเอาทฤษฎีการปลูกป่ามาจากนักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาพืชที่เชี่ยวชาญด้านเมล็ดพันธุ์และป่าธรรมชาติ ชื่อว่า Akira Miyawaki ที่ได้บอกไว้ว่า หลักการสำคัญในการปลูกป่านั้นคือต้องเป็นพืชท้องถิ่น และบางนาในสมัยก่อนนั้นเป็นทะเล จึงทำให้บริเวณใต้ดินมีความเค็ม ฉะนั้นต้นไม้ที่จะนำมาปลูกได้คือต้นไม้ที่ทนต่อความเค็ม และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ต้นไม้หลากหลายชนิดที่ถูกปลูกในโครงการนั้น จะช่วยดึงดูดให้นกและสัตว์อีกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ผีเสื้อ กระรอก แมลงปอ กลับคืนมาสู่ป่าธรรมชาติอย่าง The Forestias ได้
บริเวณด้านหลังของช้าง จะเป็นส่วนของป่าทึบ Deep Forest ที่มีกำแพงกั้นไว้เพื่อคงไว้ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติ
นอกจากนั้น เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่างๆ และองค์ประกอบหลายๆ ส่วนในโครงการ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบรณ์ส่งเสริมการออกกำลังกาย และการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
Canopy Walk หรือทางเดินเท้ายกระดับความยาว 1.6 กิโลเมตรที่มีความสูงอยู่ในระดับยอดของต้นไม้ เพื่อใช้ศึกษาธรรมชาติ เป็นทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างโครงการ แบ่งเป็น 2 เส้นทางได้แก่ เส้นทางแรกเชื่อมต่อจากส่วน Community & Family Center และ Town Center ไปยังอาคาร Forest Pavilion และเส้นทางที่สองคือเส้นทาง Private เป็นเส้นทางเดินส่วนตัวเฉพาะลูกบ้าน เพื่อเดินเชื่อมถึงกันระหว่างอาคาร Forest Pavilion โครงการวิสซ์ดอม โครงการมัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า และโครงการดิ แอสเพน ทรี คอนโดมิเนียม และโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งสามารถเดินได้ตลอดเวลาและมีความปลอดภัยสูง โดยภาพรวมดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 90%
นอกจากนี้ยังมีทางเดินเท้าในผืนป่าที่รองรับรถพยาบาลรวมถึงการใช้งานรถเข็นได้อย่างสะดวก ทางเดินหลักยกเหนือพื้นดินขึ้นมา 30 เซนติเมตร เพื่อเป็นทางเดินให้กับสัตว์ตัวเล็ก ๆ เช่น มด หอยทากโดยเฉพาะ ส่วนทางเดินรองปูด้วยวัสดุ Decompose Granit และ Hard Wood Mulch เพื่อให้เป็นทางเดินที่สัมผัสได้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงเพราะมีการ recycle ด้วยการใช้กิ่งไม้ใบไม้ที่ร่วงแล้วนำมาปูเป็นทางเดิน นอกจากนี้ระหว่างทางยังสามารถแวะพักชมน้ำตกที่เด็ก ๆ สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยพร้อมกับศึกษาระบบนิเวศได้อีกด้วย
ภาพและข้อมูลจาก https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project
เพราะความสุขคือการได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารัก
มีงานวิจัยระบุอย่างชัดเจนว่าหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ซึ่งช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้นก็คือ ความใกล้ชิดกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวและคนที่เรารัก ความสุขที่แท้จริงอย่างหนึ่งของชีวิต คือการได้อยู่ใกล้ชิด ดูแล และส่งต่อความรักจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นทุกพื้นที่ในโครงการจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้คนในครอบครัวจากหลากหลายเจเนอเรชั่นได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ด้วยการวางผังองค์ประกอบของพื้นที่ที่อยู่อาศัยโดยรอบโครงการอย่างพิถีพิถัน ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นวัยเริ่มต้นทำงาน คู่สมรสใหม่ วัยสร้างครอบครัว หรือพ่อแม่สูงวัย ทำให้ทุกคนได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก หลาน และพ่อแม่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างมีอิสระและมีพื้นที่ส่วนตัว โดยสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างกลมกลืนและปลอดภัย และ ยังมีพื้นที่เฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยง และผู้สูงวัยที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทางสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน ทั้งคลับเฮาส์ พร้อมผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และพื้นที่ Town Center สำหรับจัดกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ไม่เคยมีในโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งไหนในประเทศไทยมาก่อน
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
มีการจัดแสดงแสง สี นิทรรศการ ยามค่ำคืน ตามช่วงเทศกาลต่างๆ เหมือน Theme Park ในต่างประเทศอยู่เป็นระยะๆ
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีการวางระบบการบริหารจัดการพลังงาน และการจัดวางพื้นที่สาธารณะ ที่มีการผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริงอีกมากมาย อาทิ
ระบบพลังงานที่ล้ำสมัยลดอุณหภูมิทั้งโครงการลงได้ถึง 3 องศา
THE FORESTIAS by MQDC เป็นโครงการแห่งแรกในประเทศไทย ที่นำระบบ District Cooling System และ Central Utilities Plant มาใช้ในโครงการที่พักอาศัย โดยจะผลิตพลังงานความเย็นและส่งไปยังที่พักอาศัย ทำให้ประหยัดพลังงาน ลดความร้อน และลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ถึง 30,000 ตันต่อปี เท่ากับปลูกต้นไม้ 750,000 ต้น หรือปลูกป่าถึง 30,000 ไร่ เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังทำให้ผู้พักอาศัยสามารถใช้พื้นที่บริเวณระเบียงห้อง ทำกิจกรรมและดูวิวสวนป่าได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่อง In Room Maintenance
ทั้งนี้คอนเซปท์ของโรงผลิตพลังงานสำหรับสาธารณูปโภคส่วนกลาง (Central Utility Plant: CUP) เป็นที่มาของตัวอย่างหนึ่งที่ว่า แม้เกิดไฟฟ้าดับในกรุงเทพฯ แต่ที่พักอาศัยต่างๆ ภายในโครงการ เดอะฟอเรสเทียส์ จะยังได้รับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ – โดย CUP เป็นแนวคิดหนึ่งในการสร้างเมืองอัจฉริยะ และเป็นวีธีการหนึ่งของการลดการใช้พลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่โครงการเมือง โดยจะทำหน้าที่ศูนย์กลางของโครงข่ายระบบน้ำเย็นที่จะกระจายไปสร้างความเย็นทั่วทั้งโครงการ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและทำให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบ DCS จะผลิตพลังงานความเย็นจาก CUP และปล่อยพลังงานความร้อนไว้ที่ CUP เพียงจุดเดียว ทำให้ภายในโครงการไม่มีคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ปล่อยความร้อนสู่บรรยากาศ อาคาร และผืนป่า พร้อมทั้งส่งพลังงานความเย็นผ่านท่อน้ำเย็นที่ติดตั้งอยู่ใต้ถนนรอบโครงการภายใน Underground Utility Tunnel เพื่อส่งพลังงานความเย็นให้กับระบบปรับอากาศของอาคาร ทำให้ลดการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ โดยระบบนี้จะทำงานควบคู่กับระบบการระบายอากาศทางปล่องสูง (Up-flow Stack Ventilation) ที่อยู่ภายในอาคารต่างๆ ทำให้อากาศภายในโครงการเย็นลง
เมื่ออากาศภายในโครงการเย็นลงจึงลดความจำเป็นในการเปิดเครื่องปรับอากาศ เพิ่มความสบายเมื่อเดินเข้าออกอาคาร และให้บรรยากาศที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมทั้งการสะสมความเย็นในเวลากลางคืน เพื่อสร้างปรากฏการณ์ Cool Basin ซึ่งเป็นความเย็นจากธรรมชาติที่สัมผัสได้รอบตัว ส่งผลให้อุณหภูมิลดลง มากกว่า 3 องศาเซลเซียส
ระบบ DCS สามารถประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศ และลดขนาดการติดตั้งเครื่องปรับอากาศลงกว่าปกติมากกว่าครึ่ง จึงทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดปริมาณการใช้สารทำความเย็น ส่งผลให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ออกสู่บรรยากาศถึง 30,000 ตันต่อปี เทียบได้กับปลูกต้นไม้ 750,000 ต้น หรือ ปลูกป่าถึง 30,000 ไร่เลยทีเดียว
ปัจจุบันดำเนินการติดตั้งท่อส่งน้ำเย็นแล้วเสร็จ 100% โดยท่อนี้จะทำการส่งน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 5.5 องศาเซลเซียส เพื่อแจกจ่ายให้กับทุกยูนิตในโครงการทั้งส่วนที่พักอาศัย โรงแรม และศูนย์การค้า อีกทั้งทางโครงการยังติดตั้งท่อดับเพลิงภายในอุโมงค์แล้วเสร็จ 100% ซึ่งเป็นท่อดับเพลิงที่ได้มาตรฐาน NFPA สามารถกระจายน้ำผ่านหัวจ่ายน้ำได้รอบโครงการและครอบคลุมไปถึงพื้นที่ในป่า และเป็นโครงการเดียวในประเทศไทยที่ใช้ระบบนี้ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบระบายอากาศ และระบบรักษาความปลอดภัย (กล้อง CCTV) แล้วเสร็จ 100% รวมถึงอยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งระบบป้องกันน้ำท่วมภายในอุโมงค์ ระบบป้องกันการเกิดไฟไหม้ และระบบอินเตอร์เน็ต (wifi) อีกด้วย
ภาพและข้อมูลจาก https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project
ทางสาธารณะเพื่อผู้คนทุกวัย
ทางเดินเท้า กว้าง 2 เมตร และ 3 เมตร ที่ออกแบบจัดวางผังอย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงความสะดวกสบายและความปลอดภัยขั้นสูงสุดของผู้ใช้ทางเดินเท้าทุกวัย และทุกความต้องการ โดยทางเดินเท้าถูกออกแบบให้มีความกว้างที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน โดยได้จัดสรรเส้นทางและการใช้งานให้มีความลงตัวและหลีกเลี่ยงการรบกวนซึ่งกันและกัน โดยตลอดเส้นทางจะปกคลุมไปด้วยร่มเงาของพืชพรรณตามธรรมชาติ นอกจากนั้นในช่วงที่เป็นทางม้าลาย ถนนจะถูกยกระดับขึ้นมาให้เป็นระนาบเดียวกันกับทางเท้า เพื่อให้การเดินข้ามเป็นไปอย่างสะดวกสบายสำหรับคนทุกวัย รวมถึงผู้ที่ต้องใช้รถเข็นเด็กและวีลแชร์ ในขณะเดียวกัน จะเป็นการช่วยให้รถจำเป็นต้องชะลอความเร็วไปในตัว เพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ใช้รถและผู้เดินเท้า ในขณะที่ถนนภายในโครงการจะมีความกว้าง 8 เมตร และจะมีบริการ Shuttle Bus รับส่งผู้โดยสารภายในโครงการตามจุดต่างๆทั่วโครงการเพื่อช่วยลดปริมาณมลพิษที่เกิดจากการใช้รถยนต์ส่วนตัว เช่นเดียวกับการจัดให้มี EV Charging Station เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
โดยระบบบริหารจัดการแสงสว่างภายในโครงการ จะช่วยให้ทุกส่วนของโครงการมีแสงสว่างเพียงพอต่อความสะดวกสบาย ความปลอดภัย แต่ก็ยังคงมีความสบายตา และลดแสงไฟส่วนเกินที่ไม่จำเป็นให้มีปริมาณน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนแสงธรรมชาติหรือเบียดเบียนระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ อีกทั้งจะไม่ส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพอันงดงามของท้องฟ้าในยามค่ำคืน
*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น
นอกจากนี้โครงการยังมีระบบการป้องกันน้ำท่วม ที่ประกอบด้วยพื้นที่กักเก็บน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้มากกว่า 10 ล้านลิตร และสามารถป้องกันไม่ให้โครงการเกิดน้ำท่วมแม้ต้องเผชิญกับพายุฝนครั้งใหญ่ก็ตาม โดย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้ทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่กับการสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำเหล่านี้ แทนที่จะปล่อยให้น้ำฝนไหลออกจากโครงการและระบายออกไปในพื้นที่อื่น สร้างประโยชน์ให้ทั้งกับโครงการเอง และช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนบ้านที่อยู่ในชุมชนโดยรอบ
ภาพและข้อมูลจาก https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project
มีอะไรใน ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’ (Forest Pavilion) อาคารศูนย์การเรียนรู้เพื่อความสุขอันยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำหรับโครงการอสังหาฯทั่วไป การเนรมิตร เซลล์ แกลลอรี ที่มีห้องตัวอย่างสัก 3 ห้อง อาจจะใช้งบประมาณสูงสุดที่ราวๆไม่เกิน 100 ล้านบาท เทียบเคียงกับโครงการใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่มีการจัดแสดงห้องตัวอย่างทั้งหมด 11 ห้องจาก 3 โครงการที่อยู่อาศัย ภายใน ฟอเรสต์ พาวิลเลียน ก็อาจจะใช้งบประมาณสัก 300 ล้านบาท แต่สำหรับอาคาร ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’ ทางผู้พัฒนาโครงการทุ่มเงินลงทุนมากถึง 1,400 ล้านบาท โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่สนใจทุกคนได้สัมผัส และซึมซับถึงประสบการณ์ในการอยู่อาศัยบนเมืองแห่งความสุขที่แท้จริงแห่งแรกของไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่านทุกมิติสัมผัสทั้ง 5 ในแบบที่ไม่ได้มีการ Hard Sale ขายของเลย แต่เป็นการจัดแสดงวิสัยทัศน์ และแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการผ่าน Immersive Experience ล้ำสมัย ที่ออกแบบโดยเหล่าพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ experience ระดับโลก อาทิ Foster + Partners Thailand ผู้ออกแบบอาคาร ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’, ITEC Entertainment จากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ออกแบบ Entertainment Experience ให้กับ ดิสนีย์แลนด์ ดิสนีย์ซี และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ประสบการณ์และสันทนาการที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ, VAVE Studio จากประเทศเยอรมัน เป็นผู้ออกแบบ Exhibition Experience and Story Creator แต่ละห้องภายใน ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’, และ BUG Studio บริษัทชื่อดังของไทย เป็นผู้ออกแบบ multi-disciplinary design นำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่อย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน รวมไปถึงห้องจัดแสดงอนิเมชั่นที่มีชื่อว่า Chamber of Secret ที่สร้างสรรค์โดยบริษัท DEC Media และ บริษัท T&B Media Global (Thailand) ที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์ของโครงการผ่านภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น บนจอ The Wall ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นการเปิดการแสดงเป็นรอบๆคล้ายๆกับเวลาเราไปดูโชว์ที่สวนสนุกในต่างประเทศครับ
ห้องจำลองระบบนิเวศน์และธรรมชาติในฟอเรสเทียส์ มีฐานให้เล่นด้วยกัน 5 ฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสวมบทบาทเป็นแมลงแล้วท่องไปในป่าของโครงการ การฟังเสียงสัตว์ป่า ด้วยอุปกรณ์อย่าง Microsoft Kinect Sensor ดมกลิ่นของดอกไม้ชนิดต่างๆที่มีอยู่ในโครงการ หรือการจำลองหมอกในโครงการ ที่จะให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ป่า และร่วมสนุกไปพร้อมกับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย
ห้องจำลองต้นไม้และดอกไม้ ที่มีเทคนิค แสงสี ลูกเล่นให้สามารถขยับไปตามเพลงได้ อีกทั้งยังมีการจำลองน้ำตกที่ด้านล่างเหมือนจริง รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ (จริงๆห้องนี้เค้าห้ามถ่ายรูปนะครับ แต่ตากล้องผมแอบถ่ายมาแบบมึนๆ)
ห้องที่ฉาย Project Presentation รายละเอียดของโครงการต่างๆ ที่อยู่ในฟอเรสเทียส์ ไม่ว่าจะเป็น วิสซ์ดอม, มัลเบอร์รี โกรฟ, มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า, ดิ แอสเพน ทรี และซิกส์เซนส์
สุดท้ายเป็นห้องที่รวมรายชื่อของผู้ร่วมพัฒนาในด้านต่างๆ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากหลากหลายบริษัทชั้นนำระดับโลก ที่ทำให้เกิดเมกะโปรเจกต์อย่าง ฟอเรสเทียส์ นี้ขึ้นมา
Mr. Kittiphun Ouiyamaphun
Project Director The Forestias by MQDC
Dr. William E. Reichman
President and CEO Baycrest Global Solutions
Mr. Kecha Thirakoman
Managing Director EEC Engineering Network Company Limited
Mr. Bill Coan
President and CEO ITECT Entertainment
Mr. Toby Blunt
Senior Partner – Deputy Head of Studio Foster + Partners
Dr. Singh Intarachooto
Chief Advisor Research & Innovation for Sustainability Center RISC by MQDC
Dr. Naree Phinyawatana
Director of the Bangkok Office and Leads Southeast Asia Business Development Atelier Ten
Mr. Surin Warachun
Ecologist THE FORESTIAS by MQDC
หลังจากใช้เวลาในการซึมซับประสบการณ์ไปได้สักประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้เข้าไปชมดีเทลของห้องตัวอย่างกัน โดยห้องตัวอย่าง 11 ห้อง จาก 3 โครงการที่พักอาศัยใน ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘วิสซ์ดอม’ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ’ และที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ดิ แอสเพน ทรี’
ซึ่งโครงการที่ผมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษสำหรับการมาเยี่ยมชมครั้งนี้คือโครงการ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ (The Aspen Tree) โครงการสำหรับผู้ที่วางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่เพียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการครบครัน ที่ให้การบริการไปตลอดชีวิต การได้อยู่ท่ามกลางระบบนิเวศน์อันสมบูรณ์และทันสมัยแบบนี้จึงนับว่าเป็นสังคมแห่งการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพสำหรับผู้สูงวัยที่แรกของประเทศไทย และครบวงจรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ
โดยปกติแล้วโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัยในประเทศไทย หากทางผู้พัฒนาไม่ได้มีประสบการณ์โดยตรงในธุรกิจ Healthcare, Medical หรือ Wellness Hospitality มาก่อน ก็มักเลือกที่จะพัฒนารูปแบบโครงการให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายในประเภท Active Aging ซึ่งแม้จะเป็นผู้สูงวัยแต่ก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้ และมองหาวิถีชีวิตที่ช่วยสร้างเสริมทั้งกำลังกาย กำลังใจ และสุขภาพให้ไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาได้ หากแต่ว่าผู้พัฒนารายใดที่มีประสบการณ์โดยตรงหรือมีพันธมิตรที่พร้อมมาพัฒนาโครงการร่วมกัน ก็มักจะต่อยอดการพัฒนาโครงการไปสู่โครงการที่สามารถให้การดูแลได้ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องได้รับการดูแลตลอด 24 ชม.จากทีมแพทย์ในรูปแบบ Nursing Home เช่นเดียวกับกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้มีอาการป่วยไข้แต่ต้องการคนมาดูแลเอาใจใส่ในกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากอยู่ตัวคนเดียว หรือรอบกายไม่ได้มีลูกหลานมาคอยดูแล
ซึ่งในปัจจุบัน ธุรกิจ Wellness & HealthCare ได้เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีหลายดีเวลลอปเปอร์ให้ความสำคัญในการทุ่มทุนพัฒนา เพื่อร่วมชิงชัยในกลุ่มตลาดผู้สูงวัย โดยมุ่งเน้นเป็นการสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีบริการแบบครบวงจร ทั้งในด้านของการอำนวยความสะดวกภายในโครงการ การทำกิจกรรม รวมไปถึงเรื่องของการดูแลรักษา ซึ่งเป็นแรงจูงใจหลักให้ผู้สูงวัยมีความสนใจในการซื้อบ้านใหม่ โดยตัวเลือกในปัจจุบันก็มีมากมายที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคนแตกต่างกันไป ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาโครงการขึ้นมาใหม่ การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญมา Plug in กับโครงการที่มีอยู่แล้ว หรือการแบ่งเฟสการพัฒนาโครงการบนพื้นที่เดียวกันแต่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าต่างวัยกัน อาทิ
นายา เรสซิเดนซ์ (NAYA Residence) พัฒนาโดยบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด เป็นบ้านในนิยามใหม่เพื่อวัยอิสระ แห่งแรกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ออกแบบเพื่อให้ทุกท่านใช้ชีวิตในแบบ Active Ageing ได้ยาวนานที่สุด ยกระดับคุณภาพชีวิตสัมผัสวิถีแห่งความอยู่ดีมีสุข ก้าวสู่วัยอิสระอย่างมีคุณภาพ ห้องพักดีไซน์ใหม่ สะดวก ปลอดภัย อุ่นใจ 24 ชั่วโมง ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ด้วยแนวคิด Universal Design รวมถึงการเลือกสรรวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานผสานเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย DoCare by SCG เพื่อสร้างมิติใหม่ของที่อยู่อาศัยเพื่อวัยอิสระ มีห้องให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 62 – 76 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 105 – 120 ตารางเมตร จะเป็นรูปแบบการให้เช่าในระยะยาว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะเช่าเต็มที่ 30 ปีหรือน้อยกว่า
จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) จาก ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ผู้มีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาลกว่า 40 ปี ให้บริการดูแลผู้สูงวัยที่ยังมีพลัง และต้องการพัฒนาศักยภาพ ด้วยกิจกรรมที่ออกแบบมาเฉพาะแต่ละบุคคล เพื่อฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม ช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ สมอง และความจำ ป้องกันภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ รวมถึงฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรง มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อการใช้ชีวิตในอีก 30 ปี มีห้องให้เลือก 2 แบบ คือ 1 Bedroom ขนาด 43 – 46 ตารางเมตร และ 1 Bedroom Plus ขนาด 63 – 66 ตารางเมตร ราคาค่าเช่าเริ่มต้น 40,000 บาท/เดือน
ศุภาลัยฯ เปิดโครงการ ศุภวัฒนาลัย (Supalai Wellness Valley) นับเป็นโครงการแรกของบริษัทเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต แนวคิดออกแบบและพัฒนาโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของคนทุกเพศทุกวัย (universal design) โดยรูปแบบขายสิทธิการเช่า เงื่อนไขผู้พักอาศัยต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีสิทธิพักอาศัยภายในโครงการตลอดชีพ โดยทำสัญญาเช่าซื้อระยะยาว โปรโมชั่นพิเศษพักอาศัย 1 คน ราคา 1.3 ล้านบาท และสำหรับ 2 คน ราคา 1.5 ล้านบาท
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผนึกกำลัง สมิติเวช ให้ Health Tech ในที่อยู่อาศัย เชื่อมโยงบริการ “Samitivej Virtual Hospital” เข้ากับแอป “Origin Connect” ให้ลูกบ้านเข้าถึงบริการปรึกษาแพทย์ 24 ชั่วโมง บริการเจาะเลือด และบริการขนส่งยาถึงบ้าน ได้ง่ายๆ ผ่านแอป พร้อมแจกโค้ดลูกบ้านปรึกษาแพทย์ไม่มีค่าใช้จ่าย 15 นาที สำหรับบริการ Samitivej Virtual Hospital ที่จะมาให้บริการผ่านแอป Origin Connect ประกอบด้วยบริการ 4 ส่วน ได้แก่ 1.บริการปรึกษาแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Teleconsultation) โดยแพทย์จะให้คำปรึกษาผ่านช่องทางวิดีโอคอล 2.บริการตรวจเลือดถึงโครงการ (Test@Home) กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าต้องทำการตรวจเลือด 3.บริการฉีดวัคซีนถึงโครงการ (Vaccine @Home) กรณีได้รับการวินิจฉัยว่า ต้องทำการฉีดวัคซีน 4.บริการขนส่งยาถึงโครงการ (Medicine Delivery) จัดส่งยาให้ถึงโครงการหลังจากได้รับคำวินิจฉัยของแพทย์
NC ลงทุนศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจร ภายใต้ชื่อ ศิริอรุณ เวลเนส นับเป็นสาขาที่ 3 ศิริอรุณ เวลเนส มีพื้นที่ใช้งาน 2,000 ตารางเมตร สูง 6 ชั้น สามารถเปิดบริการห้องได้ถึง 27 ห้อง 39 เตียง เมื่อรวมทั้ง 3 ศูนย์ที่เปิดบริการแล้วมีจำนวน 122 เตียง อยู่ภายใต้บริษัท เอ็น.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ NC ซึ่งผู้ใช้บริการ มีการรองรับให้บริการ 4 กลุ่ม ด้วยกัน คือ 1.ผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น 2.ผู้ที่รอพบแพทย์ตามนัด 3.ผู้ที่สุขภาพดีแต่อยู่ในช่วงของการตรวจพิเศษหรือรักษาเฉพาะทาง และ 4.บริการดูแล ผู้สูงอายุที่ต้องการใช้บริการอย่างใกล้ชิด
ซึ่งโครงการ ดิ แอสเพน ทรี นั้นเป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนสูงวัยทุกประเภทที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น Active Aging, Day Care, Nursing Home ไปจนถึง 24 Hours intensive care ก็พร้อมรับได้หมด และด้วยรูปแบบการขายที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวแต่สามารถคืนห้องก่อนกำหนดได้ ไม่ต้องเสียค่าส่วนกลาง มีบริการ อาหารการกิน กิจกรรม ที่รวมไว้ในค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว มีแผนประกันสุขภาพ และผู้ติดตามก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม จึงทำให้โครงการนี้เป็นที่สนใจ และน่าจับตามองมากทีเดียวสำหรับ กลุ่มผู้สูงวัยชาวต่างประเทศที่ต้องการจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายในวัยเกษียณที่ประเทศไทย