เจาะลึกละเอียดยิบ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” เมืองมหัศจรรย์ในผืนป่า พร้อมเผยข้อมูลของ “ดิ แอสเพน ทรี” โครงการเพื่อนแท้หนึ่งเดียวที่พร้อมให้บริการคุณไปตลอดชีวิต

เกริก บุณยโยธิน 08 November, 2021 at 19.59 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


ในอีก 20 ปีข้างหน้า หากกรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ หรือต้องเผชิญกับมหันตภัยครั้งใหม่ และมีความเป็นอยู่ที่แออัดมากขึ้นจนเป็นแหล่งสะสมมลพิษที่มากที่สุดของประเทศไทย แล้วเราจะอยู่กันยังไง? ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯยังจะคงพัฒนาโครงการในรูปแบบเดิมๆไหม? ผู้คนส่วนใหญ่จะยังเลือกซื้อคอนโดในเมืองกันอยู่หรือ? พร้อมพงษ์ – ทองหล่อจะยังคงเป็นย่านที่เจ๋งที่สุดของกรุงเทพอยู่หรือเปล่า? คำถามเหล่านี้ยังคงดังก้องและวนเวียนอยู่ในความคิดผมเสมอมานับตั้งแต่ที่สังคมโลกเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งเป็นห้วงเวลาของมหันตภัยโรคระบาดที่กัดกินทั่วทุกชีวิตบนโลกใบนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าเราเอาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อม และความเป็นอยู่ของผู้คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯเป็นตัวตั้ง ก็แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้มากๆเลยทีเดียวที่สิ่งที่ผมคิดนั้น จะมีโอกาสเกิดขึ้นมาจริงๆ และหากเป็นแบบนั้นแล้วนิยามความสุขของคนแต่ละคนก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป…“สุขภาพ” และ “ความสุข” เป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนาและให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและชัดเจน จนทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และทำให้การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและปลอดภัยจากโรคร้ายต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ

 

ก่อนหน้านี้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องการคอนโดกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าเพื่อให้ได้เดินทางไปทำงานได้สะดวก แต่ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คอนโดกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าอาจไม่มีความสำคัญในโลกที่กิจกรรมส่วนใหญ่สามารถสร้าง กำหนดรูปแบบ และเชื่อมโยงถึงกันได้บนโลกดิจิทัล ในขณะที่สเปซที่กว้างขึ้น ความเป็นส่วนตัว การหลบลี้จากความวุ่นวายในตัวเมือง เพื่อกลับสู่วิถีธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหา ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนในยุคมิลเลนเนียลมากมายที่ประสบความร่ำรวยมากมายจากการลงทุนใน Alternative Investment และการทำธุรกิจส่วนตัว ส่งผลให้ในหลายๆประเทศเกิดภาวะ The Great Resignation ที่กระตุ้นให้เกิดภาวะว่างงานเป็นจำนวนมหาศาลจนส่งผลกระทบต่อวงจรเศรษฐกิจ และภาพรวมของศักยภาพทำเล CBD ที่บริษัทหลายๆแห่งเริ่มที่จะลดขนาดการใช้พื้นที่ลง และที่เราเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) อันส่งผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ และรูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทย ที่มีแนวโน้มเป็นโสด หรือไม่มีบุตรมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ,สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ และสภาพัฒน์ ได้ให้ข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า ประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด และเมื่อถึงปี 2574 ก็จะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด ในขณะที่สัดส่วนของประชากรที่อายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2563 เป็น 26% ในปี 2583 โดยประเทศไทยใช้เวลาเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์เพียง 17 ปี ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีเวลาเตรียมการมากถึง 50-100 ปี

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นดังกล่างล้วนเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงชุมชน ความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ และสิ่งแวดล้อมในแบบยั่งยืน ซึ่งก็ต้องบอกว่าในปัจจุบันนี้แม้ว่าเราจะเห็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯหลายรายเริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการแนว Wellness Residences และ Elderly Care Residences มากขึ้น อีกทั้งจุดเด่นในเชิงพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ก็ได้ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายในหลายโครงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าโครงการส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ในกรอบของการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทและนักลงทุน สร้างเพื่อเกาะกระแสเทรนด์เน้นความหวือหวาเป็นหลัก มากกว่าการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม ระบบนิเวศน์ และสิ่งแวดล้อมภายในโครงการ

ภาพ Infographic จาก ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab by MQDC) ที่ร่วมมือกับ ศูนย์วิจัย Arup Foresight and Innovation ประเทศออสเตรเลีย ที่แสดงถึงปัจจัยที่ส่งอิทธิพลต่อเทรนด์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก จนนำมาซึ่ง Megatrend ของการพัฒนาเมืองในแบบยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ 5 ฉากทัศน์อนาคต ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2050 ซึ่งมีแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและเมืองใกล้เคียง หรือเรียกว่า Greater Bangkok ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกไป 150 กม. เพื่อสร้างการฉุกคิด และตอบโจทย์ความจำเป็นของการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยได้นำเสนอความเป็นไปได้ของ 5 ฉากทัศน์อนาคต อาทิ เมืองแห่งเทคโนโลยี (Technotopia) พื้นที่สุขภาพนิยม (Urban Playgrounds)  เมืองพร้อมรับทุกสภาวะ (Decentralised Resilience) ขุมพลังของคนหลายเจน (Accelerated Generations) และไลฟ์สไตล์ผสานกายใจ (Transforming Lifestyle) 

 

เมืองแห่งความมหัศจรรย์ในผืนป่า เดอะ ฟอเรสเทียส์ – THE FORESTIAS”  โดย MQDC

ท่ามกลางการขยายตัวของประชากรในมหานครใหญ่ทั่วโลก มักจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ของการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในอดีตหลายๆ ครั้งที่เมืองในอุดมคติอาจหมายถึงเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างถาวร เครือข่ายคมนาคมขนส่ง ถนน และอาคารขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแทนที่ธรรมชาติและป่าไม้ แต่ในยุคปัจจุบันแนวคิดของเมืองในอุดมคติอย่างแท้จริง ที่ทยอยเกิดขึ้นมารอบโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น Smart & Sustainable City ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากคำถามที่ว่า ความสุขที่ยั่งยืนของชีวิตเราคืออะไร?” โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีบนพื้นที่สีเขียวให้กับผู้อยู่อาศัย ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดมลพิษ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ สร้างความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ปลูกจิตสำนึกในเรื่องของการอนุรักษ์พลังงาน และตอบโจทย์ความสุขสมบูรณ์ของผู้อยู่อาศัยในแบบหลาย Generations เช่นเดียวกับโครงการ “เดอะ ฟอเรสเทียส์ THE FORESTIAS  โดย MQDC โครงการเมืองต้นแบบแห่งแรกของโลก บนพื้นที่ 398 ไร่ ที่ตั้งอยู่บนถนนบางนา – ตราด กม.7 ซึ่งเป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ Biodiversity โดยมีแนวทางการพัฒนาโครงการด้วยการนำความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และมนุษย์ มาอยู่ร่วมกันภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพและเอื้อประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงการทำลายสิ่งแวดล้อมและพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ระบบนิเวศของโลก

ในฐานะโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยด้วยมูลค่าโครงการมหาศาลถึง 125,000 ล้านบาท เดอะ ฟอเรสเทียส์ (The Forestias) ตั้งเป้าสู่การเป็นต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมือง และจะกลายเป็นโครงการเมืองแห่งแรกในโลกที่ทุกมิติถูกออกแบบโดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์หลักอย่างเดียวคือส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสุขภาพดียิ่งขึ้น ด้วยการผนึกกำลังความรู้ความสามารถในการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างร่วมกับผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ที่เป็นสถาบันชั้นนำระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของโครงการซึ่งครอบคลุมไปถึงการจัดวางพื้นที่ที่อยู่อาศัย การจัดวางพื้นที่สาธารณะ การผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต การบริหารจัดการแสงธรรมชาติ เสียง ความร้อน การหมุนเวียนของอากาศ คุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ำ จะส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง โดยภายในโครงการจะประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ อาทิ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘วิสซ์ดอม’ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ซิกส์เซนส์’ และโรงแรมแบรนด์ ‘ซิกส์เซนส์’ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด พื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงพื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ และตลาด

 

ถอดรหัสแบรนด์ THE FORESTIAS มีความหมายใดซ่อนอยู่ภายใต้อัตลักษณ์แห่งความหลากหลาย

 

คำว่า THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ มาจากคำว่า “Forest” ที่แปลว่า “ผืนป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์” ผมผนวกกับคำว่า “Fantasia” ที่แปลว่า “ความมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ”

โดยได้สะท้อนอัตลักษณ์ของโครงการผ่านโลโก้ “ต้นไม้ใหญ่” ที่มีองค์ประกอบอย่างกิ่ง ก้าน และใบไม้ที่แตกต่างกัน สื่อให้เห็นถึงความเป็นแฟนตาซีที่กระตุ้นจินตนาการให้ทั้งผู้ที่อยู่ในโครงการหรือผู้ที่เข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ ได้รับความสุขที่แท้จริงที่เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งสัญลักษณ์ต่างๆ ได้บ่งบอกตัวตนของโครงการและยังสื่อให้เห็นถึงจินตนาการและความสุขที่ผู้อาศัย โดยสะท้อนผ่านการหลอมรวมสัญลักษณ์ ได้แก่

 

ธรรมชาติ” ที่เป็นแนวคิดหลักของโครงการในการอยู่รวมกันกับธรรมชาติอย่างมีความสุข เพราะหลักการของการสร้างสรรค์ธรรมชาติภายในโครงการนั้นให้ความสำคัญกับการอยู่รวมกันระหว่างคน สัตว์ และป่า โลโก้นี้อยู่ในรูปของต้นไม้ใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยรูปของใบไม้และสัตว์ต่างๆ ที่บ่งบอกถึงระบบนิเวศของธรรมชาติที่ผสมผสานกันอยู่ภายใต้โครงการ “THE FORESTIAS”

 

มือ แสดงถึงความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่จะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่าง มีความสุข ในพื้นที่ของธรรมชาติที่แท้จริง รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนในโครงการ เช่น เพื่อนบ้าน และส่วนๆ ต่างที่ให้คนนอกเข้าร่วมมาทำกิจกรรมได้ เช่น กิจกรรมในป่า หรือโซนพื้นที่รีเทล

 

ฝาครอบอาหาร บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ และร้านอาหารที่จะมีอยู่ภายใต้โครงการ THE FORESTIAS เพราะเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์

 

เครื่องหมายพยาบาล ที่บ่งบอกถึง สถานพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโครงการจัดขึ้น และมีบริการพิเศษ เพื่อวิถีชีวิตของผู้สูงอายุ เพื่อให้กลุ่มผู้สูงอายุและสมาชิกวัยอื่นๆ ของครอบครัวใช้ชีวิตร่วมกันภายใต้โครงการนี้อย่างมีความสุข ไร้กังวลหากผู้สูงอายุในครอบครัวต้องการความช่วยเหลือทางด้านแพทย์ พยาบาล ทางโครงการก็มีสถานพยาบาลเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านของโครงการ THE FORESTIAS

 

และ หัวใจ ซึ่งอยู่บริเวณแกนกลางของต้นไม้ โดยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ประกอบกันอยู่ในต้นไม้ THE FORESTIAS นี้นั้น เป็นตัวแทนของการอาศัยอยู่รวมกันของธรรมชาติ สัตว์ และครอบครัว ที่ทั้งหมดสามารถอาศัยอยู่ภายใต้โครงการ THE FORESTIAS ได้อย่างลงตัว

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

เพราะความสุขมีจุดเริ่มต้นจากสุขภาพที่ดี และสุขภาพที่ดีเริ่มมาจากวิถีธรรมชาติ

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

 

หนึ่งในองค์ประกอบที่มีความพิเศษโดดเด่นอย่างมากของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คือ ป่าขนาดใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของโครงการ สร้างความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศน์ ซึ่งจะพัฒนาเติบโตและมีวิวัฒนาการความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติต่อไปอีกเรื่อยๆ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่ผืนป่าขนาดใหญ่เช่นนี้ ถูกนำมาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมือง เพื่อมอบความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่รวมพืชพันธุ์กว่า 38 สายพันธุ์ และสัตว์กว่า 123 สายพันธุ์ บนพื้นที่เดิมให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนได้อย่างสมดุล รวมทั้งพื้นที่ป่าธรรมชาติ 4 ระดับ ได้แก่ ป่าทึบ (Deep Forest) ป่าเพื่อผู้อยู่อาศัย (Resident Forest) ป่าแอดเวนเจอร์และศูนย์รวมกิจกรรม (Event Lawn) และพาวิลเลี่ยนสไตล์ธรรมชาติ (Forest Pavilion) ซึ่งผืนป่านี้จะเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการทั้งหมด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนและบุคคลภายนอกสามารถเข้ามาพักผ่อนและแอบอิงธรรมชาติขนาดใหญ่ภายในพื้นที่โครงการ

 

โดยทางโครงการต้องการที่จะปลูกป่าที่เป็นต้นไม้ใหม่ที่ถูกปลูกขึ้นภายในโครงการ เป็นต้นกล้าที่เพาะจากเมล็ด จนมีความสูง 40 – 60 ซม. ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การตัดต้นไม้มาจากที่อื่นแล้วขนย้ายเข้ามาใส่ไว้ในโครงการ เนื่องจากต้นไม้ที่ถูกขนมาจากที่อื่นแล้วนำเข้ามาปลูกนั้นจะถูกตัดรากแก้วทำให้การเติบโตนั้นช้าลง และต้องมีความสูงไม่เกิน 15 เมตร เพื่อความสะดวกในการขนส่ง ซึ่งการปลูกจากต้นกล้านั้นจะต้องมีทฤษฎีการปลูกที่เลียนแบบธรรมชาติ จึงจะเติบโตได้เร็วขึ้น ทางโครงการจึงได้นำเอาทฤษฎีการปลูกป่ามาจากนักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาพืชที่เชี่ยวชาญด้านเมล็ดพันธุ์และป่าธรรมชาติ ชื่อว่า Akira Miyawaki ที่ได้บอกไว้ว่า หลักการสำคัญในการปลูกป่านั้นคือต้องเป็นพืชท้องถิ่น และบางนาในสมัยก่อนนั้นเป็นทะเล จึงทำให้บริเวณใต้ดินมีความเค็ม ฉะนั้นต้นไม้ที่จะนำมาปลูกได้คือต้นไม้ที่ทนต่อความเค็ม และสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ต้นไม้หลากหลายชนิดที่ถูกปลูกในโครงการนั้น จะช่วยดึงดูดให้นกและสัตว์อีกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ผีเสื้อ กระรอก แมลงปอ กลับคืนมาสู่ป่าธรรมชาติอย่าง The Forestias ได้

 

บริเวณด้านหลังของช้าง จะเป็นส่วนของป่าทึบ Deep Forest ที่มีกำแพงกั้นไว้เพื่อคงไว้ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติ

นอกจากนั้น เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่างๆ และองค์ประกอบหลายๆ ส่วนในโครงการ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบรณ์ส่งเสริมการออกกำลังกาย และการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

Canopy Walk หรือทางเดินเท้ายกระดับความยาว 1.6 กิโลเมตรที่มีความสูงอยู่ในระดับยอดของต้นไม้ เพื่อใช้ศึกษาธรรมชาติ เป็นทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างโครงการ แบ่งเป็น 2 เส้นทางได้แก่ เส้นทางแรกเชื่อมต่อจากส่วน Community & Family Center และ Town Center ไปยังอาคาร Forest Pavilion และเส้นทางที่สองคือเส้นทาง Private เป็นเส้นทางเดินส่วนตัวเฉพาะลูกบ้าน เพื่อเดินเชื่อมถึงกันระหว่างอาคาร Forest Pavilion โครงการวิสซ์ดอม โครงการมัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า และโครงการดิ แอสเพน ทรี คอนโดมิเนียม และโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ ซึ่งสามารถเดินได้ตลอดเวลาและมีความปลอดภัยสูง โดยภาพรวมดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 90%

นอกจากนี้ยังมีทางเดินเท้าในผืนป่าที่รองรับรถพยาบาลรวมถึงการใช้งานรถเข็นได้อย่างสะดวก ทางเดินหลักยกเหนือพื้นดินขึ้นมา 30 เซนติเมตร เพื่อเป็นทางเดินให้กับสัตว์ตัวเล็ก ๆ เช่น มด หอยทากโดยเฉพาะ ส่วนทางเดินรองปูด้วยวัสดุ Decompose Granit และ Hard Wood Mulch เพื่อให้เป็นทางเดินที่สัมผัสได้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงเพราะมีการ recycle ด้วยการใช้กิ่งไม้ใบไม้ที่ร่วงแล้วนำมาปูเป็นทางเดิน นอกจากนี้ระหว่างทางยังสามารถแวะพักชมน้ำตกที่เด็ก ๆ สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยพร้อมกับศึกษาระบบนิเวศได้อีกด้วย

 

ภาพและข้อมูลจาก https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project

 

 

เพราะความสุขคือการได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารัก

มีงานวิจัยระบุอย่างชัดเจนว่าหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ซึ่งช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้นก็คือ ความใกล้ชิดกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวและคนที่เรารัก ความสุขที่แท้จริงอย่างหนึ่งของชีวิต คือการได้อยู่ใกล้ชิด ดูแล และส่งต่อความรักจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นทุกพื้นที่ในโครงการจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้คนในครอบครัวจากหลากหลายเจเนอเรชั่นได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ด้วยการวางผังองค์ประกอบของพื้นที่ที่อยู่อาศัยโดยรอบโครงการอย่างพิถีพิถัน ซึ่งทั้งหมดถูกออกแบบเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นวัยเริ่มต้นทำงาน คู่สมรสใหม่ วัยสร้างครอบครัว หรือพ่อแม่สูงวัย ทำให้ทุกคนได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก หลาน และพ่อแม่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างมีอิสระและมีพื้นที่ส่วนตัว โดยสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างกลมกลืนและปลอดภัย และ ยังมีพื้นที่เฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยง และผู้สูงวัยที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทางสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน ทั้งคลับเฮาส์ พร้อมผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และพื้นที่ Town Center สำหรับจัดกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่ไม่เคยมีในโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งไหนในประเทศไทยมาก่อน

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

มีการจัดแสดงแสง สี นิทรรศการ ยามค่ำคืน ตามช่วงเทศกาลต่างๆ เหมือน Theme Park ในต่างประเทศอยู่เป็นระยะๆ

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

 

นอกจากนี้ยังมีการวางระบบการบริหารจัดการพลังงาน และการจัดวางพื้นที่สาธารณะ ที่มีการผสานเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแท้จริงอีกมากมาย อาทิ

 

ระบบพลังงานที่ล้ำสมัยลดอุณหภูมิทั้งโครงการลงได้ถึง 3 องศา

THE FORESTIAS by MQDC เป็นโครงการแห่งแรกในประเทศไทย ที่นำระบบ District Cooling System และ Central Utilities Plant มาใช้ในโครงการที่พักอาศัย โดยจะผลิตพลังงานความเย็นและส่งไปยังที่พักอาศัย ทำให้ประหยัดพลังงาน ลดความร้อน และลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ถึง 30,000 ตันต่อปี เท่ากับปลูกต้นไม้ 750,000 ต้น หรือปลูกป่าถึง 30,000 ไร่ เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังทำให้ผู้พักอาศัยสามารถใช้พื้นที่บริเวณระเบียงห้อง ทำกิจกรรมและดูวิวสวนป่าได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ต้องกังวลในเรื่อง In Room Maintenance

ทั้งนี้คอนเซปท์ของโรงผลิตพลังงานสำหรับสาธารณูปโภคส่วนกลาง (Central Utility Plant: CUP) เป็นที่มาของตัวอย่างหนึ่งที่ว่า แม้เกิดไฟฟ้าดับในกรุงเทพฯ แต่ที่พักอาศัยต่างๆ ภายในโครงการ เดอะฟอเรสเทียส์ จะยังได้รับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ – โดย CUP เป็นแนวคิดหนึ่งในการสร้างเมืองอัจฉริยะ และเป็นวีธีการหนึ่งของการลดการใช้พลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่โครงการเมือง โดยจะทำหน้าที่ศูนย์กลางของโครงข่ายระบบน้ำเย็นที่จะกระจายไปสร้างความเย็นทั่วทั้งโครงการ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและทำให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ระบบ DCS จะผลิตพลังงานความเย็นจาก CUP และปล่อยพลังงานความร้อนไว้ที่ CUP เพียงจุดเดียว ทำให้ภายในโครงการไม่มีคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ปล่อยความร้อนสู่บรรยากาศ อาคาร และผืนป่า พร้อมทั้งส่งพลังงานความเย็นผ่านท่อน้ำเย็นที่ติดตั้งอยู่ใต้ถนนรอบโครงการภายใน Underground Utility Tunnel เพื่อส่งพลังงานความเย็นให้กับระบบปรับอากาศของอาคาร ทำให้ลดการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ โดยระบบนี้จะทำงานควบคู่กับระบบการระบายอากาศทางปล่องสูง (Up-flow Stack Ventilation) ที่อยู่ภายในอาคารต่างๆ ทำให้อากาศภายในโครงการเย็นลง

เมื่ออากาศภายในโครงการเย็นลงจึงลดความจำเป็นในการเปิดเครื่องปรับอากาศ เพิ่มความสบายเมื่อเดินเข้าออกอาคาร และให้บรรยากาศที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมทั้งการสะสมความเย็นในเวลากลางคืน เพื่อสร้างปรากฏการณ์ Cool Basin ซึ่งเป็นความเย็นจากธรรมชาติที่สัมผัสได้รอบตัว ส่งผลให้อุณหภูมิลดลง มากกว่า 3 องศาเซลเซียส

 

ระบบ DCS สามารถประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศ และลดขนาดการติดตั้งเครื่องปรับอากาศลงกว่าปกติมากกว่าครึ่ง จึงทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดปริมาณการใช้สารทำความเย็น ส่งผลให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ออกสู่บรรยากาศถึง 30,000 ตันต่อปี เทียบได้กับปลูกต้นไม้ 750,000 ต้น หรือ ปลูกป่าถึง 30,000 ไร่เลยทีเดียว

ปัจจุบันดำเนินการติดตั้งท่อส่งน้ำเย็นแล้วเสร็จ 100% โดยท่อนี้จะทำการส่งน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 5.5 องศาเซลเซียส เพื่อแจกจ่ายให้กับทุกยูนิตในโครงการทั้งส่วนที่พักอาศัย โรงแรม และศูนย์การค้า อีกทั้งทางโครงการยังติดตั้งท่อดับเพลิงภายในอุโมงค์แล้วเสร็จ 100% ซึ่งเป็นท่อดับเพลิงที่ได้มาตรฐาน NFPA สามารถกระจายน้ำผ่านหัวจ่ายน้ำได้รอบโครงการและครอบคลุมไปถึงพื้นที่ในป่า และเป็นโครงการเดียวในประเทศไทยที่ใช้ระบบนี้ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบระบายอากาศ และระบบรักษาความปลอดภัย (กล้อง CCTV) แล้วเสร็จ 100% รวมถึงอยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งระบบป้องกันน้ำท่วมภายในอุโมงค์ ระบบป้องกันการเกิดไฟไหม้ และระบบอินเตอร์เน็ต (wifi) อีกด้วย

ภาพและข้อมูลจาก https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project

 

ทางสาธารณะเพื่อผู้คนทุกวัย

ทางเดินเท้า กว้าง 2 เมตร และ 3 เมตร ที่ออกแบบจัดวางผังอย่างละเอียดรอบคอบ โดยคำนึงถึงความสะดวกสบายและความปลอดภัยขั้นสูงสุดของผู้ใช้ทางเดินเท้าทุกวัย และทุกความต้องการ โดยทางเดินเท้าถูกออกแบบให้มีความกว้างที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน โดยได้จัดสรรเส้นทางและการใช้งานให้มีความลงตัวและหลีกเลี่ยงการรบกวนซึ่งกันและกัน โดยตลอดเส้นทางจะปกคลุมไปด้วยร่มเงาของพืชพรรณตามธรรมชาติ นอกจากนั้นในช่วงที่เป็นทางม้าลาย ถนนจะถูกยกระดับขึ้นมาให้เป็นระนาบเดียวกันกับทางเท้า เพื่อให้การเดินข้ามเป็นไปอย่างสะดวกสบายสำหรับคนทุกวัย รวมถึงผู้ที่ต้องใช้รถเข็นเด็กและวีลแชร์ ในขณะเดียวกัน จะเป็นการช่วยให้รถจำเป็นต้องชะลอความเร็วไปในตัว เพิ่มความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ใช้รถและผู้เดินเท้า ในขณะที่ถนนภายในโครงการจะมีความกว้าง 8 เมตร และจะมีบริการ Shuttle Bus รับส่งผู้โดยสารภายในโครงการตามจุดต่างๆทั่วโครงการเพื่อช่วยลดปริมาณมลพิษที่เกิดจากการใช้รถยนต์ส่วนตัว เช่นเดียวกับการจัดให้มี EV Charging Station เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

 

โดยระบบบริหารจัดการแสงสว่างภายในโครงการ จะช่วยให้ทุกส่วนของโครงการมีแสงสว่างเพียงพอต่อความสะดวกสบาย ความปลอดภัย แต่ก็ยังคงมีความสบายตา และลดแสงไฟส่วนเกินที่ไม่จำเป็นให้มีปริมาณน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนแสงธรรมชาติหรือเบียดเบียนระบบนิเวศน์และสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ อีกทั้งจะไม่ส่งผลกระทบต่อทัศนียภาพอันงดงามของท้องฟ้าในยามค่ำคืน

*หมายเหตุ ภาพจำลองเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

 

นอกจากนี้โครงการยังมีระบบการป้องกันน้ำท่วม ที่ประกอบด้วยพื้นที่กักเก็บน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้มากกว่า 10 ล้านลิตร และสามารถป้องกันไม่ให้โครงการเกิดน้ำท่วมแม้ต้องเผชิญกับพายุฝนครั้งใหญ่ก็ตาม โดย เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้ทุ่มงบประมาณก้อนใหญ่กับการสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำเหล่านี้ แทนที่จะปล่อยให้น้ำฝนไหลออกจากโครงการและระบายออกไปในพื้นที่อื่น สร้างประโยชน์ให้ทั้งกับโครงการเอง และช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนบ้านที่อยู่ในชุมชนโดยรอบ

ภาพและข้อมูลจาก https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project

 

มีอะไรใน ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’ (Forest Pavilion) อาคารศูนย์การเรียนรู้เพื่อความสุขอันยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

สำหรับโครงการอสังหาฯทั่วไป การเนรมิตร เซลล์ แกลลอรี ที่มีห้องตัวอย่างสัก 3 ห้อง อาจจะใช้งบประมาณสูงสุดที่ราวๆไม่เกิน 100 ล้านบาท เทียบเคียงกับโครงการใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่มีการจัดแสดงห้องตัวอย่างทั้งหมด 11 ห้องจาก 3 โครงการที่อยู่อาศัย ภายใน ฟอเรสต์ พาวิลเลียน ก็อาจจะใช้งบประมาณสัก 300 ล้านบาท แต่สำหรับอาคาร ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’ ทางผู้พัฒนาโครงการทุ่มเงินลงทุนมากถึง 1,400 ล้านบาท โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่สนใจทุกคนได้สัมผัส และซึมซับถึงประสบการณ์ในการอยู่อาศัยบนเมืองแห่งความสุขที่แท้จริงแห่งแรกของไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่านทุกมิติสัมผัสทั้ง 5 ในแบบที่ไม่ได้มีการ Hard Sale ขายของเลย แต่เป็นการจัดแสดงวิสัยทัศน์ และแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการผ่าน Immersive Experience ล้ำสมัย ที่ออกแบบโดยเหล่าพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ experience ระดับโลก อาทิ Foster + Partners Thailand ผู้ออกแบบอาคาร ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’, ITEC Entertainment จากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ออกแบบ Entertainment Experience ให้กับ ดิสนีย์แลนด์  ดิสนีย์ซี และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ประสบการณ์และสันทนาการที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ, VAVE Studio จากประเทศเยอรมัน เป็นผู้ออกแบบ Exhibition Experience and Story Creator แต่ละห้องภายใน ‘ฟอเรสต์ พาวิลเลียน’, และ BUG Studio บริษัทชื่อดังของไทย เป็นผู้ออกแบบ multi-disciplinary design นำเสนอประสบการณ์รูปแบบใหม่อย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน รวมไปถึงห้องจัดแสดงอนิเมชั่นที่มีชื่อว่า Chamber of Secret ที่สร้างสรรค์โดยบริษัท DEC Media และ บริษัท T&B Media Global (Thailand) ที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์ของโครงการผ่านภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น บนจอ The Wall ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นการเปิดการแสดงเป็นรอบๆคล้ายๆกับเวลาเราไปดูโชว์ที่สวนสนุกในต่างประเทศครับ

ห้องจำลองระบบนิเวศน์และธรรมชาติในฟอเรสเทียส์ มีฐานให้เล่นด้วยกัน 5 ฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสวมบทบาทเป็นแมลงแล้วท่องไปในป่าของโครงการ การฟังเสียงสัตว์ป่า ด้วยอุปกรณ์อย่าง Microsoft Kinect Sensor ดมกลิ่นของดอกไม้ชนิดต่างๆที่มีอยู่ในโครงการ หรือการจำลองหมอกในโครงการ ที่จะให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ป่า และร่วมสนุกไปพร้อมกับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

ห้องจำลองต้นไม้และดอกไม้ ที่มีเทคนิค แสงสี ลูกเล่นให้สามารถขยับไปตามเพลงได้ อีกทั้งยังมีการจำลองน้ำตกที่ด้านล่างเหมือนจริง รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ (จริงๆห้องนี้เค้าห้ามถ่ายรูปนะครับ แต่ตากล้องผมแอบถ่ายมาแบบมึนๆ)

ห้องที่ฉาย Project Presentation รายละเอียดของโครงการต่างๆ ที่อยู่ในฟอเรสเทียส์ ไม่ว่าจะเป็น วิสซ์ดอม, มัลเบอร์รี โกรฟ, มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า, ดิ แอสเพน ทรี และซิกส์เซนส์

สุดท้ายเป็นห้องที่รวมรายชื่อของผู้ร่วมพัฒนาในด้านต่างๆ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากหลากหลายบริษัทชั้นนำระดับโลก ที่ทำให้เกิดเมกะโปรเจกต์อย่าง ฟอเรสเทียส์ นี้ขึ้นมา

Mr. Kittiphun Ouiyamaphun

Project Director The Forestias by MQDC

Dr. William E. Reichman

President and CEO Baycrest Global Solutions

Mr. Kecha Thirakoman

Managing Director EEC Engineering Network Company Limited

Mr. Bill Coan

President and CEO ITECT Entertainment

Mr. Toby Blunt

Senior Partner – Deputy Head of Studio Foster + Partners

Dr. Singh Intarachooto

Chief Advisor Research & Innovation for Sustainability Center RISC by MQDC

Dr. Naree Phinyawatana

Director of the Bangkok Office and Leads Southeast Asia Business Development Atelier Ten

Mr. Surin Warachun

Ecologist THE FORESTIAS by MQDC

หลังจากใช้เวลาในการซึมซับประสบการณ์ไปได้สักประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้เข้าไปชมดีเทลของห้องตัวอย่างกัน โดยห้องตัวอย่าง 11 ห้อง จาก 3 โครงการที่พักอาศัยใน ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘วิสซ์ดอม’ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘มัลเบอร์รี โกรฟ’ และที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘ดิ แอสเพน ทรี’

 

ซึ่งโครงการที่ผมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษสำหรับการมาเยี่ยมชมครั้งนี้คือโครงการ ‘ดิ แอสเพน ทรี’ (The Aspen Tree) โครงการสำหรับผู้ที่วางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่เพียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการครบครัน ที่ให้การบริการไปตลอดชีวิต การได้อยู่ท่ามกลางระบบนิเวศน์อันสมบูรณ์และทันสมัยแบบนี้จึงนับว่าเป็นสังคมแห่งการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพสำหรับผู้สูงวัยที่แรกของประเทศไทย และครบวงจรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ

โดยปกติแล้วโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัยในประเทศไทย หากทางผู้พัฒนาไม่ได้มีประสบการณ์โดยตรงในธุรกิจ Healthcare, Medical หรือ Wellness Hospitality มาก่อน ก็มักเลือกที่จะพัฒนารูปแบบโครงการให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายในประเภท Active Aging ซึ่งแม้จะเป็นผู้สูงวัยแต่ก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้ และมองหาวิถีชีวิตที่ช่วยสร้างเสริมทั้งกำลังกาย กำลังใจ และสุขภาพให้ไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาได้ หากแต่ว่าผู้พัฒนารายใดที่มีประสบการณ์โดยตรงหรือมีพันธมิตรที่พร้อมมาพัฒนาโครงการร่วมกัน ก็มักจะต่อยอดการพัฒนาโครงการไปสู่โครงการที่สามารถให้การดูแลได้ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องได้รับการดูแลตลอด 24 ชม.จากทีมแพทย์ในรูปแบบ Nursing Home เช่นเดียวกับกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้มีอาการป่วยไข้แต่ต้องการคนมาดูแลเอาใจใส่ในกิจวัตรประจำวัน เนื่องจากอยู่ตัวคนเดียว หรือรอบกายไม่ได้มีลูกหลานมาคอยดูแล

 

ซึ่งในปัจจุบัน ธุรกิจ Wellness & HealthCare ได้เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีหลายดีเวลลอปเปอร์ให้ความสำคัญในการทุ่มทุนพัฒนา เพื่อร่วมชิงชัยในกลุ่มตลาดผู้สูงวัย โดยมุ่งเน้นเป็นการสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีบริการแบบครบวงจร ทั้งในด้านของการอำนวยความสะดวกภายในโครงการ การทำกิจกรรม รวมไปถึงเรื่องของการดูแลรักษา ซึ่งเป็นแรงจูงใจหลักให้ผู้สูงวัยมีความสนใจในการซื้อบ้านใหม่ โดยตัวเลือกในปัจจุบันก็มีมากมายที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคนแตกต่างกันไป ทั้งในรูปแบบของการพัฒนาโครงการขึ้นมาใหม่ การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญมา Plug in กับโครงการที่มีอยู่แล้ว หรือการแบ่งเฟสการพัฒนาโครงการบนพื้นที่เดียวกันแต่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าต่างวัยกัน อาทิ

 

นายา เรสซิเดนซ์ (NAYA Residence) พัฒนาโดยบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด เป็นบ้านในนิยามใหม่เพื่อวัยอิสระ แห่งแรกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ออกแบบเพื่อให้ทุกท่านใช้ชีวิตในแบบ Active Ageing ได้ยาวนานที่สุด ยกระดับคุณภาพชีวิตสัมผัสวิถีแห่งความอยู่ดีมีสุข ก้าวสู่วัยอิสระอย่างมีคุณภาพ ห้องพักดีไซน์ใหม่ สะดวก ปลอดภัย อุ่นใจ 24 ชั่วโมง ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ด้วยแนวคิด Universal Design รวมถึงการเลือกสรรวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานผสานเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย DoCare by SCG เพื่อสร้างมิติใหม่ของที่อยู่อาศัยเพื่อวัยอิสระ มีห้องให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 62 – 76 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 105 – 120 ตารางเมตร จะเป็นรูปแบบการให้เช่าในระยะยาว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าจะเช่าเต็มที่ 30 ปีหรือน้อยกว่า

จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ (Jin Wellbeing County) จาก ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ผู้มีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาลกว่า 40 ปี ให้บริการดูแลผู้สูงวัยที่ยังมีพลัง และต้องการพัฒนาศักยภาพ ด้วยกิจกรรมที่ออกแบบมาเฉพาะแต่ละบุคคล เพื่อฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม ช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ สมอง และความจำ ป้องกันภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ รวมถึงฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้แข็งแรง มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อการใช้ชีวิตในอีก 30 ปี มีห้องให้เลือก 2 แบบ คือ 1 Bedroom ขนาด 43 – 46 ตารางเมตร และ 1 Bedroom Plus ขนาด 63 – 66 ตารางเมตร ราคาค่าเช่าเริ่มต้น 40,000 บาท/เดือน

ศุภาลัยฯ เปิดโครงการ ศุภวัฒนาลัย (Supalai Wellness Valley) นับเป็นโครงการแรกของบริษัทเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต แนวคิดออกแบบและพัฒนาโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของคนทุกเพศทุกวัย (universal design) โดยรูปแบบขายสิทธิการเช่า เงื่อนไขผู้พักอาศัยต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีสิทธิพักอาศัยภายในโครงการตลอดชีพ โดยทำสัญญาเช่าซื้อระยะยาว โปรโมชั่นพิเศษพักอาศัย 1 คน ราคา 1.3 ล้านบาท และสำหรับ 2 คน ราคา 1.5 ล้านบาท

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผนึกกำลัง สมิติเวช ให้ Health Tech ในที่อยู่อาศัย เชื่อมโยงบริการ “Samitivej Virtual Hospital” เข้ากับแอป “Origin Connect” ให้ลูกบ้านเข้าถึงบริการปรึกษาแพทย์ 24 ชั่วโมง บริการเจาะเลือด และบริการขนส่งยาถึงบ้าน ได้ง่ายๆ ผ่านแอป พร้อมแจกโค้ดลูกบ้านปรึกษาแพทย์ไม่มีค่าใช้จ่าย 15 นาที สำหรับบริการ Samitivej Virtual Hospital ที่จะมาให้บริการผ่านแอป Origin Connect ประกอบด้วยบริการ 4 ส่วน ได้แก่ 1.บริการปรึกษาแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Teleconsultation) โดยแพทย์จะให้คำปรึกษาผ่านช่องทางวิดีโอคอล 2.บริการตรวจเลือดถึงโครงการ (Test@Home) กรณีได้รับการวินิจฉัยว่าต้องทำการตรวจเลือด 3.บริการฉีดวัคซีนถึงโครงการ (Vaccine @Home) กรณีได้รับการวินิจฉัยว่า ต้องทำการฉีดวัคซีน 4.บริการขนส่งยาถึงโครงการ (Medicine Delivery) จัดส่งยาให้ถึงโครงการหลังจากได้รับคำวินิจฉัยของแพทย์

NC ลงทุนศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจร ภายใต้ชื่อ ศิริอรุณ เวลเนส นับเป็นสาขาที่ 3 ศิริอรุณ เวลเนส มีพื้นที่ใช้งาน 2,000 ตารางเมตร สูง 6 ชั้น สามารถเปิดบริการห้องได้ถึง 27 ห้อง 39 เตียง เมื่อรวมทั้ง 3 ศูนย์ที่เปิดบริการแล้วมีจำนวน 122 เตียง อยู่ภายใต้บริษัท เอ็น.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ NC ซึ่งผู้ใช้บริการ มีการรองรับให้บริการ 4 กลุ่ม ด้วยกัน คือ 1.ผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น 2.ผู้ที่รอพบแพทย์ตามนัด 3.ผู้ที่สุขภาพดีแต่อยู่ในช่วงของการตรวจพิเศษหรือรักษาเฉพาะทาง และ 4.บริการดูแล ผู้สูงอายุที่ต้องการใช้บริการอย่างใกล้ชิด

ซึ่งโครงการ ดิ แอสเพน ทรี นั้นเป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนสูงวัยทุกประเภทที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น Active Aging, Day Care, Nursing Home ไปจนถึง 24 Hours intensive care ก็พร้อมรับได้หมด และด้วยรูปแบบการขายที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวแต่สามารถคืนห้องก่อนกำหนดได้ ไม่ต้องเสียค่าส่วนกลาง มีบริการ อาหารการกิน กิจกรรม ที่รวมไว้ในค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว มีแผนประกันสุขภาพ และผู้ติดตามก็ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม จึงทำให้โครงการนี้เป็นที่สนใจ และน่าจับตามองมากทีเดียวสำหรับ กลุ่มผู้สูงวัยชาวต่างประเทศที่ต้องการจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายในวัยเกษียณที่ประเทศไทย

‘ดิ แอสเพน ทรี’ เป็นโครงการที่พักอาศัยพร้อมมอบบริการดูแลตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เน้นบริการและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care) ผสานโปรแกรม Health & Wellness โดยผ่านกิจกรรมระหว่างวันและสันทนาการต่างๆ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้สูงวัย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย จิตใจ และสมอง นอกจากนั้นยังมีบริการ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันอีกด้วย ที่สำคัญ โครงการดิ แอสเพน ทรี ยังถือเป็นโครงการแห่งแรกที่มุ่งเน้นด้านการดูแลตลอดชีวิต (Holistic Lifetime Care) ใส่ใจด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อให้ท่านได้อยู่อาศัยอย่างไร้ความกังวล โดยได้ร่วมทำงานกับ เบย์เครสต์ โกลบอล โซลูชั่น (Baycrest Global Solutions) องค์กรจากประเทศแคนาดาที่มีประสบการณ์มากกว่า 100 ปี และเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านการพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลในโครงการ ที่ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมการดูแลผู้สูงวัย เพื่อสร้างมาตรฐานการดูแลผู้สูงวัยและมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ

 

โครงการถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Aging-In-Place คือการให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตในบ้านตัวเองได้ยืนยาวยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ผลักดันการค้นหาตัวตน และจุดประกายแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ใกล้ชิดธรรมชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิต มอบความสุขแก่ผู้สูงวัยในช่วงเวลาอันงดงามที่สุด เติมเต็มช่วงเวลาอันล้ำค่าเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ มีทั้งแบบ Active Living Condominiums และ Sky Villa Residences เพรียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการอย่างครบครัน และการดูแลด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญอย่างครบวงจร

 

ซึ่งการเข้าอยู่ในโครงการนี้จะเป็นในแบบดูแลตลอดชีวิต แต่สัญญาจะทำเป็นระยะยาวที่ 30 ปีครับ ขายสิทธิการเช่าหรือปล่อยเช่าต่อไม่ได้ โดยต้องชำระค่าห้องและบริการจ่ายทั้งหมด ณ วันโอนสิทธิ *สำหรับกรณีคืนห้องก่อนกำหนด ทางโครงการจะคืนเงิน ค่าห้อง และค่าบริการ หากอยู่ไม่ครบ 30 ปี โดยหักเฉพาะปีที่ใช้ ปีละ 3.33%

โดยมีราคาเบื้องต้นประมาณนี้

1Bedroom 83-250 ตรม.

ราคา 1 ท่าน 28 ล้านบาท

ราคา 2 ท่าน 28 ลบ. + 8.8 ลบ.

 

2Bedroom 123 ตรม.

ราคา 1 ท่าน 42 ล้านบาท

ราคา 2 ท่าน 42 ลบ. + 9.8 ลบ

 

ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ติดตาม สำหรับห้องทุกแบบแต่จะไม่ได้รับสิทธิใดๆ ทั้ง Service หรือการใช้ Wellness Clubhouse

 

รายละเอียดโครงการ The Aspen Tree

ดิ แอสเพน ทรี โครงการเริ่มต้นบทใหม่ของชีวิตในวัย 50+ ที่สวยงามพร้อมสัมผัสกับการอยู่อาศัยที่มีอิสระ อุ่นใจ มีสีสัน และความสุขกว่าเคย ได้ตื่นแต่เช้าสูดอากาศบริสุทธิ์จากผืนป่ากว่า 30 ไร่ ได้ออกกำลังกาย ได้ทำกิจกรรมแบบ Preventive Care สนุกๆ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย จิตใจ และสุขภาพทางอารมณ์ของผู้อยู่อยู่อาศัย โยมีแนวคิดที่มุ่งเน้นการสร้างสังคมสำหรับผู้สูงวัย ให้อยู่อาศัยได้อย่างมีความสุข ต้องการที่จะเป็นต้นแบบของการดูแลผู้สูงวัยในระดับสากล เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพสำหรับผู้สูงวัยทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ

และ MQDC ได้เล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงจำนวนผู้สูงวัยที่พึ่งพาตนเองทั้งมีคู่และใช้ชีวิตโสดมีแนวโน้มสูงขึ้น จึงตั้งใจพัฒนาโครงการ ดิ แอสเพน ทรี ด้วยเป้าหมายเพื่อเป็นโครงการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้สอดคล้องกับการมุ่งเน้นความสำคัญด้านการอยู่อาศัยของผู้สูงวัย จึงได้ร่วมมือกับ พันธมิตรระดับโลก อย่าง เบย์เครสต์ โกลบอล โซลูชั่น (Baycrest Global Solutions) ผู้นำระดับโลกในการดูแลด้านที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย รวมถึงด้านการดูแลสุขภาพ งานวิจัย นวัตกรรม และการศึกษา โดยมุ่งเน้นที่สุขภาวะสมอง และ ผู้สูงวัย ทั้งนี้ Baycrest ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่ดูแลผู้สูงวัยเฉพาะทางที่ดีที่สุดในโลก ประสบการณ์มากกว่า 100 ปี มีส่วนช่วยให้ ดิ แอสเพน ทรี ได้รับการพัฒนาลักษณะโครงการ และบริการ ได้อย่างเข้าใจและถูกต้อง ด้วยข้อมูลเชิงลึกทั้งด้านกายภาพ และจิตภาพ

โครงการแบ่งอาคารที่พักอาศัยออกเป็น Active Living Condominiums จำนวน 3 อาคาร สูง 13, 18, และ 22 ชั้น จำนวน 250 ยูนิต เพดานสูง 3 เมตร  มีห้องให้เลือกแบบ 3 แบบ คือ 1 Bedroom ขนาด 83.02 – 83.76 ตร.ม., 1 Bedroom Plus ขนาด 85.34 – 86.44 ตร.ม., 2 Bedroom ขนาด 123.32 – 124.06 ตร.ม. จอดรถได้ 1 คัน/ยูนิต และแบบ Sky Villa Residences 2 อาคาร สูง 5 ชั้น เพียง 40 ยูนิต เพดานสูง 3.5 เมตรในแบบ Premium Private Units & Private Gardens  มีห้อง 4 รูปแบบ คือ 2 ห้องนอน + ห้องอเนกประสงค์ ขนาด 184.17 ตร.ม.,  2 ห้องนอน + ห้องอเนกประสงค์ ขนาด 202.93 ตร.ม., 2 ห้องนอน + ห้องอเนกประสงค์และสวนส่วนตัว ขนาด 213.77 – 214.97 ตร.ม., และ 2 ห้องนอน + ห้องอเนกประสงค์และสวนส่วนตัว ขนาด 243.93 ตร.ม. ให้พื้นที่จอดรถ 2 คัน/ยูนิต มีพื้นที่จอดรถ 100% บริเวณชั้นใต้ดิน รวมทั้งหมด 290 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 23-2-26.5 ไร่ ออกแบบงานสถาปัตยกรรมในสไตล์ Classic Contemporary พร้อมพื้นที่กลางแจ้ง สวนสีเขียว อาคาร Glasshouses อาคาร Wellness Clubhouse และ Health & Brain Center

Active Living Condominiums

Floor Plan

แต่ละชั้นมีการออกแบบเป็น Single-Loaded Corridor ผู้อยู่อาศัยรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวอย่างมาก และ 1 ชั้น มีเพียง 5 ยูนิตเท่านั้น โดยทุกยูนิตจะอยู่คละกัน

Unit Plan

1 Bedroom ขนาด 83.02 – 83.76 ตร.ม.

ห้องแบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดใหญ่ มี Foyer, Powder Room และครัวอยู่ด้านหน้าห้อง พร้อมส่วน Living ที่กินพื้นที่ครึ่งนึงของห้องเลยก็ว่าได้ สามารถจัดโต๊ะทานอาหาร มุมนั่งเล่นไปในตัวได้ พร้อมพื้นที่ระเบียงกว้าง ราวกันตกสูงให้ได้นั่งชมวิวป่าด้านนอก ห้องนอนมี Walk-in Closet และห้องน้ำภายในห้อง

1 Bedroom Plus ขนาด 85.34 – 86.44 ตร.ม.

แบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องเอนกประสงค์ มีการกั้นห้องเป็นสัดส่วน  มีครัว และพื้นที่ Living อยู่กลางห้อง และห้องเอนกประสงค์ที่จะใช้เป็นห้องทำงานหรือห้องทำกิจกรรมก็ได้ อยู่ติดกับระเบียง ในส่วนของห้องนอนมี Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว

2 Bedroom ขนาด 123.32 – 124.06 ตร.ม.

แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ หน้าห้องมี Foyer พร้อมทางเดินแยกระหว่างห้องนอนและ Living Room ใน Master Bedroom มีห้องน้ำ และ Walk-in Closet ในตัว พื้นที่ Living Room และครัวเชื่อมต่อกัน ระเบียงด้านนอกกว้างพร้อมราวกันตก

Sky Villa Residences

Floor Plan

เพื่อเป็นลดการเดินขึ้นลงบันไดของผู้สูงอายุ แต่ละห้องจึงมีขนาดใหญ่มาก มีเพียง 4 ห้องต่อชั้นเท่านั้น และเป็นแบบ Single-Loaded Corridor พร้อมวิวป่าสีเขียว โดยห้องชั้นล่างจะได้พื้นที่ Private Garden เพิ่มมาอีก 40 ตร.ม.

Unit Plan

ห้อง 2 Bedroom Plus Den ขนาด 184.17 ตร.ม.

สามารถเข้าห้องได้ 2 ทาง ทั้งจากฝั่งหน้าห้อง และฝั่งห้องครัวที่แม่บ้านจะเข้าทางฝั่งนี้แทน หน้าห้องมี Powder Room ห้องเป็นแบบครัวปิดเชื่อมกับพื้นที่ซักล้าง ส่วน Living Room และโต๊ะทานอาหารอยู่ด้วยกัน ห้องอเนกประสงค์ตกแต่งเป็นห้องนอนได้อีก 1 ห้อง พร้อมห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน ที่ใช้เป็นห้องทำกิจกรรมอื่นๆ ได้

ห้อง 2 Bedroom Plus Den ขนาด 202.93 ตร.ม.

ซึ่งห้องที่อยู่ในอาคาร Sky Villa ทุกห้องสามารถเข้าได้ 2 ฝั่ง เนื่องจากมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด ทุกห้องมีพื้นที่กว้าง ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ส่วน Living Room ระเบียง ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ในการใช้ชีวิตมากขึ้น

ห้อง 2 Bedroom Plus Den ขนาด 213.77 – 214.97 ตร.ม.

ห้องชั้นล่างมีพื้นที่สวนส่วนตัวเพิ่มขึ้นถึง 40 ตร.ม. ให้คุณได้เพลิดเพลินกับข้างบ้านได้อย่างเป็นส่วนตัว ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ไม่มีใครมารบกวน ภายในห้องมี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมพื้นที่ Living Room และห้องอเนกประสงค์ที่ใช้เป็นห้องทำงานหรือห้องนอนเพิ่มได้

ห้อง 2 Bedroom Plus Den ขนาด 243.93 ตร.ม.

ห้องขนาดใหญ่ที่มีสวนส่วนตัว แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มี Powder Room ด้านหน้าห้อง Master Bedroom มี Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว พร้อมหน้าต่างมองไปยังสวนได้ ใช้ประตูฝั่งห้องอเนกประสงค์เพื่อไปยังสวนด้านข้าง

ห้องตัวอย่าง The Aspen Tree

ภายในห้องมีระบบรักษาความปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้อยู่อาศัยสูงอายุเต็มรูปแบบ อาทิ

– ประตูทางเข้าทนไฟ 1 ชั่วโมง

– ปุ่มฉุกเฉิน

– ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวพร้อมระบบไฟอัตโนมัติเวลากลางคืน

– ราวจับในห้องอาบน้ำ (ตามข้อกำหนดในการติดตั้ง)

– พื้นกันลื่น

– พื้นยืดยุ่นรองรับแรงกระแทก

– อุปกรณ์เสริมแบบสวมใส่สำหรับสุขภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย

– เข้าออกพื้นที่ควบคุมด้วยระบบคีย์การ์ด

– ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วยเจ้าหน้าที่และกล้อง CCTV

– ระบบสำรองไฟฟ้าฉุกเฉิน

 

อาคาร Active Living Condominiums

2 Bedroom ขนาด 85.34 ตร.ม. ประกอบด้วยห้องโถง ห้องแต่งตัว ห้องวางเครื่องซักผ้า

ตู้เสื้อผ้าแบบ walk-in-closet และระเบียงแบบเปิด โครงการขายแบบ Fully Fitted ไม่ได้ให้เฟอร์ฯลอยตัว

พื้นที่ Living Room พร้อมหน้าต่างที่สามารถมองออกไปยังสวนด้านนอกได้ เพดานห้องสูง 3 ม.

หลังโซฟา ซ้ายมือเป็นประตูเชื่อมระเบียง ส่วนขวามือเป็นห้องอเนกประสงค์

ห้องอเนกประสงค์ ตกแต่งให้เป็นห้องทำกิจกรรมอย่างอื่นได้

มีประตูเชื่อมไปยังพื้นที่ระเบียงด้านนอก

ห้องนอน

ทางเดินไปห้องน้ำ ขวามือมีพื้นที่ Walk-in Closet

ห้องน้ำกั้นส่วนแห้งและเปียก แต่จะมีการออกแบบพื้นให้เรียบเสมอกัน เพื่อลดอุบัติเหตุของผู้สูงอายุ และสะดวกต่อคนใช้รถเข็น

ติดตั้ง Screen Shower ให้ พร้อมที่นั่งสำหรับอาบน้ำ

2 Bedroom ขนาด 123.32 ตร.ม

มี Foyer ด้านหน้าห้อง พร้อมตู้เก็บของ ภายในห้องจะไม่มีสเต็ปประตู พื้นห้องเท่ากันหมดทุกส่วนเพื่อสะดวกต่อผู้สูงอายุและผู้ที่ใช้รถเข็น

ประตู Master Bedroom และห้องนอน 2

ห้องนอน 2 มีหน้าต่าง 2 ด้าน เนื่องจากห้องมีผนังยื่นออกมามากกว่าห้องอื่น

ห้องน้ำด้านนอกใช้อาบน้ำได้ กั้นส่วนแห้งและเปียกให้ โดยวางระบบท่อน้ำเสียแบบไม่เจาะพื้นและช่อง Service ภายในห้องแต่ถูกออกแบบให้อยู่บริเวณโถงทางเดินหรือกรอบภายนอกอาคารของแต่ละยูนิต สะดวกต่อการซ่อมบำรุง และไม่รบกวนต่อผู้พักอาศัยเมื่อมีช่างเข้ามาซ่อม หรือบำรุงรักษา

Master Bedroom

หน้าต่างมองวิวสวนด้านนอกได้

Walk-in Closet

ห้องน้ำใน Master Bedroom กั้น Screen Shower สูงเกือบชิดเพดาน

Living Room ซึ่งภายในห้องจะถูกขายแบบ Full Fitted ทางโครงการไม่ได้ให้เฟอร์นิเจอร์มาด้วย

Living Room เชื่อมต่อกับครัวและโต๊ะทานอาหาร

ส่วนครัวจะอยู่ด้านนี้

Home Intelligent System ระบบควบคุมบ้านอัตโนมัติพร้อมด้วยการควบคุมผ่านแท็บเลต ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่เชื่อมต่อกับกิจกรรมต่างๆ ภายในโครงการ เหมือนกับระบบ Home Automation ที่สั่งเปิด – ปิดไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าได้ ผู้อาศัยสามารถเลือกตารางกิจกรรมที่สนใจได้ผ่านหน้าจอนี้ หรือสั่งอาหาร ความช่วยเหลือต่างๆ แม้กระทั่งนัดพบหมอก็สามารถนัดวันลงในนี้ได้

อาคาร Sky Villa Residence

2 Bedroom Plus Den ขนาด 202.93 ตร.ม. ประกอบด้วยห้องโถง ห้องพักผ่อนส่วนตัว ห้องซักรีด ห้องแต่งตัว ห้องครัวสไตล์ตะวันตกและห้องครัวไทย และระเบียงภายในห้อง มีพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่ และประตูทางเข้าแบบส่วนตัว

ยูนิตที่อยู่ในอาคาร Sky Villa มีเพียง 4 ยูนิต/ชั้นเท่านั้น เพดานสูง 3.5 เมตร และแต่ละยูนิตนั้นไม่มีผนังติดกับห้องข้างๆ ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวอย่างมาก เปิดเข้ามาในห้องก็เจอพบกับ Foyer เป็นอันดับแรก

โถงภายในห้อง ที่เป็นส่วน Living Room ครัว และโต๊ะทานอาหาร ซึ่งภายในห้องเลือกใช้วัสดุที่มีสารอินทรีย์ระเหยง่ายในระดับต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ อาทิ 1. วัสดุสี สารเคลือบผิว กาว และยาแนว 2. วัสดุผิวพื้น และวัสดุบุผิว 3. วัสดุไม้ และไม้ประกอบ

มีพื้นที่ Enclosed Balcony จัดไว้เป็นมุมพักผ่อนได้อีกหนึ่งที่ มีประตูเชื่อมออกไปยังสวนด้านนอกได้

ห้องนอน 2

ได้วิวป่าภายในโครงการฟอเรสเทียส์ ให้ความรู้สึกสดชื่น และแสงธรรมชาติส่องผ่านได้อย่างเต็มที่

Master Bedroom

มี Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว

ในห้องน้ำมีการออกแบบพื้นให้เรียบเสมอกัน เพื่อลดอุบัติเหตุของผู้สูงอายุ และสะดวกต่อคนใช้รถเข็น

ผู้อยู่อาศัยที่ซื้อห้องในโครงการ ดิ แอสเพนทรี ไม่เพียงที่จะได้ห้องพักขนาดใหญ่พร้อมวิวธรรมจากป่าในฟอเรสเทียส์เท่านั้น แต่ยังจะได้รับบริการแบบเหนือระดับ ทั้งในด้านของสุขภาพ การแพทย์ รวมไปถึงบริการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย อาทิ

 

บริการด้านสุขภาพและการแพทย์ ทั้งในเรื่องของประกันสุขภาพ ที่มีความคุ้มครองสูงสุดถึง 99 ปี* จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่จะส่งมอบความคุ้มครองสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมการเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง โรคทั่วไป และโรคระบาด รวมทั้งอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุด 20 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่หลังเซ็นสัญญา ในช่วงระหว่างการก่อสร้างโครงการฯ และจะเพิ่มความคุ้มครองเป็น 40 ล้านบาทต่อปี เมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จและโอนสิทธิการเช่าสำเร็จ พร้อมให้ความคุ้มครองการรักษามะเร็งแบบตรงจุด (Targeted Therapy) การวินิจฉัยโรคแบบ MRI หรือ CT Scan แบบผู้ป่วยนอก (OPD) คุ้มครองการพักรักษาตัวห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) นาน 365 วัน แบบจ่ายตามจริง พื้นที่ความคุ้มครองเฉพาะในประเทศไทย นอกจากนี้ ลูกค้าโครงการ ดิ แอสเพน ทรี ที่ได้รับความคุ้มครองสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” ยังได้รับที่สุดของการบริการ MTL Smile Service ให้คุณคุ้มค่ามากกว่าแค่คุ้มครองที่สามารถตอบโจทย์ด้านการบริการในทุกไลฟ์สไตล์, บริการฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง, ส่วนลดพิเศษและสิทธิ์ในการใช้บริการคลินิกสูงวัยที่ The Aspen Tree Health & Brain Center, สิทธิ์ในการโอนย้ายไปยังที่พักอาศัยสำหรับการดูแลระยะยาวที่ The Aspen Tree Health & Brain Center, สามารถเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าได้ (ยกเว้นค่ารักษาพยาบาลเกี่ยวกับการศัลยกรรมตกแต่งหรือเสริมความงาม)

 

กิจกรรมในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ที่มีโปรแกรม กิจกรรมต่างๆ ช่วยดูแลในด้านสมอง สุขภาพ และการออกกำลังกาย, สิทธิ์ในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและการเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการในคลับเฮ้าส์ภายในโครงการ และกิจกรรมใน The Aspen Tree Community ที่จะถูกจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆ

 

บริการเสริมด้านต่างๆ อาทิ บริการทำความสะอาดรายสัปดาห์, บริการอาหารเช้าฟรีที่ห้องอาหาร All-Day Restaurant ตลอดการอยู่อาศัย, บริการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง, บริการจอดรถ, บริการรถบักกี้, บริการรถรับส่งทุกวัน และบริการดูแลสถานที่และตกแต่งภูมิทัศน์ (ฟรีค่าส่วนกลาง)

 

และเพื่อความสมบูรณ์แบบทุกการการอยู่อาศัย รวมไปถึงการพักผ่อน ทางโครงการฯ จึงออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง ในชื่อว่า WELLNESS CLUBHOUSE & FACILITIES พร้อมให้บริการที่ครอบคลุมทุกกิจกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย และจิตใจให้กับผู้อยู่อาศัย อาทิ สระว่ายน้ำในร่ม, สระว่ายน้ำกลางแจ้ง, ฟิตเนสและสตูดิโอโยคะ, ห้องอเนกประสงค์, ห้องกิจกรรมทางศิลปะและงานฝีมือ, ห้องดูหนัง, พื้นที่จัดกิจกรรมกลางแจ้ง, คลินิคเฉพาะทางผู้สูงวัย ฯลฯ

ไม่เพียงเท่านั้น ดิ แอสเพน ทรี ยังมอบรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างอิสระให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมด้วยการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยผู้อยู่อาศัยสามารถมั่นใจได้ถึงความสะดวกสบาย ความอุ่นใจ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมถึงศูนย์ดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย ภายในโครงการ ไปกับ Health & Brain Center ที่เป็นศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงวัย ตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านสุขภาพกาย ใจ และสมอง ภายใต้รูปแบบการดูแลที่ทันสมัย พร้อมด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว และอุ่นใจด้วยการดูแลและใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด อย่างถูกต้องตามหลักการดูแลผู้สูงวัย และที่ Health & Brain Center ยังมีบริการทางด้านการดูแลผู้สูงวัยรายวัน ด้านสมองและความจำ การฟื้นฟูสมรรถภาพแบบระยะสั้น พร้อมเป็นศูนย์ด้านผู้สูงวัยและศูนย์ดูแลแบบระยะยาว โดยมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญต่อการบริการ ด้วยมาตรฐานระดับโลก

ถามใจตัวเองดูว่า The Aspen Tree คือโครงการเดียวที่ช่วยเติมเต็ม Self-Actualization Needs ในวัยอิสระของคุณใช่หรือไม่?

ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอายุใกล้จะถึง 60 ปีแล้ว โดยที่ชีวิตที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมาแล้วทุกอย่าง มีชื่อเสียง มีเงินทองสะสมมากมาย อยากซื้อของแพง แบรนด์หรูก็ไหนก็ซื้อได้ ได้รับการยอมรับอย่างสูงในแวดวงสังคม ใช้ชีวิตอย่างโชกโชนในแบบดื่มด่ำเต็มที่ Enriched Experience มาแล้วทุกมิติ โดยที่รอบกายไม่ได้มีบุตรหลานมาคอยดูแลเอาใจใส่ ไม่มีพันธะอะไรใดๆให้ต้องสานต่อในแบบห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว…เชื่อแน่ว่าเมื่อถึงจุดๆหนึ่งบางคนก็อาจจะคิดครับว่าที่ผ่านมาเราเป็นคนใช้เงินซื้อความสุข ซื้อความปรารถนา หรือว่าเงินเป็นคนใช้เราซื้อความสุข เพื่อดับไฟปรารถนากันแน่ และสิ่งที่ใช้เงินซื้อมาทั้งหมดนั้น สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไงต่อเมื่อไม่มีเรา โดยที่สุขภาพร่างกายของเราก็ถูกบั่นทอนไปด้วยผลลัพธ์ที่มาจากการใช้เงินเพื่อซื้อประสบการณ์ในแบบที่คุณคิดว่า “ใช่”  สำหรับคุณในขณะนั้น อยากให้ลองสังเกตตัวเองดูง่ายๆครับว่าคุณเป็นคนที่มีบ้านและคอนโดหลายที่เยอะมากๆ ประเภทว่าเห็นอะไรก็ชอบ มีเงินก็ซื้อไปให้หมด แต่ยิ่งซื้อก็กลับยิ่งโหยหาสิ่งใหม่ และมองหลังที่ตัวเองถือครองอยู่เป็นเพียงแค่บ้านพัก หรือช่องทางในการกระจายทรัพย์สิน ที่ยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งกังวลว่าจะทำอย่างไรกับทรัพย์สินเหล่านั้นดีหรือไม่ ถ้าใช่ผมก็คิดว่าคุณน่าจะลองเปิดใจเข้ามารู้จักกับโครงกา The Aspen Tree ดูครับ

 

Abraham Maslow เคยกล่าวไว้ในทฤษฎีที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่าง Maslow’s Hierarchy of Needs ที่เชื่อว่ามนุษย์จะมีลำดับความต้องการแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ 1. Physiological Needs ความต้องการพื้นฐาน เช่น ปัจจัยสี่อย่าง อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย โดยในปัจจุบันอาจเพิ่มในเรื่องของอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนเข้ามา  2. Safety Needs ความต้องการด้านความปลอดภัย และความมั่นคงในชีวิต เช่น อยู่ในสังคมที่ปลอดภัยกว่า มีอาชีพการงาน สุขภาพ มีเงินออมเงินเก็บไว้เพื่อการลงทุนสำหรับอนาคต 3. Love and belonging Needs ความต้องการเป็นที่รักและเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ ได้รับการยอมรับเข้ากลุ่ม คบค้าสมาคมกับคนอื่นๆได้ และการมีครอบครัว 4. Esteem Needs ความต้องการมีคุณค่า เป็นที่ยอมรับนับถือ มีหน้าตาในสังคม สร้างสถานภาพทางสังคมของตัวเองให้สูงขึ้น  ต้องการความท้าทาย และบริการในแบบ Exclusive มากกว่าเดิม จนเกิดมาซึ่งอัตตา และ 5. Self-Actualization Needs ความปรารถนาที่จะสามารถเติมเต็มภายในตนเองได้อย่างสมบูรณ์ เป็นความต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพที่อยู่ลึกๆของตัวเองในแบบ Unmet Need ที่ต้องมองหาให้ลึกลงไปจากการทบทวนประสบการณ์ทั้งชีวิตที่ผ่านมา จนรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการที่ทำให้เรายังอยากจะอยู่บนโลกนี้อย่างมี Passion ต่อไปในอนาคตนั้นมีอะไรบ้าง

 

แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันผิดก็คือความต้องการเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นตามลำดับช่วงอายุ หรือตามลำดับของสิ่งที่ตัวเองได้มาแล้วจึงก้าวข้ามไปสู่ลำดับต่อไปในแบบ Step by Step ลัดขั้นตอนไม่ได้ ประมาณว่ายิ่งมีอายุมากขึ้นก็ยิ่งใกล้ Self – Actualization Needs โดยหารู้ไม่ว่าคนส่วนใหญ่ในโลก ใช้ชีวิตในแบบที่แม้กระทั่งตัวเองจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้วยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร และเราได้เคยทำสิ่งเหล่านี้มาแล้วหรือไม่ หรือบางคนก็ข้ามขั้นไปสู่การมีครอบครัวเลยทั้งๆที่ยังไม่ได้ Basic Needs อย่างพอเพียงเลยด้วยซ้ำ ซึ่งในความเป็นจริงก็คือความต้องการทั้ง 5 นั้นมันไม่ได้เรียงลำดับจากล่างสู่บนเสมอไปในชีวิตจริง แต่มันหมุนเวียนเป็นวงกลม เปลี่ยนผันวกกลับไปกลับมาตามกาลเวลาและตามสภาพจิตใจของแต่ละคนต่างหาก

 

สำหรับกรณีของโครงการ The Aspen Tree ผมคิดว่าเป็นโครงการที่พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์คนที่ไม่ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่บ้าน หรือเพื่อแสดงซึ่งสถานะ บารมีอันสูงส่งแต่อย่างใดครับ ถ้าเปรียบเทียบกับ Needs ก็คงจะเป็นในส่วนของ Self – Actualization Needs ของกลุ่มเป้าหมายที่มี Persona เป็นคนวัยอิสระ 50+ ตามที่ผมกล่าวไปแล้วด้านบน ที่ผ่านความสุขสมทุกอย่างมาจนหมดแล้ว อาจจะอยู่ตัวคนเดียว หรือมีคู่ครองแต่ไม่ได้มีลูกหลาน เป็นบุคคลิกประเภท Enriched Veteran, The Lone Browser, Mr. and Mrs. Independent ที่รู้จักตัวเองมาพอแล้ว ความสุขของชีวิตในวัยอิสระที่มองภาพไว้ก็คือ การมองหาความท้าทายใหม่ๆ กิจกรรมใหม่ๆสังคมใหม่ๆ เช่นเดียวกับการมีสุขภาพดี กลับคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อให้ได้มีชีวิตอันยืนยาวให้ได้ค้นพบความท้าทายใหม่ไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะไม่สามารถพบเจอได้จากสังคมแบบปกติ

หนังโฆษณาออนไลน์ของโครงการ The Aspen Tree ที่แสดงให้เห็นถึงการแหวกออกจากขนบของวิถีชีวิตผู้สูงวัยที่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับหมู่เพื่อนๆโดยการเอาแต่เล่าเรื่องเดิมๆ ไปสู่การเริ่มต้นสนุกกับชีวิตบทใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงการค้นพบสิ่งใหม่การท้าทายใหม่ๆที่ตอบโจทย์ Self Actualizers สำหรับผู้อยู่อาศัยในโครงการ The Aspen Tree

เคยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งมาขอทำ Depth Interview กับผมในเรื่องของโครงการ Wellness เพื่อผู้สูงอายุที่กำลังคิดที่จะพัฒนาอยู่ในแถบจังหวัดในภาคตะวันออกของประเทศไทยครับ ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่ในช่วง 5 ปีให้หลังมานี้จะมีดีเวลลอปเปอร์มากมายที่เกาะกระแสตามเทรนด์ และมูลค่าตลาดของผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มผู้สูงวัยที่มีสูงขึ้นทุกปี ด้วยการสร้างคอนโดเพื่อคนสูงวัย และพ่วงความเป็น Wellness เข้ามา เพื่อเปิดตลาดใหม่สำหรับกลุ่มเซกเมนท์นี้โดยเฉพาะ แต่สิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ควรจะต้องถามใจตัวเองให้ชัดๆก่อนที่จะเริ่มพัฒนาก็คือ คุณพัฒนาโครงการขึ้นมาเพื่อเปิดเซกเมนท์ใหม่จริงๆ หรือว่าพัฒนาขึ้นมาเพื่อเพิ่มจุดขายให้โครงการของคุณดูมีกิมมิคแตกต่างกว่าโครงการอื่นๆ ซึ่ง Logic ของสองข้อนี้ต่างกันมากครับ ถ้าคุณพัฒนาขึ้นมาเพื่อเปิดเซกเมนท์ใหม่เลย นั่นหมายถึงการเริ่มคิดจาก Outside In มองหา Pain & Gain ที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยที่ไม่ได้ตั้งต้นเริ่มจากการปักธงราคาขาย พร้อมกับคำนวณความเป็นไปได้ในเชิงผลกำไรขึ้นมาก่อน ในทางกลับกันหากคุณพัฒนาเพราะต้องการเพิ่มจุดขายใหม่ๆให้กับคอนโด ซึ่งก็เหมือนกับคอนโดส่วนใหญ่ที่มีในตลาด คือแค่ใส่ Key Message เพิ่ม จัดวางเลย์เอ้าท์ห้องใหม่ และไปหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในด้าน Wellness หรือดูแลผู้สูงวัยมาช่วยบริหารจัดการ สำหรับห้องบางห้อง โซนบางโซนที่เปิดขายอยู่แล้วขายไม่ได้ โดยที่ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดทั้งในเชิงวิถีชีวิต รูปแบบการซื้อขาย หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆเพื่อให้คนวัยอิสระเหล่านั้นเกิด Passion ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป สุดท้ายแล้วแทนที่จะเป็นโครงการที่เป็น Niche Market เพื่อคนสูงวัยจริงๆ แต่กลับกลายเป็น Bullshit Bingo ที่รวมเอาจุดขายทุก Bullet มาใส่เพื่อเหวี่ยงแหให้ Mass ที่สุดแทน

 

แต่หากว่าเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นเพื่อลงแข่งในเซกเมนท์ใหม่นี้จริงๆ ในมุมมองของผมมี Winning Strategy อยู่ 3 ข้อครับ คือ 1. ต้องสร้าง Physical Interaction ให้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้พักอาศัย 2. ทุกมิติของโครงการต้องอยู่ภายใต้องค์ประกอบของ Wellness & Health Concern และ 3. ต้องสร้าง Emotional Bonding ให้เกิดขึ้นใน Community นั้นๆ…คือต้องบอกว่าการพัฒนาโครงการเพื่อผู้อยู่อาศัยในวัยอิสระนั้นไม่ง่ายครับ เนื่องมาจากหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของทัศนคติของคนไทยส่วนใหญ่ที่มีต่อโครงการแนวนี้ ประมาณว่าคนที่ซื้อโครงการนี้ให้พ่อแม่อยู่คือคนอกตัญญู มองบุพการีเป็นภาระ ไม่ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า หรือคนที่อาศัยอยู่ในโครงการนี้คือคนที่ถูกสังคม และครอบครัวละเลย หรือจะเป็นในแง่ของรูปแบบการเป็นเจ้าของที่ทางดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่มักจะมองจากผลกำไร ที่ช่วยให้ Exit ง่ายๆเป็นหลัก ซึ่งการขายโครงการแบบนี้มันไม่สามารถใช้ Model ในแบบการขายคอนโดปกติได้ครับ ครั้นจะเป็นในรูปแบบให้เช่ามันก็ไม่มีความแตกต่างอะไรกับบรรดา Nursing Home ของเอกชน หรือบ้านพักคนชราของหน่วยงานภาครัฐ ที่เน้นราคาถูกและมอบ Benefit พื้นฐานที่ไม่ได้ Customized ตามความต้องการของคนอยู่ซะเป็นส่วนใหญ่ หรือจะเป็นในแง่ของการออกแบบเลย์เอาท์ ทั้งในห้องและพื้นที่ส่วนกลาง การเลือกใช้วัสดุที่ต้องบอกว่ามันเป็น Cost Plus สำหรับทุกดีเวลลอปเปอร์ที่ต้อง Bet ว่ามันคุ้มกันไหมที่จะเสี่ยง ดังนั้นการพัฒนาโครงการในรูปแบบนี้ Key ก็คือต้องทำยังไงก็ได้ให้กลุ่มผู้ที่จะมาเข้าอยู่นั้น รู้สึกได้ถึง Functional และ Emotional Benefits ด้วยตัวเอง จนเกิดมาเป็น Purchasing Trigger ที่ตัวคนอยู่เองเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่สร้างการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกหลาน เพื่อให้มาบอกพ่อแม่ต่ออีกทีนึง ลองจินตนาการภาพดูครับว่าถ้านึกถึงโครงการผู้สูงอายุในไทย คนส่วนใหญ่มักจะตีความออกมาเป็น Meaning ประมาณไหน จะเป็น อยู่เพื่อนับถอยหลังรอวันตายไปวันๆ หรือ อยู่เพราะลูกหลานมองว่าตัวเองเป็นภาระ หรือ อยู่เพราะรอบกายไม่เหลือใครให้เป็นที่พึ่งพิงได้อีกแล้ว หรือ อยู่เพราะเจ็บป่วยไม่สบายเป็นู้ป่วยรอติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแล หรือว่าจะเป็น โครงการที่เป็นตราบาปสำหรับลูกหลาน หรือดีหน่อยก็คือฉันอยากหาเพื่อนมีสังคมในช่วงบั้นปลาย ใช่ครับ โครงการเพื่อผู้สูงวัยไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ของหน่วยงานเอกชน มันมี Top of Mind แบบนั้นจริงๆ

 

แต่ถ้าเราพลิกมุมมองทัศนคติเหล่านี้ออกไปได้ ด้วยการพัฒนาโครงการที่ Customized มาแบบจริงจัง ลงลึกถึงรายละเอียดอาศัยความได้เปรียบของสภาพแวดล้อมโครงการที่เป็นเมืองมหัศจรรย์ในผืนป่ามา Synergy กัน และสื่อสารไปให้ตรงกลุ่มเป้าหมายว่า นี่คือโครงการที่ถ้าคุณได้เข้ามาอยู่แล้ว ชีวิตคุณจะยืนยาวและมีความสุขได้มากกว่าเดิม โดยที่คุณจะได้พบเจอกับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน และหากเจ็บป่วยขึ้นมาก็ Worry Free เพราะมีทั้งประกันสุขภาพวงเงินปีละ 40 ล้านบาท มีคนดูแล หากต้องนอนโรงพยาบาลก็มี Healthcare Center ให้นอนอยู่ข้างๆบ้านเลยพร้อม Service ที่ดีกว่าโรงพยาบาลทั่วไปอีก ผู้ติดตามจะเป็นลูกก็ได้อยู่ฟรีได้ 1 คนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือหากคุณอยู่ไม่ครบสัญญา 30 ปีทางโครงการก็มีเงินคืนให้ตามสัดส่วน แต่ถ้าอายุยืนอยู่เกินก็คืออยู่ฟรีไปตลอดทั้งชีวิตเลย จ่ายแค่ค่าน้ำ ค่าไฟนิดหน่อย…ผมว่าน่าจะมีผู้สูงวัยหลายคนทีเดียวล่ะครับที่เดินเข้าไปบอกลูกหลานของตัวเองว่าฉันอยากอยู่ที่นี่มาก เราเอาเงินที่เราเก็บมาอยู่ที่โครงการนี้ดีกว่า แกก็มาอยู่ด้วยกัน เผลอๆอยู่ยาวเกิน 30 ปีนี่ได้อยู่ฟรีไปจนตลอดชีวิตเลยนะ แต่หากอนาคตข้างหน้าหากฉันตายไปก่อน 30 ปีแกก็ยังมีโอกาสได้เงินคืน…เห็นไหมครับว่าพลิกจากอกตัญญู มากลายเป็นสุดยอดกตัญญูทันที เพราะนี่คือการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนที่เรารักอย่างแท้จริง จากคนสูงวัยที่เอาแต่นั่งเฉาอยู่กับบ้านที่ใหญ่โต แต่เวิ้งว้างไปด้วยปฎิสัมพันธ์ ก็จะกลายเป็นคนที่กระฉับกระเฉง ฟิตตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอเพื่อที่จะรอรับเพื่อนใหม่ กิจกรรมใหม่ๆในแต่ละวัน เป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ ไม่ใช่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ

 

ในส่วนของ Physical Interaction ที่ผมบอกในย่อหน้าที่แล้วนั้น คือต้องบอกอย่างนี้ครับ หลายๆโครงการมากเลยที่มองหาเทคโนโลยีอันทันสมัยมาเพื่อช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นพวก Virtual Fitness, Robotic, Tele Medicine หรือ VR Game แต่สิ่งเหล่านี้มันใช้กับกลุ่มตลาดคนวัยอิสระไม่ได้นะครับ เพราะว่าไอ้อุปกรณ์เหล่านี้มันผลิตขึ้นมาเพื่อเป็น Consumer Usage ผู้คนทั่วไปก็สามารถซื้อหามาใช้งานได้เองได้ในบ้านตัวเอง และถ้าสร้างโครงการแนวนี้ขึ้นมาแต่ไม่ได้มีครูฝึก ไม่ได้มีพี่เลี้ยง ไม่ได้มีหมอ พยาบาลมาคอยดูแล สร้างปฎิสัมพันธ์กันกับผู้อยู่อาศัยเลย ใครเค้าจะมาอยู่ครับ อยู่คอนโดปกติก็ทำได้แบบนี้ ไม่ได้แตกต่าง และในส่วนของ Emotional Bonding นี่สำคัญมากๆครับ เพราะในปัจจุบันนี้ คนวัยอิสระในประเทศไทยมากมายมักมองว่าตัวเองนั้น ไม่สามารถ Contribute อะไรเพื่อสังคมรอบข้างที่ตัวเองอยู่ได้ ทำได้แค่นั่งเฉยๆ หากิจกรรมทำไปวันๆ หรือออกไปเดินเล่นตามห้าง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันมาจากการที่สังคมไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มอบโอกาส หรือเปิดพื้นที่ให้เค้าได้รู้ว่าตัวเค้าเองก็สามารถทำงาน สร้างสรรค์อะไร เพื่อสังคม เพื่อคนหนุ่มสาวที่เป็นลูกหลานของเค้าได้ ซึ่งมันทำให้ผู้สูงวัยส่วนใหญ่รู้สึกด้อยค่า อยู่ไปก็เท่านั้น ซึ่งมันส่งผลต่อสภาพจิตใจและสภาพร่างกายค่อนข้างมาก การได้อยู่ท่ามกลางสังคมที่เปิดโอกาสให้คนสูงวัยได้ทำอะไรในแบบที่คนหนุ่มสาวทำกันนี่มันดีต่อใจมากครับ ยกตัวอย่างเช่น ไม่แน่ว่าในอนาคตที่ The Forestias อาจจะมีการจัดกิจกรรมตามงานเทศกาลต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้สูงวัยทั้งหลายใน The Aspen Tree ได้แสดงฝีมือมาอวดคนรุ่นหลานบ้าง ไม่ว่าจะเป็น บาริสต้าวัยเก๋า นักจัดสวนรุ่นเดอะ หรือสุดยอดเชฟวัยทอง ที่สามารถนำสินค้าและบริการของตัวเองมาจัดแสดง หรือขายให้กับคนอื่นๆได้ นับว่าเป็นการสร้าง Working Community ของคนวัยอิสระบนสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีที่สุดของประเทศไทยเลยทีเดียว

 

สำหรับใครที่มองถึงราคาและความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อ Condo Freehold เป็นหลัก ก็ต้องบอกว่า ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 28 ล้านบาท อยู่ได้ตลอดชีวิตนับตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป (หากอยู่เกิน 30 ปีจะได้อยู่ฟรี เสียแค่ค่าน้ำค่าไฟ และค่ากิจกรรมต่างๆเท่านั้น) สำหรับห้อง 1 ห้องนอนขนาด 83 ตรม. รวมค่าบริการ ทำความสะอาด อาหารเช้าทั้งหมด โดยผู้ติดตามไม่มีค่าใช้จ่าย และต้องจ่ายครั้งเดียวในวันทำสัญญาเข้าอยู่ โดยขายสิทธิหรือปล่อยเช่าไม่ได้ มองดูเผินๆอาจจะดูเหมือนว่าแพงมากครับ เพราะหารเฉลี่ยต่อตรม.ก็คือ 337,349 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาเดียวกับ Super Luxury คอนโดใจกลางเมืองเลย แต่อย่าลืมว่าราคานี้คือ All Inclusive แล้ว ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าส่วนกลาง ทำความสะอาด และค่าใช้จ่ายรายเดือนอะไรเพิ่มอีก ถ้าคิดง่ายๆแค่ค่าส่วนกลางสำหรับคอนโด Super Luxury ก็อาจจะตารางเมตรละ 120 บาท เอาไปคูณ 83 ตรม.ก็จะเท่ากับ เดือนละ 9,960 บาท บวกกับค่าแม่บ้านและคนดูแลอีกเดือนละ 20,000 บาท อาหารเช้าอีกเดือนละ 15,000 บาท ก็เป็นเดือนละ 44,960 บาทแล้ว หากต้องผ่อนแบงค์สำหรับค่าห้องสัก 16 ล้านบาท (83 x 200,000) ก็จะเป็นราวๆเดือนละแสนบาท ยังไม่รวมดอกเบี้ยที่หากผ่อนจนครบระยะเวลาก็เผลอๆกลายเป็น 32 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าซ่อมโน้นนี่นั่นวุ่นวายปวดหัวจิปาถะมากมายในแต่ละปี ยิ่งเราเอามาเปรียบเทียบแบบหารเป็นรายเดือนก็จะพบว่า The Aspen Tree ราคา 28 ล้านบาท ก็จะตกจ่ายแค่เดือนละแค่ 77,777 บาทเองอ่ะ (คิดที่ 30 ปี) แถมถ้าอยู่ไม่ถึงก็มีคืนเงินให้อีก และที่สำคัญคือคนอยู่ยังได้รับความคุ้มครองสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมการเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง โรคทั่วไป และโรคระบาด รวมทั้งอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุด 20 ล้านบาทต่อปี โดยเริ่มให้ตั้งแต่หลังเซ็นสัญญา ในช่วงระหว่างการก่อสร้างโครงการฯ และจะเพิ่มความคุ้มครองเป็น 40 ล้านบาท ต่อปี เมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จและโอนสิทธิการเช่าสำเร็จ โดยมีความคุ้มครองยาวนานถึงอายุ 99 ปี…คือประกันนี้ผมลองไปดูรายละเอียดที่คือ Cover เยอะมาก จ่ายให้หนักมาก โดยเบี้ยต่อปี (จะคำนวณตามอายุของผู้เอาประกันภัย ณ วันต่ออายุสัญญาเพิ่มเติม) สำหรับความคุ้มครอง 40 ล้านบาท นี่คือเริ่มปีละ 34,675 (แปรผันตามอายุ) เลยนะครับ ถ้าเกิน 60 ปีนี่มีเป็นแสน แต่ที่ The Aspen Tree นี่เค้ามาให้ฟรีๆเลย

ด้วยเหตุผลที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ก็เชื่อว่าจำนวนยูนิตทั้ง 290 ยูนิตของที่นี่ จะมีคนเข้าอยู่เต็มทั้งหมดในทันทีที่โครงการพร้อมอยู่ครับ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่มองว่ายังไงก็คุ้มก็คือกลุ่มคนต่างชาติวัยเกษียณที่ตั้งเป้ามาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทย เพราะด้วยชื่อชั้นของ เบย์เครสต์ โกลบอล โซลูชั่น (Baycrest Global Solutions) องค์กรจากประเทศแคนาดาที่มีประสบการณ์มากกว่า 100 ปี และเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านการพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ที่มาบริหารโครงการให้นี่ยังไงก็การันตีได้ถึงความเป็นมืออาชีพ Trusted Brand ในราคาที่ค่อนข้างถูกกว่าการไปใช้ชีวิตแบบเดียวกันที่ต่างประเทศครับ ยิ่งโครงการเป็นแบบ Leasehold ก็ยิ่งไม่มี Barrier ใดๆในการซื้อเลย ผมเชื่อว่ามี Waiting List ยาวแน่นอน เพราะคนที่อยู่ที่นี่ก็มีแนวโน้มที่จะมีอายุที่ยืนยาวกว่าการเผชิญสภาวะภายนอกโครงการจริงๆครับ

 

มีโครงการอะไรอีกในเดอะ ฟอเรสเทียส์

โดยในอนาคตโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ในฐานะที่เป็นโครงการเมืองแห่งแรกของโลกที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น จะกลายเป็น City within City แห่งใหม่ในย่านบางนา ที่ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสของจริงได้แม้ไม่ใช่ลูกบ้าน เพราะรวมเอาสิ่งความสะดวกเข้ามาไว้ในโครงการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่, สำนักงาน, สปอร์ตคอมเพล็กซ์, พื้นที่สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ, ร้านค้าปลีก, ร้านอาหาร และคาเฟ่ ในโครงการฟอเรสเทียส์ยังประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ ทั้งคอนโดมิเนียม ที่พักอาศัยแบบวิลล่า รวมถึงโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น วิสซ์ดอม, มัลเบอร์รี โกรฟ, มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า, ดิ แอสเพน ทรี และซิกส์เซนส์

วิสซ์ดอม (Whizdom) คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “feel the wild” ระดับ High-Rise จำนวน 3 อาคาร เดสติเนีย 50 ชั้น/มายโทเปีย 42 ชั้น/เพทโทเปีย 43 ชั้น รวม 1,119 ยูนิต บนที่ดิน 8-0-86.1 ไร่

โดยอาคารที่น่าสนใจที่สุดคือ Whizdom The Forestias – Petopia ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแห่งแรกในประเทศไทย ที่ทำการศึกษาวิจัยอย่างรอบด้าน ออกแบบทุกรายละเอียด และทุกมิติ ในโครงการ สภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตในทุกวัน เพื่อคนที่รักและชื่นชอบสัตว์เลี้ยง ให้สามารถอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย โดยจะอนุญาตเลี้ยงสัตว์ได้ไม่เกิน 2 ตัว และมีน้ำหนักต่อตัวไม่เกิน 25 กก.

พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับทั้งผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สนามหญ้าเอนกประสงค์ ประกอบด้วยทางเดินยาวกว่า 150 เมตร โอบล้อมไปด้วยพื้นที่ธรรมชาติ ให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงแสนรักได้ใช้เวลาทำกิจกรรมด้วยกันอย่างมีความสุข มีพื้นที่น้ำดื่มและพื้นที่ขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง ติดตั้งระหว่างทางเดิน มีการเลือกใช้วัสดุพิเศษภายในบริเวณล็อบบี้ ที่ป้องกันรอยขีดข่วนและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย และมีการติดตั้งประตูสองชั้น เพื่อความปลอดภัยและป้องกันสัตว์เลี้ยงออกไปบริเวณ drop-off นอกจากนั้นยังมีบริการพิเศษรับฝากสัตว์เลี้ยง หรือ Pet Day Care (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ที่สะดวกสบายอยู่บริเวณล็อบบี้ของโครงการ

ประกอบด้วยห้องพัก 6 แบบ ได้แก่ ห้องแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 35-43 ตารางเมตร ที่ได้รับการออกแบบภายในมาเป็นอย่างดี เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องครัวแบบปิด ที่เกี่ยวสายจูงสัตว์เลี้ยง ที่เก็บอุปกรณ์ต่างๆ ช่องประตู (Wicket Door) และกรงสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างระเบียงและห้องนั่งเล่น ให้อิสระกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างเต็มที่ ห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 58-78 ตารางเมตร ห้องแบบ 3 ห้องนอน ขนาด 98 ตารางเมตร ห้องดูเพล็กซ์ ขนาด 60-163 ตารางเมตร และห้องเพนต์เฮาส์ ขนาด 154-205 ตารางเมตร ที่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัวใหม่และครอบครัวขนาดกลางที่มีสัตว์เลี้ยง โดยพื้นที่ภายในจัดสรรขนาดมาอย่างลงตัว พร้อมด้วยผนังห้องสองชั้นหนาถึง 25 เซนติเมตร กั้นระหว่างห้องที่สามารถป้องกันเสียงรบกวนจากทั้งด้านในและด้านนอก เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวต่อทั้งผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง

ให้กรงด้านนอก

พร้อมช่องสำหรับเดินเข้า-ออก ของสัตว์เลี้ยง

ห้องน้ำติดตั้งฝักบัวอาบน้ำสำหรับสัตว์เลี้ยงให้ด้วย

เครื่องเป่าขนสัตว์เลี้ยง ที่ทางโครงการนำมาติดตั้งให้ลูกบ้านได้ใช้ฟรี

มัลเบอร์รี โกรฟ (Mulberry Grove) เป็น Super Luxury คอนโดมิเนียมแบบ Low-Rise จำนวน 269 ยูนิต ตั้งแต่ขนาด 1-4 ห้องนอน ขนาด 63 – 1027 ตร.ม. รู้สึกเหมือนอยู่บ้านด้วยดีไซน์ Home-Liked Space ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยการแยกผนังของที่พักอาศัยแต่ละยูนิต และแยกกันด้วยทางเดินโล่ง ออกแบบงานสถาปัยตกรรมโดย Foster + Partners Thailand ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 260,000 บาท

เพิ่มสัดส่วนพื้นที่ใช้สอยเหมือนชานหน้าบ้านกับ Porch Area สำหรับการเก็บสัมภาระ มียังมีช่องอากาศด้านบน ที่ลมด้านนอกพัดเข้าห้องได้ตลอด ทำให้อากาศภายในห้องถ่ายเทได้สะดวกโดยไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ

แบบ 3 ห้องนอน มีห้องอ่างอาบน้ำให้แบบห้องตัวอย่าง

มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า (Mulberry Grove Villas) บ้านเดี่ยวจำนวน 37 หลัง บ้านทั้งหมด 3 แบบ คือ ROSEBERRY 4 BEDROOM 11 ยูนิต ที่ดิน 140 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 1,203 ตร.ม., VISIONBERRY 5 BEDROOM 20 ยูนิต ที่ดิน 165 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 1,246 ตร.ม. และ LEGENDBERRY 6 BEDROOM 6 ยูนิต ที่ดิน 210 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 1,724 ตร.ม. บนที่ดิน 26-0-77.75 ไร่ เชื่อมถึงกันได้ด้วยทางเดินพิเศษ ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ให้สามารถใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด

ซิกส์เซนส์ (Six Senses Residences) วิลล่าระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ จำนวน 27 หลัง ที่บริหารและจัดการโดย Six Senses แบรนด์เซอร์วิส ระดับโลก และยังมี ซิกส์เซนส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงอีกด้วย

มาถึงตรงนี้เชื่อแน่ว่าคนที่ไม่อินกับโครงการหลายๆคนก็น่าจะยังคงตั้งคำถามว่า บางนา จังหวัดสมุทรปราการ ตรงนี้เนี้ยนะ จะขายคอนโดตารางเมตรละสอง – สามแสน และจะขายบ้านเดี่ยวราคาหลายร้อยล้านบาท ใครจะมาซื้อ สู้ไปซื้อในใจกลางเมืองที่ทำเลดีกว่าเยอะไม่ดีกว่าเหรอ…สำหรับผมแล้วโครงการ The Forestias น่าจะเป็นโครงการที่ในประเภทที่เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติเหนือกว่าเพียงพอที่จะยกระดับศักยภาพของย่านนั้นๆครับ จะเป็นทำเลบางนา หรือทำเลไหนๆในกรุงเทพ ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญเลยสำหรับ The Forestias นั่นเพราะตัวโครงการเองได้พัฒนาจนก้าวข้ามนิยามโดยปกติของทำเลทีดีไปแล้ว เพราะนี่คือเมืองธรรมชาตินสมบูรณ์แบบที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

การสร้างย่านใหม่ในแบบ Re-Development แบบนี้ เป็นสิ่งที่ทาง MQDC ถนัด ทำได้ดีมาก และทุ่มทุนพัฒนามาตลอดไล่ตั้งแต่ Whizdom 101 ที่มี True Digital เป็น Magnet Landmark ที่ใหญ่ที่สุดของย่านปุณณวิถี หรือจะเป็น Magnolia Waterfront Residences & The Residences at MO Bangkok ที่มี ICONSIAM เป็นหมุดหมายแห่งใหม่ของการเดินทางของคนทั่วโลก

 

ด้วยมูลค่าโครงการที่สูงที่สุดในประเทศไทย และมี Attributes & Benefits ที่สร้างมาเพื่อให้เป็นเมืองในอุดมคติที่มีระบบนิเวศน์อันสมบูรณ์แบบ เป็นปราการธรรมชาติในแบบที่มนุษย์สร้างขึ้น และจะคงอยู่ถาวรตลอดไป แตกต่างจากสิ่งปลูกสร้างอื่นๆที่จะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ผมขอคาดเดาอนาคตไว้เลยว่าเมื่อโครงการ The Forestias สร้างเสร็จโดยสมบูรณ์ ที่นี่จะถูกขนานนามว่าเป็น ย่านที่เจ๋งที่สุดในโลกจากบรรดาสื่อต่างชาติหลายๆสำนัก และจะมีคนทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาศึกษา ดูงาน ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ และถวิลหาที่จะเข้ามาพักอาศัยในย่านนี้ จนชื่อ The Forestias กลายเป็น Generic Name ที่จะมาแทนที่คำว่าย่านบางนา ไปเลยครับ

 

แพงหรือไม่แพงอยู่ที่ว่าคนซื้อมองเห็นคุณค่าในแบบไหน สินค้าที่เราคิดว่าแพงหลายๆอย่างในความเป็นจริง กลับขายดีจนหมด นั่นเป็นเพราะว่ามีความชัดเจนในกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่จริง โดยที่ตัวเราก็อาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเค้า และขนาดห้องจะใหญ่หรือเล็กก็เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญเลย เพราะลำพังแค่สภาพอากาศและระบบนิเวศน์สมบูรณ์แบบที่อยู่ภายในโครงการคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวิถีชีวิตในแบบ For All Well Being ล่ะครับ

 

ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ

https://mqdc.com/index.php/well-being/654/the-forestias-mega-project

https://www.mqdc.com/discover-project/theforestias/

‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ ยอดขายเพิ่มสองเท่า ใน 3 เดือน ทะลุ 13,000 ล้านบาท

เปิดขายอย่างเป็นทางการแล้วเสาร์นี้! ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์การอยู่อาศัยในเมืองแห่งความสุขผ่าน 11 ห้องตัวอย่างจาก 3 โครงการที่อยู่อาศัย

แฮปปี้กันถ้วนหน้าทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยง! ที่ “Whizdom The Forestias – Petopia” คอนโดหนึ่งเดียวในไทยที่ออกแบบทุกรายละเอียดเพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง เปิดขายแล้ว 6-7 พย.นี้

เกริก บุณยโยธิน

เกริก บุณยโยธิน

ผู้ก่อตั้งเวปไซต์แบ่งปันความรู้ด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์ในวงการอสังหาฯ พร็อพฮอลิค ดอทคอม..หลังจากที่ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการวนเวียน เข้าๆออกๆ ในสายงานด้านการตลาด และวางแผนกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ของบริษัทอสังหาฯ และเอเยนซีโฆษณาชั้นนำหลายแห่ง (โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องจับสลากเจอลูกค้าสายอสังหาฯทุกที)...จนถูกครอบงำโดยจิตใต้สำนึก ให้ถีบตัวเองออกจากกรอบการทำงานแบบเดิมๆ เพื่อออกมาจุดประกายความคิดที่ถูกต้อง และนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ให้กับกลุ่มคนที่สนใจในธุรกิจอสังหาฯ

เว็บไซต์

ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร

โซลเลซ พหลฯ-ประดิพัทธ์

นิว เวิร์ส กรุงเทพกรีฑา

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม...

28 February, 2024

นิว ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น

ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านมาพบกับโครงการคอนโดพร้อมอ...

30 January, 2024

ริธึ่ม เจริญนคร ไอคอนิค

วันนี้จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมสุดฮอตชื่อโ...

29 January, 2024

วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน

Whizdom Craftz Samyan คือโครงการที่มอบ 5 องค์ประกอบพ...

4 December, 2023

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง