สรุปประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2024
อีกไม่นานก็จะถึงปีเปลี่ยนผ่าน จากปี 2024 เข้าปี 2025 แล้ว เวลาในแต่ละวันช่างเดินไวจริงๆ ใครทำตามแพลนปีนี้ของตัวเองครบแล้วบ้าง? แต่ต้องบอกเลยว่าประเทศไทยในปีนี้ก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายให้เราได้ติดตามข่าวกันไม่เว้นวัน บางเหตุการณ์ลากยาวหลายวันหลายสัปดาห์ให้ดูกันฉ่ำๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการเมือง เศรษฐกิจ บันเทิง หรือแม้กระทั่งวงการอสังหาฯ เราเองก็ไม่น้อยหน้า มาคราวนี้เราจะพาไปตามกับประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2024 ว่ามีอะไรกันบ้าง จะเด็ดแค่ไหน เริ่มกันเลย…
Image Credit from www.freepik.com : 1 2 3 4
1. เหล่า Pet Parents คิดหนัก เมื่อ กทม. เตรียมออก ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์
ที่มีการควบคุมการเลี้ยงสุนัขและแมว โดยให้ กทม. เป็นเขตห้ามเลี้ยงสุนัขและแมว เกินจำนวนที่กำหนดเช่น พื้นที่อาคารชุดหรือห้องเช่า ตั้งแต่ 20-80 ตารางเมตรขึ้นไป เลี้ยงได้ไม่เกิน 1 ตัว หากเกิน เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว และเนื้อที่ดิน ไม่เกิน 20 ตร.วา เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว เนื้อที่ดิน 20-50 ตร.วา เลี้ยงได้ไม่เกิน 3 ตัว เนื้อที่ดิน 50-100 ตร.วา เลี้ยงได้ไม่เกิน 4 ตัว เนื้อที่ดิน 100 ตร.วา ขึ้นไป เลี้ยงได้ไม่เกิน 6 ตัว
โดยเจ้าของต้องนำสัตว์เลี้ยงไปทำเครื่องหมายระบุตัวอย่างถาวร จะมีการใช้ข้อบังคับให้สุนัขและแมวต้องมีการฝังไมโครชิป เพื่อให้ทราบเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ต้องดูแลรับผิดชอบอีกด้วย ซึ่งจะลดและแก้ปัญหาสัตว์เลี้ยงสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่นโดยการฝังไมโครชิฟตามมาตรฐานที่ กทม. กำหนด พร้อมนำใบรับรอง ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุขสำนักอนามัยหรือสำนักงานได้เลย
ซึ่งข้อบัญญัติในเรื่องการควบคุมการเลี้ยงนั้น เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่จะทำให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงตามหากันเจอ เมื่อมีสัตว์หลงหาย ทั้งยังสามารถควบคุมการเลี้ยงและดูแลสัตว์ในปกครองได้อย่างทั่วถึง เพราะมีข้อบังคับให้พื้นที่ห้องหรือพื้นที่บ้านขนาดเท่าไหร่ให้เลี้ยงสัตว์ได้กี่ตัว แต่ในอีกหนึ่งด้านก็คือ คนรักสัตว์ที่มีสัตว์เลี้ยงในปกครองเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีพื้นที่บ้านหรือห้องที่ไม่สอดคล้องกับที่ข้อบัญญัติกำหนด ก็อาจจะไม่ได้รับความร่วมมือในเรื่องนี้มากนัก และยังถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เนื่องจากสามารถดูแลสัตว์ที่เลี้ยงได้ทุกตัว รวมไปถึงในภาคอสังหาฯ ของเหล่าดีเวลลอปเปอร์ที่ทำโครงการ แนว Pet Friendly และ Pet Allow ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อบัญญัติส่วนนี้ และนำไปแจ้งต่อลูกบ้านให้ได้เรียนรู้พร้อมทำความเข้าใจ ซึ่งอาจจะไม่กระทบต่อดีเวลลอปเปอร์มากนัก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียมก็มีข้อบังคับที่แจ้งต่อลูกบ้านว่าสามารถเลี้ยงสัตว์ได้กี่ตัวและมีน้ำหนักตามที่โครงการกำหนดนั่นเอง พร้อมทั้งยังช่วยลดปริมาณของสัตว์เลี้ยงถูกทิ้งให้เป็นสัตว์จรจัดได้อีกด้วยนะ
2. การลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายจาก 2.50% เป็น 2.25% ครั้งแรกในรอบ 4 ปีเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญช่วยให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยผลบวกเกิดขึ้นทันทีกับผู้ซื้อบ้าน ผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน ประหยัดค่างวดผ่อนทันทีล้านละ 2,000 กว่าบาทต่อปี
แต่แม้ดอกจะลดแต่ตลาดอสังหาฯ โดยรวมก็ยังไม่กระเตื้องทั้งยอดขาย และยอดโอน โดยจากข้อมูลของ LWS พบว่า “ปัญหาใหญ่ของภาคอสังหาฯ อยู่ที่สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Loan) ทำให้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 70% โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ผนวกกับสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อโครงการ (Project Finance) โดยมีข้อกำหนดว่าจะอนุมัติสินเชื่อโครงการเมื่อมียอดขายตั้งแต่ 30 – 50% ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ หลายโครงการเปิดตัวแล้วก็ชะลอหรือยกเลิกการเปิดตัวโครงการไป ในขณะที่สินค้าคงเหลือที่มีอยู่ในระบบยังมีเพียงพอต่อการขาย ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายแห่งชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงเวลาที่เหลือของปี”
จึงอาจจะสรุปได้ว่าการลดดอกเบี้ยไม่ใช่ยาขนานที่ถูกต้องในการกระตุ้นตลาด เพราะปัจจัยสำคัญก็คือธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อสำหรับกลุ่มผู้เปราะบาง และกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนในอัตราสูง ในขณะที่กลุ่มที่มีศักยภาพในการผ่อน แต่มีบ้านอยู่แล้วหลายหลังได้ก็ติดกับดักของ LTV ที่ต้องใช้เงินก้อนมาจ่ายค่าดาวน์
3. การลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับอสังหาฯ ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ต่อสัญญา ทั้งมือ 1 และมือ 2 จนถึง 31 ธ.ค. 67
มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกมาเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ที่มีการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท เป็นการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมถึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จึงทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น เกือบ 10% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการโอนอาคารชุด ในขณะที่ที่อยู่อาศัยแนวราบลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้สัญญาณอสังหาฯ ปี 67 เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น
โดย ธอส. ฉายภาพปี 68 ว่า “ตลาดอสังหาฯ ปี 68 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.8-3 โดยปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และคาดว่าจะมีการต่ออายุมาตรการลดค่าโอน ซึ่งเรามองว่า ที่อยู่อาศัยระดับราคา 5-7 ล้านบาท มีดีมานด์ที่คนไทยต้องการ ขณะที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีการดูดซับไปเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ยังมีประเด็นเรื่อง LTV และหนี้ครัวเรือนที่อาจจะทำให้ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากกังวลเรื่องหนี้เสียที่จะเกิดขึ้นตามมา”
ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมาช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ แต่อาจจะติดตรงค่าโอนและจดจำนองที่มีราคาสูงเกินไป จนทำให้ชะลอการซื้อออกไปก่อน แต่เมื่อมีการลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ก็ทำให้คนกลุ่มนี้หันมาจับจองโครงการที่ได้เล็งไว้ก่อนหน้าที่อยู่ในระดับไม่เกิน 7 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่าโอนเกือบ 60,000 ล้านบาท หนุนตลาดคอนโดฯ ไตรมาส 3 ให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น
4. สะท้านวงการ อนันดาเปิดตัวโครงการ Porsche Design Tower ปักราคาขายตารางเมตรละล้าน!
โครงการ PORSCHE DESIGN TOWER BANGKOK ที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นการร่วมพัฒนากันระหว่างอนันดา และ PORSCHE บนช่วงต้นซอยสุขุมวิท 38 ภายใต้คอนเซปท์ “Tomorrow’s Living Dream” ซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 3 ของแบรนด์ PORSCHE ต่อจาก Porsche Design Tower Miami โดย Porsche เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติเยอรมัน ทำงานร่วมกับ Dezer Development ในการพัฒนาอาคารพักอาศัยแห่งแรก ที่ได้เปิดในปี 2017 เป็นรูปแบบอาคารสูง 60 ชั้น จำนวน 132 ยูนิต ประกอบไปด้วยลิฟท์จอดรถอัตโนมัติที่สามารถนำรถไปจอดในห้องพักอาศัยได้เลย และมาพร้อมกับบริการบำรุงรักษารถยนต์ขั้นพื้นฐาน เช่น เปลี่ยนยาง หรือการล้างรถ โดยสามารถจอดรถบน Sky Garages ได้ตั้งแต่ 2 – 11 คัน
แต่ละห้องชุดของโครงการ Branded Residence แห่งนี้ ได้ติดตั้งผนังกระจกเปิดออกสู่ระเบียง เปิด-ปิดอัตโนมัติเพียงแค่กดปุ่มสวิตช์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกลไก ‘คิเนติก มูฟ’ (Kinetic Move) ของระบบหลังคาคิเนติกในรถยนต์ปอร์เช่ รุ่น 911 ทาร์กา (Porsche 911 Targa) และการใช้งานแบบไฮบริด ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสลับใช้งานพื้นที่ภายนอกและภายในได้อย่างไม่มีสะดุด
ไม่เพียงเท่านั้น ภายในโครงการยังมีห้องแบบอัลตร้าลักชัวรีด้วยห้องพักสไตล์ ‘สกาย วิลล่า’ สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 22 ยูนิต มีให้เลือกทั้งแบบห้องดูเพล็กซ์พร้อมสระน้ำส่วนตัว และควอดเพล็กซ์สุดหรู พร้อมพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 525 ถึง 1,135 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 525 ล้านบาท) จนถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,400 ล้านบาท) พร้อมปักหมุดเริ่มก่อสร้างโครงการในปี พ.ศ. 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. 2571
ก่อนที่จะได้เข้าชมตึกจริงในอีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ตอนนี้มี Curvistan Bangkok ให้ชม อยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 38 ซึ่งเป็น Experiential Space ของแบรนด์ PORSCHE ที่พร้อมจะให้ Brand Follower ของ PORSCHE รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบรถและคนรักไลฟ์สไตล์เหมือนกัน เข้ามาสัมผัสประสบการณ์การผสมผสานอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผ่านบรรยากาศของคาเฟ่ บาร์ และการจัดแสดงแกลเลอรีอันน่าทึ่ง พร้อมข้อเสนอพิเศษของร้านค้าที่จะมอบให้คุณ โดย Sale Gallery พร้อมห้องตัวอย่างของโครงการนั้นกำลังสร้างอยู่ในช่วงท้ายซอยสุขุมวิท 38 ซึ่งน่าจะเปิดให้คนสนใจซื้อได้เข้าไปชมได้ในช่วงปีหน้า ส่วนใครที่เคยเห็นโครงการนี้จากต่างประเทศมาแล้วและรู้สึกชอบ อยากจะจับจองเป็นเจ้าของสักห้อง บอกได้เลยว่าโครงการนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กับที่ต่างประเทศเช่นกัน สาวก PORSCHE ห้ามพลาด
5. เริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีระยะทางรวม 35.9 กิโลเมตร 29 สถานี แบบ Heavy Rail ที่วิ่งเชื่อมต่อได้ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – บางขุนนนท์ และรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี และสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้อีก 8 สาย ให้คุณเดินทางได้รอบกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ โดยรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี ที่มีการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 100% มีแผนจะเปิดเดินรถได้ภายในปลายปี 2570 หรือต้นปี 2571 และจะช่วยหนุนตลาดที่อยู่อาศัยให้คึกคักขึ้น
ซึ่งการมาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก จะอยู่ตามแนวถนนรามคำแหงไปทั้งสาย ต่อเนื่องไปถึงถนนรามอินทรา และพื้นที่รอบๆ สถานีมีนบุรีซึ่งเป็นปลายทางของสายสีส้มและเป็นสถานีร่วมกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จึงทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากเข้าไปซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีที่ดินเหลือขายหรือที่ดินที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ที่ให้ลูกบ้านสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก เนื่องจากใกล้กับโครงการรถไฟฟ้าและยังสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ได้ทั่วกรุงเทพฯ
โดยเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกที่มีสถานี Interchange หลายสถานี ไม่ว่าจะเป็นสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ เชื่อมกับสายสีน้ำเงิน, สถานีวัดพระราม 9 เชื่อมกับ สายสีเทา, สถานีมีนบุรี เชื่อมกับ สายสีชมพู และสถานีแยกลำสาลี ที่เชื่อมได้ทั้งกับสายสีเหลืองและสายสีน้ำตาล ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับสูงขึ้น พร้อมทั้งมีผู้ประกอบการเข้ามาจับจองที่ดินพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อขยายความเจริญออกสู่นอกเมืองให้กรุงเทพฯ มีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ทำให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีความสะดวกในเรื่องของการเดินทางได้หลายเท่า ให้คนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นจากการขับรถยนต์ส่วนตัว และยังช่วยลดปัญหารถติดได้อีกด้วย
6. อุตสาหกรรมอสังหาขานรับหลักการ ESG ที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน
การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสีเขียวจะทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม แต่ยังต้องสร้างความตระหนักและความเข้าใจถึงความจำเป็นของที่อยู่อาศัยสีเขียวต่อกลุ่มผู้ซื้อในวงกว้าง ภายใต้ความท้าทายด้านต้นทุน และมาตรฐานรับรองในระดับสากล โดยไทยมีการนำแนวคิด ESG มาเป็นกรอบในการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย
ซึ่งในด้านของผู้ประกอบการคำนึงถึงการลดผลกระทบตั้งแต่จุดเริ่มต้น ผ่านการออกแบบและการก่อสร้างที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งการลดการเกิดของเสียและเริ่มใช้การก่อสร้างสำเร็จรูป ซึ่งสะท้อนถึงความแพร่หลายของการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการของเสีย และการใช้เทคโนโลยีทางการก่อสร้าง เมื่อถึงช่วงที่มีคนเข้าอยู่อาศัยแล้ว ผู้ประกอบการเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและน้ำ รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการอยู่อาศัย สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัย ตลอดจนการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับผู้อยู่อาศัยอีกด้วย
รวมไปถึงในเรื่องของสีทาบ้านก็ช่วยลดการใช้พลังงาน แก้ปัญหาค่าไฟแพง รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก ซึ่งจะเป็นสีแบบใหม่ ที่มีคุณสมบัติสามารถทำให้บ้านและอาคารเย็นลง มีความทนทานต่อรังสี UV ช่วยลดการใช้แอร์ภายในที่อยู่อาศัยได้ ตอบสนองนโยบาย Net Zero ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เครื่องไฟฟ้าตามที่อยู่อาศัยได้ พร้อมทั้งยังสามารถตอบโจทย์การสร้างอาคารแบบ Well-Being ได้ โดยแบรนด์ผู้ผลิตสีของไทย มีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Captain, TOA, Dulux, Beger และ Jorakay
ตัวอย่างของการทำโครงการแบบโลว์คาร์บอนแบบเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ที่ยังคงมุ่งมั่นความยั่งยืนกับการพัฒนาโครงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คอนโดของเสนาทุกโครงการจะเป็นโลว์คาร์บอน โดยมีการออกแบบบ้านให้ประหยัดการใช้พลังงาน ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานในทุกส่วน และใช้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Cell ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ควบคู่กับระบบ SMART ENERGY & ENVIRONMENT การใช้ EV Ready ช่วยกระตุ้นให้ลูกบ้านเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ในการเดินทางจะลด CO2 จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากการใช้น้ำมันของรถยนต์ได้ มีบริการการเดินทาง รับ – ส่ง ลูกบ้านด้วยรถ V MOVE พลังงานไฟฟ้า จากโครงการไปสู่จุดหมายปลายทาง เช่น สถานีรถไฟฟ้า และศูนย์การค้า ภายในโครงการมีต้นไม้เริ่มต้นประมาณ 50 ต้น ที่จะช่วยลด CO2 ได้ 500 KgCO2/ปี
ในการพัฒนาโครงการตามมาตรฐานรับรองที่อยู่อาศัยสีเขียว ต้องอาศัยจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ ผู้ประกอบการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้มีความเข้าใจถึงความจำเป็นของที่อยู่อาศัยสีเขียวต่อกลุ่มผู้ซื้อในวงกว้าง ควรผลักดันให้มีการนำมาตรฐานรับรองที่อยู่อาศัยสีเขียวมาปรับใช้ อาจจะสร้างแรงจูงใจจากการ ค่างวดผ่อนที่ไม่สูงมาก และสามารถซื้อหรือลงทุนโครงการดังกล่าวเพื่อนำไปช่วยลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้คนหันมาสนใจกับที่อยู่อาศัยสีเขียวมากขึ้น พร้อมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยสีเขียวยังได้ประโยชน์ต่อหลายฝ่ายอีกด้วย