คอนโดขายแบบ B2B เทรนด์ใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2025
https://unsplash.com/photos/a-very-tall-building-with-lots-of-windows-at-night-T5Z459WqwJI
ในปี 2025 ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมของไทยเริ่มเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน จากเดิมที่ผู้พัฒนาส่วนใหญ่เน้นการขายแบบรายยูนิตให้กับผู้บริโภคทั่วไป (B2C) กลับหันมาใช้โมเดล “ขายแบบ B2B” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายเหมาให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) บริษัทบริหารอสังหา นักลงทุนสถาบัน หรือแม้แต่ธุรกิจที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไว้ให้พนักงานพักอาศัย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกระแสแฟชั่น แต่สะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่กำลังปรับตัวและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในรอบทศวรรษ
เมื่อพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2025 จะพบว่าความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ให้เห็น เศรษฐกิจดูคลุมเครือไม่ชัดเจน มีทั้งแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาสินทรัพย์และราคาพลังงานที่ผันผวน และภาระหนี้ครัวเรือนในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยต่างประเมินว่าอัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปีนี้อยู่ที่ราว 2.5–3% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า สะท้อนว่ากำลังซื้อของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจึงเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
รายงานตลาดคอนโดจาก Colliers Thailand ในไตรมาสสองของปี 2025 ยังระบุว่า การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลลดลงจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่อัตราการดูดซับ (take-up rate) ของโครงการที่เปิดขายแล้วยังอยู่ในระดับต่ำ นั่นหมายความว่าการขายให้ลูกค้ารายย่อยไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดกลับมาได้เร็วพอสำหรับผู้พัฒนาโครงการที่มีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง การปรับกลยุทธ์มาขายแบบ B2B จึงกลายเป็นทางออกที่จับต้องได้มากกว่า เพราะเป็นการปิดการขายล็อตใหญ่ภายในเวลาอันสั้น ทำให้สามารถคืนเงินทุนหมุนเวียนและลดภาระดอกเบี้ยลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของผู้ซื้อจากสถาบัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจบริหารจัดการที่พักอย่างโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งต้องการสินทรัพย์ใหม่เข้าพอร์ตเพื่อสร้างรายได้ประจำในรูปแบบค่าเช่า โดยเฉพาะในทำเลเมืองใหญ่หรือย่านที่มีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยสูง เช่น ย่านธุรกิจหรือพื้นที่ใกล้รถไฟฟ้า ผู้พัฒนาโครงการจึงเริ่มหันมาทำข้อตกลงแบบขายเหมาทั้งอาคารหรือทั้งชั้นให้กับผู้ประกอบการที่สามารถบริหารจัดการต่อได้ทันที เช่น บริษัทบริหารเช่าระยะยาว ระยะสั้น โครงการ Co-living หรือแม้แต่เครือโรงแรมระดับกลางที่ต้องการขยายสาขา การขายในลักษณะนี้นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของผู้พัฒนาแล้ว ยังช่วยสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจบริการให้เติบโตไปพร้อมกัน




