หมดปัญหากล่องล้นส่วนกลาง ด้วยเทคนิคการจัดการรับ-ส่งพัสดุในคอนโด อย่างชาญฉลาด
เมื่อคอนโดหรูไม่ได้ถูกตัดสินแค่รูปลักษณ์ภายนอก
คอนโดมิเนียมที่ใช้วัสดุคุณภาพสูงและตกแต่งอย่างสวยงามอาจสร้างความประทับใจได้ในแวบแรก แต่ความหรูหราอย่างแท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว หากระบบบริการและการจัดการภายในไม่เป็นระบบ ก่อให้เกิดความล่าช้าหรือความไม่สะดวกในการอยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้าน คอนโด high-end จึงไม่ควรถูกวัดแค่จากสถาปัตยกรรมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ต้องรวมถึง มาตรฐานด้านบริการ (Luxury-in-Service) ที่ครอบคลุมรายละเอียดเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการพัสดุ ความสะดวกในการรับบริการ หรือกระบวนการบริหารจัดการที่ทำให้การอยู่อาศัยราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เมื่อองค์ประกอบทั้งด้านกายภาพและการบริการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ นั่นจึงจะสะท้อนความหมายของการเป็นคอนโด high-end อย่างแท้จริง
ห้องพัสดุ กลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิด
ในยุคที่การสั่งของออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ห้องรับพัสดุของคอนโดมิเนียมไม่ได้เป็นเพียง “ห้องเล็ก ๆ” อีกต่อไป แต่เป็นเสมือน infrastructure โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สะท้อนคุณภาพการออกแบบและสื่อถึงระดับมาตรฐานการบริหารจัดการของโครงการนั้น ๆ ได้เลย ดังนั้นคอนโดจะหรูหรือไม่นั้น คะแนนเกณฑ์การบริหารจัดการพัสดุก็ถูกนับเข้าไปด้วย
ลองพิจารณาสถิติจริงๆ จากคอนโดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวน 1,600 ห้อง พบว่ามีการรับพัสดุเฉลี่ย 11,000 ชิ้นต่อเดือน!! นี่คือจำนวนขั้นต่ำในเดือนที่ยังไม่มีมหกรรมลดราคาหนัก ๆ จากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ ๆ หากถึงช่วงโปรโมชั่น ตัวเลขดังกล่าวอาจพุ่งสูงขึ้นอีกหลายเท่า การออกแบบห้องรับพัสดุจึงไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้
บริหารพัสดุ กิจกรรมเบื้องหลังที่ผู้อยู่อาศัยไม่ค่อยเห็น
กว่าพัสดุหนึ่งชิ้นจะไปถึงมือเจ้าของ มีขั้นตอนเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย
1. พนักงานขนส่งนำของจากรถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์มาใส่รถเข็น (ต้องมีที่จอดรถสำหรับรถกระบะทึบสูง)
2. เข็นรถเข็นมาที่ห้องรับพัสดุ (ต้องมี slope ของเส้นทางขนส่ง)
3. เจ้าหน้าที่นิติบุคคลยิงบาร์โค้ดบันทึกเข้าระบบแอปพลิเคชัน (ต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับรับพัสดุขาเข้า และต้องมีแอปพลิเคชันสำหรับติดตามดูการรับพัสดุ)
4. จัดเก็บไว้ในพื้นที่หรือชั้นวางที่สามารถหยิบมอบให้ลูกบ้านได้สะดวก (ต้องมีพื้นที่สำหรับชั้นวางของ)
ขั้นตอนเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ วันละหลายรอบ หากห้องรับพัสดุคับแคบหรือออกแบบไม่ดี ย่อมก่อให้เกิดความวุ่นวายทั้งกับเจ้าหน้าที่และลูกบ้าน
จำนวนยูนิตของคอนโดและวิธีรับพัสดุที่เหมาะสม
วิธีการบริหารห้องพัสดุแตกต่างกันไปตามขนาดโครงการ เช่น คอนโดขนาดเล็ก (ไม่เกิน 200–300 ห้อง) อาจจะใช้แนวทาง Self-service ลูกบ้านสามารถเข้ามาหยิบพัสดุเองได้โดยตรง เหมาะกับปริมาณพัสดุที่ไม่มากและความเสี่ยงในการสูญหายต่ำ
คอนโดขนาดใหญ่ (เกิน 300 ห้อง) ควรมีเจ้าหน้าที่เป็นผู้หยิบให้ เพื่อป้องกันปัญหาของหายและการร้องเรียน
การจัดสรรพื้นที่ห้องพัสดุในคอนโดใหญ่ควรมีพื้นที่มากพอ ไม่ควรเบียดอยู่ในห้องทำงานของนิติบุคคล เพราะจะรบกวนการทำงานเอกสารและสร้างบรรยากาศที่วุ่นวาย และควรมีระบบปฏิบัติการและตัวช่วยเพื่อบริหารจัดการพัสดุอย่างมีมาตรฐานสูง
ประเด็นที่ลูกบ้านควรถามก่อนซื้อคอนโด
หลายครั้งเวลาเลือกซื้อคอนโด ผู้ซื้อมักโฟกัสที่ทำเล ฟังก์ชันห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกใหญ่ ๆ เช่น สระว่ายน้ำหรือฟิตเนส แต่กลับลืมสอบถามถึงรายละเอียด “ห้องพัสดุ” ทั้งที่มันเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้แทบทุกสัปดาห์ หรือทุกวันสำหรับพื้นที่รับอาหาร delivery เพราะฉะนั้นการออกแบบที่ดีจะทำให้ประสบการณ์การอยู่อาศัยสะดวกขึ้นมาก
คำถามที่ควรถาม เช่น
– ห้องพัสดุแยกจากห้องนิติบุคคลหรือไม่?
– มีพื้นที่เพียงพอต่อปริมาณพัสดุหรือไม่?
– วิธีการรับพัสดุเป็นแบบหยิบเองหรือมีเจ้าหน้าที่ดูแล?
– หากมาตอนกลางคืนหลังห้องนิติปิด ยังสามารถรับพัสดุได้หรือไม่?
– วิธีรับอาหาร delivery เป็นยังไง มีพื้นที่ออกแบบยังไง?
– การออกแบบสะดวกต่อทุกคนทั้งคนทำงานและสะดวกกับลูกบ้านไหม?
เพราะเคยมีกรณีศึกษา มีคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งหรูหราทันสมัยแต่ว่าออกแบบให้ยากต่อการทำงานของ Rider มาก ต้องเดินขึ้นบันไดหลายชั้นเพื่อจะมาส่งอาหารหรือพัสดุหนักๆ ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นการออกแบบที่ยังไม่ผ่านมาตรฐานและไม่คำนึงต่อสวัสดิภาพของผู้ทำงาน
มีตู้ล็อกเกอร์ และโต๊ะวางของ เพื่ออำนวยความสะดวกบริการพัสดุ
บางโครงการอาจติดตั้งตู้ล็อกเกอร์อัจฉริยะเพื่อเพิ่มความสะดวก เช่น ถ้าลูกบ้านกลับคอนโดดึกๆ ทำให้รับพัสดุในเวลาทำการไม่ได้ ทางเจ้าหน้าที่นิติฯ ก็จะนำพัสดุมาเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์อัจฉริยะเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านมารับในเวลาที่สะดวกรับ นอกจากนี้บางโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เทคโนโลยีที่ดูเรียบง่ายที่สุดอย่างโต๊ะวางของพร้อมกล้องวงจรปิด (Table +CCTV) อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะใช้ง่าย ตรวจสอบย้อนหลังได้ และใช้พื้นที่ไม่ซับซ้อน
ห้องรับพัสดุคือ “พื้นที่เล็กที่มีผลใหญ่” ต่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้านในคอนโด ยิ่งในยุคที่พัสดุหลั่งไหลเข้ามาเป็นกิจวัตร การออกแบบที่ดีไม่เพียงช่วยให้การทำงานของนิติบุคคลเป็นระบบมากขึ้น แต่ยังทำให้ลูกบ้านรู้สึกถึงความสะดวกและความปลอดภัยที่เป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัยที่ดี
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณกำลังพิจารณาซื้อคอนโด ลองถามสั้น ๆ ว่า “ห้องพัสดุของโครงการนี้ออกแบบอย่างไร” คำตอบอาจเป็นตัวชี้วัดสำคัญของคุณภาพชีวิตในระยะยาวมากกว่าที่คิดก็ได้.
กรณีศึกษากระบวนการจัดการพัสดุของ PLUS Property ผู้เชี่ยวชาญบริการอสังหาฯ ที่ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ
Propholic ขอพามาดูตัวอย่างกระบวนการจัดการพัสดุของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อให้เห็นว่า Best Practice ของการจัดการพัสดุในคอนโดมิเนียมที่ดีควรเป็นอย่างไรเพื่อให้ผู้ที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้หรือเลือกใช้บริษัทบริหารอาคารที่มีมาตรฐาน
เป้าหมายหลักของระบบการจัดการพัสดุของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทั้งลูกบ้านและนิติบุคคลได้รับความสะดวกสบายสูงสุด โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ผ่านแอปพลิเคชัน Living Plus ที่ช่วยให้การจัดการพัสดุเป็นระบบมากขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่พัสดุถึงมือนิติ ข้อมูลจะถูกบันทึกลงในระบบพร้อมภาพถ่ายและรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ขนาดและประเภทพัสดุ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะส่งตรงไปยังแอปของลูกบ้าน ทำให้สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าพัสดุใดมาถึงแล้ว และเห็นรายละเอียดชัดเจนแบบเรียลไทม์








