LIV-24 หนุน SMEs ไทย ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจด้วย AI สู่มาตรฐานสากล ในงบที่เข้าถึงได้ ลดต้นทุนสูงสุดถึง 40%
– LIV-24 มองโอกาส SMEs ไทยยุคใหม่แข่งขันได้ด้วยเทคโนโลยี ออกแบบโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดเข้าถึงได้ ด้วยงบประมาณเริ่มต้นที่จับต้องได้ ช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนได้ถึง 20-40%
– ส่งเทคโนโลยี AI และ IoT ดันธุรกิจการค้าและภาคอุตสาหกรรม ชูโซลูชันเพื่อโรงงานและคลังสินค้า เสริมคุณภาพตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงการกระจายสินค้า
– ล่าสุดขยายวิสัยทัศน์ ร่วมมือภาครัฐ: การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำร่องใช้ Smart Tech ในนิคมอุตสาหกรรมทั่วไทย
ภายหลังการตั้งเป้าบุกภาคอุตสาหกรรมเต็มตัว บริษัท ลิฟ-24 จำกัด ขยายความเติบโตด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายราย เพื่อผลักดันให้เทคโนโลยีอัจฉริยะเข้าถึงผู้ประกอบการได้มากที่สุด ผ่านแนวคิดการเติบโตที่ยั่งยืน และการสร้าง Eco System ที่ช่วยให้ธุรกิจไม่ว่าขนาดเล็ก กลาง หรือ ใหญ่ ก็สามารถแข่งขันได้ทั้งในไทยและตลาดโลก
โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจยุคใหม่เติบโตและแข่งขันในตลาดได้ หนีไม่พ้นเรื่องการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้งาน เพื่อเสริมประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ความปลอดภัย กระบวนการผลิต กระบวนการทำงาน รวมถึง การเก็บ ติดตามผล และวิเคราะห์ข้อมูล
แนวคิดโมเดล Smart Tech ที่เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด ออกแบบมาเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยต้นทุนที่เข้าถึงได้ สามารถเลือกสรรโซลูชันที่เหมาะสมกับธุรกิจ โดยมีลิฟ-24 เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ เพื่อเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธุรกิจมากที่สุด
นิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด เปิดเผยว่า บริการของลิฟ-24 มีความยืดหยุ่นและจัดสรรให้ได้ตามความเหมาะสม ทุกธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้โซลูชันแบบ One size fits all เพราะแต่ละธุรกิจมีโจทย์แตกต่างกัน บางครั้งผู้ประกอบการคิดว่าต้องใช้เทคโนโลยีเทียบเท่าองค์กรใหญ่เพื่อแข่งขัน แต่ลิฟ-24 มองว่าไม่จำเป็นเสมอไป เพียงเลือกเทคโนโลยีให้เหมาะสมและสมดุลกับงบประมาณ เพราะอนาคตสามารถขยายต่อยอดได้ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทมากในโลกธุรกิจยุคนี้ หากผู้ประกอบการต้องการก้าวทันโลก และไม่ต้องการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ก็ต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง โซลูชัน AI ของลิฟ-24 ถูกนำมาใช้เพื่อความปลอดภัยและยกระดับประสิทธิภาพให้ธุรกิจ ผ่าน AI CCTV Analytic ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติหรือกระบวนการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐาน ยกตัวอย่างเช่น ตรวจจับผู้บุกรุก ตรวจจับอุบัติเหตุในโรงงาน หรือการสวมใส่อุปกรณ์ว่าครบถ้วนปลอดภัยดีหรือไม่
นอกจากนี้ เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ยังเข้ามาช่วยยกระดับการตรวจสอบเครื่องมือและอุปกรณ์ให้ต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ จากเดิมที่มีการตรวจสอบตามรอบที่กำหนด ซึ่งอาจมีความเสี่ยงหากความเสียหายเกิดขึ้นก่อนหรือหลังรอบตรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่อาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่ด้วย IoT สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ทันที หากประสิทธิภาพเครื่องจักรลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ ระบบจะแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ธุรกิจป้องกันปัญหาได้ก่อนเกิดเหตุ ลดโอกาสการหยุดชะงักของธุรกิจได้
รวมไปถึงการจัดการพลังงานและการปล่อยของเสียในโรงงาน ระบบ IoT ก็สามารถเข้ามาช่วยจัดการตรงนี้เพื่อประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ Carbon Footprint