ASW คว้ารายได้รวม Q1/68 กว่า 1,804 ล้านบาท พร้อมกำไร 201 ล้านบาท โชว์แบ็กล็อก 30,636 ล้านบาท ครึ่งปีหลังติดเครื่องพอร์ตใหญ่ภูเก็ตเตรียมโอนบิ๊กล็อตต่อเนื่องหลังทำยอดขายพีคช่วงไฮซีซั่น
ASW กางผลประกอบการ Q1/2568 ยอดโอนโครงการแนวราบ-คอนโดหนุนรายได้รวม 1,804 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท พร้อมฐานมั่นคงหลังกวาดยอดพรีเซล 8,320 ล้านบาท ทะลุ 43% ของเป้ายอดขายทั้งปี โชว์แบ็กล็อก 30,636 ล้านบาท พร้อมทยอยโอนรับรู้รายได้ต่อเนื่อง คาดตลาดอสังหาฯยังท้าทาย แม้มีแรงหนุนจากมาตรการรัฐ เฝ้าระวังผลกระทบนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐและสงครามการค้า มุ่งรักษากระแสเงินสด-ส่งมอบงานตามกำหนด Q2/2568 เตรียมโอนคอนโด Low-Rise สร้างเสร็จใหม่เพิ่ม 2 โครงการ และเตรียมส่ง THE TITLE Legendary Bang-Tao หนุนรายได้หลักครึ่งปีหลัง ย้ำตั้งการ์ดพร้อมปรับกลยุทธ์รับทุกสถานการณ์ มั่นใจรายได้และยอดขายได้ตามเป้า
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/2568 (มกราคม-มีนาคม 2568) บริษัทสามารถทำรายได้รวม 1,804 ล้านบาท เติบโตราว 3% จากไตรมาสแรกของปี 2567 และทำกำไรสุทธิทั้งสิ้น 201 ล้านบาท โดยโครงการที่เป็นแรงหนุนสำคัญในการรับรู้รายได้ คือกลุ่มโครงการบ้านแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ จำนวน 2 โครงการ คือ เคฟ โคโค่ บางแสน (Kave COCO Bangsaen) โครงการแคมปัสคอนโดติด ม.บูรพา มูลค่า 2,000 ล้านบาท และแอทโมซ ซีซั่น ลาดกระบัง (Atmoz Season Ladkrabang) คอนโดใจกลางลาดกระบัง มูลค่า 1,100 ล้านบาท
“ช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมา ASW สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 8,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 33% และคิดเป็น 43% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 19,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ แม้อยู่ท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความท้าทาย และได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ผันผวน ขณะเดียวกัน บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 รวมกว่า 30,636 ล้านบาท ที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพื่อรับรู้รายได้เข้าสู่บริษัทต่อเนื่องไปจนถึงปี 2570 ซึ่งจะเป็นฐานที่แข็งแกร่งและช่วยขับเคลื่อนให้ ASW เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป” นายกรมเชษฐ์ กล่าว
นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการรัฐในการลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ให้สามารถกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ 100% ในทุกสัญญา จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงสินเชื่อ และกระตุ้นการตัดสินใจโอนของผู้บริโภคได้ รวมถึงล่าสุดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จากเดิม 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to Move) ทุกระดับราคา มูลค่ารวม 9,968 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงค์จากปัจจัยบวกเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย อาทิ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) ของสถาบันการเงิน กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังเปราะบาง นโยบายด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่กระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด