แสนสิริ ก้าวข้ามแผ่นดินไหว ผนึกกำลังพาร์ตเนอร์ เซ็ตมาตฐานใหม่ ภาคอสังหาฯ ไทย เดินหน้าต่อ
ระดมผู้เชี่ยวชาญแชร์มุมมอง “BEYOND THE BLUEPRINTS” 60 วัน หลังแผ่นดินไหว ก้าวต่อด้วยพลังความร่วมมือ
สร้างความตระหนักรู้ ย้ำอาคารสูงในกรุงเทพฯ ปลอดภัย
ศาสตราจารย์ ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้างสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) และ
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ กล่าวว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านมาตรฐานการออกแบบสำหรับอาคารใหม่ จากการออกกฎกระทรวงและมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะ กฎกระทรวงปี 2564 ถือเป็นพัฒนาการที่ดีมากสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย กฎหมายนี้บังคับให้การก่อสร้างอาคารใหม่ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น มีประเภทอาคารที่หลากหลายขึ้น นอกจากนี้โครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ที่สร้างขึ้นภายใต้กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564 และมาตรฐาน มยผ. 1301/1302-61 นับว่ามีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ประกอบการรายใหญ่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและปฏิบัติตามมาตรฐาน รวมทั้งมีการนำเทคโนโลยีและวิธีการออกแบบที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีมาตรฐานการออกแบบอาคารที่เข้มงวด แต่การออกแบบและการก่อสร้างที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าอาคารต่างๆ สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ อีกทั้งในอนาคต เราควรนำนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนาและใช้กันแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศมาช่วยลดระดับการโยกตัวและการสั่นไหวของอาคารในประเทศไทย นวัตกรรมเหล่านี้ ได้แก่ อุปกรณ์ที่ช่วยดูดซับพลังงานการสั่นไหวของอาคาร เช่น Viscous Dampers หรือ Oil Dampers และที่สำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว และแนวทางในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ รวมถึงการพัฒนาแผนรับมือเหตุฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบจากแผ่นดินไหวเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
พลังแห่งความร่วมมือ สู่บทพิสูจน์ อสังหาฯ ไทยสอบผ่าน
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้ เราพิสูจน์ได้ว่าภาคอสังหาฯ ของเราแข็งแกร่ง และสอบผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหว สำหรับแสนสิริด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปี ในการพัฒนาธุรกิจคอนโดมิเนียม ผ่านการสร้างโครงการแนวสูง 225 โครงการ รวมกว่า 90,000 ยูนิต เราเล็งเห็นโอกาสนี้ ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานทั้งอุตสาหกรรม เมื่อเราพิสูจน์ว่าการอยู่อาศัยในโครงการแนวสูงมีความมั่นคงปลอดภัยจริง และสิ่งที่ทำให้แสนสิริฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ได้คือ เครือข่ายพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วย: พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้ดูแลงานนิติบุคคลระดับมืออาชีพ, ผู้รับเหมารายใหญ่ ที่เร่งรีบเข้ามาสนับสนุนงานตั้งแต่วันแรก, ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ให้คำแนะนำเชิงเทคนิคและร่วมลงพื้นที่, ทีมลิฟต์ หัวใจสำคัญของการขนส่งในตึกสูงที่ทำงานหนักที่สุดทีมหนึ่ง และบริษัทประกัน ที่ยืนเคียงข้างลูกบ้านอย่างมั่นคง
แสนสิริมองไปข้างหน้าเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการทำงานให้แข็งแกร่งขึ้น อาทิ การนำข้อมูลจากเหตุการณ์จริงมารีวิวและปรับปรุงคู่มือมาตรฐานการก่อสร้าง การเตรียมพร้อมและซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงระบบเตือนภัยและการตรวจสอบที่ช่วยป้องกันปัญหาก่อนเกิดขึ้น เป็นการรวมพลังทั้งวงการเพื่อเป้าหมายเดียว คือ ที่พักอาศัยที่แข็งแรง ปลอดภัย
“เราไม่ได้แค่รอดพ้น แต่ต้องทำให้วงการนี้แข็งแกร่งกว่าเดิม ด้วยการจัดงานแสนสิริอินไซต์ทอล์ค “BEYOND THE BLUEPRINTS” 60 วัน หลังแผ่นดินไหว ก้าวต่อด้วยพลังความร่วมมือ จะเป็นการจุดประกายความร่วมมือของคนในวงการอสังหาฯ เพื่อร่วมขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยหัวใจการทำงาน 3 ด้าน คือ Quality คุณภาพที่เหนือมาตรฐาน, Service บริการต่อเนื่อง และ Well-being ส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งสู่การดูแลลูกบ้านอย่างไม่มีวันสิ้นสุด” อุทัย กล่าวย้ำ
แผ่นดินไหว กระทบเชื่อมั่นระยะสั้น
บริสุทธิ์ กาสินพิลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮมบายเออร์ ไกด์ จำกัด และผู้ร่วมก่อตั้งหลักสูตร
The Next Real กล่าวว่า บริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่หลายแห่งมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วในการส่งทีมวิศวกรเข้าตรวจสอบอาคารและออกแถลงการณ์หรือสื่อสารกับลูกบ้านต่อเนื่อง สิ่งนี้ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจ ทั้งนี้ อสังหาฯ ไทย ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ ทั้งน้ำท่วมใหญ่, โควิด เชื่อมั่นว่าสถานการณ์แผ่นดินไหวในไทยที่ผ่านมา มีผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น ตรงกันข้าม สำหรับแบรนด์ที่ทำได้ดี โครงการมั่นคงปลอดภัย มีการดูแลลูกค้าอย่างรวดเร็ว จะได้รับความเชื่อมั่นและเกิดการบอกต่อ ส่วนในระยะยาวตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวและฟื้นตัวได้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค สิ่งที่สำคัญ คือการร่วมมือกันใน Ecosystem จับมือกันฝ่าก้าวข้ามทุกวิกฤติมาได้อย่างแข็งแกร่ง นำบทเรียนการก้าวข้ามผ่าน สู่การพัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยีการก่อสร้างรูปแบบใหม่ๆ และมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้นอีกในอนาคต และที่สำคัญ After Sale Service จะเป็นหัวใจหลักของผู้ประกอบในการเร่งเครื่องพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละเซ็กเมนต์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจะยังคงต้องปรับตัวในหลายมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแข็งแรง ปลอดภัย ตรงกับความต้องการของตลาด และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตลาดและการขายมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มคนสูงอายุ (Aging Society) หรือกลุ่มที่ต้องการบ้านเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า”