แสนสิริเปิดตัว “Sustainable Home – Prototype 1” แฟลกชิปบ้านเพื่อความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตแห่งแรกของไทย ปูทางสู่อนาคตที่อยู่อาศัยคาร์บอนต่ำ
– แสนสิริ ทำจริง-ต่อเนื่อง เดินหน้าโมเดลมุ่งสู่ความยั่งยืนจับมือ Green Partners ชั้นนำ 18 แห่ง เซฟโลก ผสานความยั่งยืน การออกแบบ และนวัตกรรม
– ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 35 นำร่องที่เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ สาย 1 ชูจุดเด่นทั้งสุขภาพผู้อยู่อาศัย ประสิทธิภาพพลังงาน และการใช้วัสดุรักษ์โลก
– มุ่งสร้างต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับภาคส่วนต่างๆ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เบิกทางสู่มาตรฐานใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย
นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียวและเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ผนวกเข้าไปในทุกๆ กระบวนการทำงาน โดยSansiri Sustainable Home – Prototype 1″ บ้านต้นแบบที่ผสานความยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของแสนสิริ นำร่องหลังแรกที่โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ สาย 1 แสดงให้เห็นว่าแสนสิริทำจริงและต่อเนื่อง สะท้อนถึงปรัชญาของแสนสิริในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใช้พลังของการออกแบบที่สัมผัสได้จริง ต่อยอดมาจากการแนวคิดการออกแบบ Sansiri Green Living Design และผสานความร่วมมือกับ Green Partners ชั้นนำ 18 แห่ง เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การเปิดตัวบ้านเพื่อความยั่งยืนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญและวางมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยแสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของประเทศที่ประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) และได้ผลักดันพันธกิจนี้อย่างเป็นรูปธรรม”
Sansiri Sustainable Home – Prototype 1 โดดเด่นด้วยนวัตกรรม 4 ด้านหลัก ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม ประกอบไปด้วย
1. Health and Well-being Design (การออกแบบเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) เป็นบ้านปลอดฝุ่น ด้วยนวัตกรรมการกรองอากาศและฆ่าเชื้อโรคถึง 6 ขั้นตอน พร้อมระบบแรงดันบวกที่ป้องกันฝุ่นและมลพิษจากภายนอกแพร่เข้าสู่ตัวบ้าน ตลอดจนใช้วัสดุปลอดภัย Zero VOC ไม่ปล่อยสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย มีการดีไซน์พื้นที่สีเขียวแบบครบวงจร ทั้งสวนแนวตั้ง (Edible Vertical Garden) และพื้นที่ปลูกพืชผักสวนครัวปลอดสารเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน และที่สำคัญคือการออกแบบเพื่อทุกวัย เหมาะกับผู้สูงอายุ เด็ก และสัตว์เลี้ยง ด้วยพื้นกันลื่น วัสดุกันกระแทก และกระเบื้องพิเศษที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย
2. Resource Efficiency (การใช้ทรัพยากรให้ได้คุณค่าสูงสุด) มีการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 83% ตามการคำนวณด้วยโปรแกรมประเมินประสิทธิภาพพลังงานของอาคาร รวมถึงระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ สามารถบำบัดน้ำได้ถึง 12,450 ลิตรต่อเดือน เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ในการรดน้ำต้นไม้และทำความสะอาดพื้นที่ภายนอก นอกจากการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยประหยัดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว