พลัสฯ มองอสังหาฯ ปี 64 อัตราว่างงานเพิ่ม จำกัดการปล่อยสินเชื่อ แต่ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการช่วยพยุงกำลังซื้อ เก็บตกผลสำรวจสถานการณ์ตลาดบ้าน-ทาวน์โฮม-คอนโด เปิดโซนขายดี
– พลัส พร็อพเพอร์ตี้ มองแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 คาดการเปิดโครงการใหม่จะมีมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น เร่งระบายสต็อกคงค้างอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องมีความระมัดระวัง เน้นการเปิดโครงการที่ราคาเข้าถึงง่าย ในทำเลเดินทางสะดวก และหาจุดขายใหม่ๆ ที่แตกต่างจากคู่แข่ง
– ผลของโควิดระลอก 2 ทำให้ผู้บริโภคยังมีปัญหาด้านกำลังซื้อ ทั้งภาระหนี้และความไม่แน่นอนของรายได้ ผู้ประกอบการจึงยังคงต้องกระตุ้นยอดขายโดยการลดราคาอย่างต่อเนื่องในปีนี้
– ปัจจัยบวกในปี 2564 ที่ช่วยพยุงกำลังซื้อและลดค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการ คือการขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับต่ำ จะยังคงช่วยกระตุ้นผู้ที่มีความพร้อมซื้อที่อยู่อาศัยได้ในปีนี้
– บ้านเดี่ยว พบมีความต้องการเติบโตต่อเนื่องในโซนตะวันตก โซนตะวันออกเฉียงเหนือ และโซนตะวันออก ส่วนทาวน์โฮม โซนตลิ่งชัน-ทวีวัฒนา และโซนไม่ไกลตัวเมือง เช่น พัฒนาการ รามคำแหง กัลปพฤกษ์ รามอินทรา ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ด้านคอนโดมิเนียม ย่านชานเมืองตามแนวรถไฟฟ้าได้รับความนิยมสูงขึ้น
นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนา พลัส พร็อพเพอร์ตี้ มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 มีความท้าทายจากปัจจัยรอบด้านทั้งเรื่องของอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจ และยังมีเรื่องของการที่สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์มีการควบคุมและจำกัดการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงกำลังซื้อให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเดินต่อไปได้ ทั้งเรื่องของมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐที่มีการขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เหลือ 0.01% และการลดภาษีที่ดิน 90% รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับต่ำ จะยังคงช่วยกระตุ้นผู้ที่มีความพร้อมซื้อที่อยู่อาศัยได้ในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าแนวโน้มปี 2564 จะมีการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น เร่งระบายโครงการคงค้างอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น เน้นการเปิดโครงการที่ราคาเข้าถึงง่ายในทำเลเดินทางสะดวกให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค และหาจุดขายใหม่ๆ ที่แตกต่างจากคู่แข่งเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ผลสำรวจล่าสุดจากฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัสฯ สัดส่วนอุปทานแยกตามประเภทที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 พบว่า คอนโดมิเนียมแม้มีอุปทานลดลงแต่ยังคงมีสัดส่วนสูงสุดคือ 48% โดยมีจำนวน 16,582 ยูนิต อันดับสองคือทาวน์โฮมที่มีสัดส่วน 38% จำนวน 13,065 ยูนิต และอันดับสามคือบ้านเดี่ยวในสัดส่วน 14% มีโครงการเปิดตัวใหม่จำนวน 4,767 ยูนิต