Source: www.thansettakij.com Date: 12 ตค. 2558 “ธนาพัฒน์” กางแผน 5 ปี ตั้งเป้าขึ้นแท่น 1 ใน 20 บริษัทอสังหาฯ หวังยอดขายกว่า 5 พันล้านต่อปี พร้อมเร่งแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เล็งปั้นบริษัทลูก “ธนาพัฒน์ โกลบอล” ชิงแชร์ตลาดเหล็กค่ากว่า 10 ล้านตันต่อปี นายดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปี ว่า นับจากปี 2559 เป็นต้นไป บริษัทตั้งเป้าที่จะเป็น 1 ใน 20 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มียอดขายมากกว่า 5 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี แต่นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป บริษัทตั้งเป้ารายได้เฉลี่ย ที่ 3 พันล้านบาทต่อปี เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากโครงการต่างๆ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปี 2563 จะมีรายได้กว่า 5 พันล้านบาทต่อปี สำหรับแผนการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายด้านราย ได้นั้น บริษัทแบ่งแผนการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.เร่งระบายที่ดินในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลที่มีอยู่หลาย 10 แปลงออกสู่ตลาด และ 2.แปลงสินทรัพย์บางแปลงให้เป็นทุน โดยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย หรือหาแหล่งเงินกู้ที่ทำให้ต้นทุนต่ำ เพื่อให้เกิดสภาพคล่องของกระแสเงินสด และสามารถนำไปพัฒนาโครงการต่างๆ ได้สะดวกและรวดเร็ว นอกจากแผนงานดัง กล่าวแล้ว การนำพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการระดมทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับบริษัท ซึ่งการก้าวเข้าสู่ตลาดทุนก็เป็นเป้าหมายแรกของการจัดตั้งบริษัท แต่ด้วยสภาพตลาดในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ทำให้บริษัทต้องปรับแผนงาน เช่น เดิมตลาดหลักทรัพย์ฯมองว่าบริษัทที่มีทรัพย์ประเภทที่ดินจำนวนมากคือบริษัท ที่มีความมั่นคงสูง ปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้น มองเพียงแค่เรื่องของ ยอดขาย กำไร และรายได้ในอนาคต แต่ที่ผ่านมาบริษัทสะสมที่ดินไว้จำนวนมาก จึงเป็นที่มาของการระบายสินทรัพย์ประเภทที่ดินให้อยู่ในรูปของกระแสเงินสด แทน นอกจากนี้ช่วงปี 2 ที่ผ่านมา บริษัทได้ก่อตั้งบริษัทลูกชื่อ บริษัท ธนาพัฒน์ โกลบอล จำกัด ประกอบธุรกิจขายเหล็กเส้นและเหล็กรูปพรรณ ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อเติมเต็มธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวและเพื่อแสวงหา โอกาสในอนาคต เนื่องจากมองว่านับจากนี้เป็นต้นไปโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเกิดขึ้นอย่าง แน่นอน ส่งผลให้ธุรกิจเหล็กมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต และมีมูลค่าตลาดสูงถึง 10 ล้านตันต่อปีต่อปี โดยเริ่มจากการเป็นเทรดดิ้ง เพราะบริหารงานง่ายกว่าและรับรู้รายได้เร็วกว่า แต่ปัจจุบันเริ่มมีการซื้อกิจการโรงงานเหล็กขนาดเล็กด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินเป็นอย่างดี “บริษัทราย ใหญ่ 1 ใน 5 ของตลาดในปัจจุบันมีรายได้เกิน 2 หมื่นล้านบาท และบริษัทอสังหาฯ 1 ใน 10 ก็มีรายได้เกิน 1 หมื่นล้านบาท แต่ด้วยศักยภาพของบริษัท การที่จะก้าวสู่ 1 ใน 20 บริษัทที่มีรายได้มากกว่า 5 พันล้านบาท ไม่ใช่เรื่องยาก ประกอบกับบริษัทมีรายได้จาก 2 ส่วนคือ รายได้ระยะยาวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรายได้ระยะสั้นจากธุรกิจเหล็กที่ มีรายได้ร่วมหมื่นล้านบาทต่อปี ที่จะช่วยเสริมความมั่นคงแข็งแรงให้กับธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ในอนาคต” นายดลพิวัฒน์ กล่าว จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3095 วันที่ 11-14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 รูปภาพจาก: www.tnp.co.th