“จระเข้ คอร์ปอเรชั่น” ลุยต่อสู่ Net Zero! กางวิสัยทัศน์ปี 68 ดันวงการก่อสร้างสีเขียว เต็มรูปแบบ ชี้ชัดความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์ เผยผู้บริโภคเลือก “คุณภาพ” ควบคู่ “ดูแลโลก”
– เปิดเป้าหมาย Net Zero ครั้งแรก! มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าชเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
– กางแผนเพิ่มไลน์อัป Green Products จากสินค้าทั้งหมด เดินหน้าพลิกโฉมธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
– คาดปี 68 เติบโต 10% พร้อมนำนวัตกรรมก่อสร้างคุณภาพจากเมืองไทยรุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ
– สัมผัส JORAKAY PAVILION ในงานสถาปนิก’68 วันที่ 29 เม.ย. – 4 พ.ค. 68 “จระเข้” โชว์ศักยภาพไลน์อัปสินค้านวัตกรรมก่อสร้างครบวงจรที่ตอบโจทย์เทรนด์ก่อสร้างแห่งอนาคต ภายใต้คอนเซปต์ “Build Today, Beyond Tomorrow: ที่สุดของนวัตกรรม เพื่อพรุ่งนี้ที่ยั่งยืนกว่า”
บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตัวจริงนวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งครบวงจรที่ใส่ใจชีวิตผู้คนและสิ่งแวดล้อม เปิดแผนกลยุทธ์ปี 2568 มุ่งยกระดับธุรกิจสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมก่อสร้างสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าเติบโต 10% ในปี 2568 สะท้อนธุรกิจที่แข็งแกร่งแม้ตลาดจะหดตัวด้วยการขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้างและสีจระเข้ เสริมช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านร้านค้ากว่า 3,000 แห่ง พร้อมฉลอง 33 ปีแห่งความสำเร็จเคียงข้างวงการก่อสร้างไทยด้วยการเปิดเป้าหมายใหญ่สู่ Net Zero ครั้งแรก! ลุยพลิกโฉมการดำเนินงานในทุกมิติสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี จระเข้มุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคา โดยในภาพรวมธุรกิจของจระเข้ ยังคงเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวที่ครองมาร์เก็ตแชร์มากกว่า 50% มายาวนาน ทั้งนี้ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวในประเทศปี 2567 มีมูลค่า 4,400 ล้านบาท และเรายังคงโตต่ออย่างแข็งแกร่งด้วยตัวแทนจำหน่ายในไทยและต่างประเทศกว่า 3,000 แห่ง”
“ในปี 2567 จระเข้ทำยอดขายเติบโต 6% ในขณะที่สภาพตลาดโดยรวมหดตัว –2% ถึง –3% จากข้อมูลโดย Krungsri Research สะท้อนถึงความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการ และการปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพที่เดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต ปัจจุบันสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ปูกระเบื้อง (กาวซีเมนต์และกาวยาแนว) เติบโตสูงถึง 5% คิดเป็นสัดส่วนการขายแบ่งเป็น 70%, กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง เติบโตสูงถึง 15% คิดเป็นสัดส่วนการขายแบ่งเป็น 20% และสีจระเข้ (SEE JORAKAY) ที่เติบโตสูงถึง 35% โดยคิดเป็นสัดส่วนการขาย ครอบคลุมกลุ่มสีจระเข้ และกลุ่มวัสดุตกแต่ง เครื่องมือ และน้ำยา ที่ 10%” นายศุภพงษ์กล่าว
ในช่วงปีที่ผ่านมา จระเข้ได้เขย่าวงการก่อสร้างด้วยกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้าง หมวดงานพื้นกับนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่มีคุณภาพระดับสากลและใส่ใจสิ่งแวดล้อม อาทิ “Crocodile Road Fix Express” มอร์ตาร์สำหรับซ่อมพื้นผิวถนนคอนกรีตชนิดบาง คว้ารางวัลชนะเลิศจากเวที Best Innovation Award 2024 ในงานสถาปนิก และรางวัล “นวัตกรรมลดโลกร้อน” (Best Innovativeness Green Product) ในงาน SETA 2024 นอกจากนี้ จระเข้ยังได้เปิดตัว “Jorakay Green Pack” นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์กาวซีเมนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปฏิวัติวงการกาวซีเมนต์ ด้วยนวัตกรรม “Dustless Technology” รายเดียวในไทย ที่นำมาใช้กับกาวซีเมนต์จระเข้ทั้ง 8 รุ่น ช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นถึง 80% และยังเร่งบุกตลาดสีเมืองไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ SEE JORAKAY พร้อมเปิด SEE JORAKAY Flagship Store ไปอย่างยิ่งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 และเปิดตัวสีรุ่นใหม่อีก 2 รุ่น ทั้งนี้ จระเข้ยังเป็นผู้ผลิตรายแรกในประเทศไทยที่ผ่านการรับรอง มอก. 2703-2566 เวอร์ชันใหม่ในระดับ “ชั้นคุณภาพพิเศษ” ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการรับรองมาตรฐานใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์กาวซีเมนต์ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกาวยาแนวสำหรับกระเบื้องเซรามิก (มอก. 2892-2563) อีกด้วย ในด้านความยั่งยืน จระเข้ได้ดำเนินโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ในพื้นที่โรงงานและศูนย์กระจายสินค้าใน จ.สระบุรี และที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 606 ตันคาร์บอนฯ/ปี และทดแทนพลังงานไฟฟ้าที่บริษัทใช้ทั้งหมดได้ 30% ต่อปี
“ในปี 2568 เราตั้งเป้าเติบโต 10% แบ่งเป็นตลาดในประเทศ 90% และตลาดต่างประเทศ 10% โดยเน้นการขยายพอร์ตกลุ่มสินค้าเคมีก่อสร้างและกลุ่มสีทาอาคารภายในและภายนอก SEE JORAKAY ทำการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เสริมช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านร้านค้ากว่า 3,000 แห่งและแพลตฟอร์มออนไลน์ พัฒนาความร่วมมือกับคู่ค้า และขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะใน CLMV การเติบโตอย่างต่อเนื่องของเรา ตอกย้ำว่านวัตกรรมและความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสังคมให้เดินหน้าอย่างมั่นคง เราเชื่อว่า ‘ความสำเร็จที่แท้จริง‘ ต้องวัดจากผลกระทบเชิงบวกที่เราสร้างให้โลกในระยะยาว” นายศุภพงษ์เน้นย้ำ