เวียดนาม ประเทศที่มีภาพความทรงจำจากหนังสือท่องเที่ยว หรือหนังสือสังคมสมัยเรียนว่า เป็นประเทศกำลังพัฒนาและยังไม่ศิวิไลมากมายเท่าไหร่นัก เพราะเพิ่งเริ่มพัฒนาในช่วงหลัง และภาพจำที่ได้จากหนังสือต่างๆก็เห็นจะเป็นภาพคนปั่นจักรยานใส่หมวก non la (หมวกทรงกรวยของเวียดนาม) มีฉากหลังเป็นบ้านเรือนเก่าๆ บวกกับคำกล่าวคำลือในบรรดาผู้ที่เคยไปเยือนเวียดนามมาแล้วว่าจักรยานยนต์ วิ่งขวักไขว่เต็มท้องถนน และพร้อมใจกันบีบแตรเสียงดัง…

ที่มา: http://www.globaladventure.us/judithfein/comments.html

การเดินทางไปเวียดนามครั้งแรกนี้ มีโอกาสได้ไปเวียดนามตอนใต้ อย่างโฮจิมินห์ เมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงเก่า เมืองที่ผ่านสมรภูมิสงครามมาอย่างยาวนาน เมืองที่เคยถูกเรียกว่า เมืองไซ่ง่อน ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เกียรติกับโฮจิมินห์ วีรบุรุษผู้กอบกู้อิสรภาพให้กับเวียดนาม

ภาพแรกที่รถบัสจากสนามบินมุ่งเข้าสู่เมืองโฮจิมินห์ กลับเปลี่ยนภาพความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลไปอย่างสิ้นเชิง ถนนที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ฟุตบาทกว้างขวาง (กว้างพอที่เวลากลางวันพนักงานมาล้อมวงเตะตะกร้อเวียดนามกัน) มีแนวต้นไม้ใหญ่นำสายตาและให้ร่มเงาตลอดสองฝั่งถนน อาคารบ้านเรือนสองข้างถนนได้ถูกพัฒนาเป็นอาคารสมัยใหม่ ไม่ได้เก่าไปซะทั้งหมด ถือว่าค่อนข้างทันสมัยและมีระเบียบอยู่มากทีเดียว เสียอยู่สองอย่างคือการคมนาคมที่ยังไม่สะดวกสบายมากนักและรถจักรยานยนต์ตาม คำลือของทุกคนนั้นมันมีอยู่จริง! และไม่สนใจคนเดินถนนแม้แต่น้อย!

การออกแบบผังเมืองของโฮจิมินห์ดูจะคล้ายกับเมืองแถบยุโรป ที่มีการออกแบบเมือง ให้มีวงเวียน อนุสาวรีย์น้อยใหญ่ที่ล้อมด้วยพลาซ่าหรือลานเล็ก รวมทั้งการออกแบบถนนเกือบทุกๆสายวิ่งตรงเข้าสู่ศูนย์กลางที่เป็นอาคารสำคัญ อนุสาวรีย์ ลานกลางเมืองหรือแม้แต่วงเวียนน้อยใหญ่ และยังมีสวนขนาดใหญ่กลางเมืองอย่างกับ Hyde park ที่ London หรือ Central park ที่ USA เลย

และด้วยต้นทุนของความเป็นเมืองหลวงเก่า ทำให้มีอาคารเก่าที่งดงามมากมาย ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายสำคัญของการเดินทางไป เยือนโฮจิมินห์ของหลายๆคน อาทิ

โบสถ์นอเทอดาม Notre Dame ที่สร้างแบบโบสถ์นอเทอดามที่ฝรั่งเศส แต่ย่อส่วนและขนาดลงมา

ไปรษณียาคาร อาคารไปรษณีย์กลางเก่าแก่

อาคารรวมชาติ

โรงละครโอเปรา (Opera House)

หรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ หากใครได้มีโอกาสไปเยือนก็คงพอจะนึกออกกันอยู่ไม่น้อย

และถ้าเหลียวมองไปรอบๆย่านสำคัญกลางเมืองแห่งนี้ ก็จะเห็นป้ายไวนิล ล้อมรอบเขตก่อสร้าง นั่นก็คือ รถไฟฟ้าใต้ดินที่กำลังเร่งก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 โดยความร่วมมือของรัฐบาลนครโฮจิมินห์กับหน่วยงานความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา อย่างเป็นทางการของญี่ปุ่น

นั่นก็แสดงว่าอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า เมืองที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม และมีสถาปัตยกรรมเก่าเป็นทุนเดิม จะถูกยกระดับด้วยการเพิ่มความสะดวกสบายของการเดินทางเข้าไปอีก ในอนาคตโฮจิมินห์คงจะน่าอยู่และทันสมัยขึ้นกว่านี้อีกไม่น้อย

ถัดมาจากย่านอาคารสำคัญกลางเมือง เดินมาอีกประมาณ 100 เมตรจากโรงละครโอเปร่า ก็จะพบกับย่านพัฒนาใหม่ริมแม่น้ำไซ่ง่อน

ที่คลาคล่ำไปด้วยอาคารทันสมัย Hi-end โรงแรม ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้าแบรนด์เนมมากมาย

ที่เชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญที่วิ่งสู่สะพานถูเทียม (ThủThiêm) ลอดใต้แม่น้ำไซ่ง่อน

มีวิวเป็นฉากหลังของอาคารสำคัญรูปทรงทันสมัยอย่าง Bitexco Financial Tower ที่มี Saigon Skydeck จุดชมวิวของโฮจิมินห์ 360 องศา ที่ตัวอาคารมีความสูงถึง 68 ชั้น

เป็นแลนด์มาร์คของโฮจิมินห์อีกแห่ง ที่สามารถมองเห็นได้จากหลายๆส่วนของเมือง

และอาคารหรูหราที่รายล้อมมากมาย อย่าง โรงแรม ภัตตาคาร อาคารสำนักงาน บนถนนสายสำคัญๆ

ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ เปิดให้บริการ และกำลังก่อสร้างอีกจำนวนมาก

ย่านแห่งนี้กำลังมีความทันสมัยและการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพื่อรองรับการพัฒนาโฮจิมินห์ให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเวียดนาม ตอนใต้ และการพัฒนาสู่เมืองท่าที่สำคัญในเขตภูมิภาคเอเชียของนครโฮจิมินห์

อีกทั้งการพัฒนาในเขตอื่นๆของโฮจิมินห์ก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างเขต 7 พื้นที่กว่า 9,600 ไร่ของทั้งเขตที่เคยเป็นที่นา ไกด์ท้องถิ่นเล่าว่า กำลังจะถูกพลิกโฉมเป็นพื้นที่พักอาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมเกือบทั้งเขตเลย ทีเดียว

ตอนนี้ถ้ามองออกไปรอบๆเมืองโฮจิมินห์ ก็เริ่มเห็นคอนโดสร้างขึ้นมาบ้างแล้ว พร้อมเครนขนาดใหญ่ ที่บ่งบอกว่ากำลังก่อสร้างอีกหลายอาคาร

และเมื่อปี 2548 สภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council-(WTTC) ได้พยากรณ์ไว้ว่าเวียดนามจะเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศและดินแดนที่การท่องเที่ยวจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2-9.9% ในช่วง 10 ปีข้างหน้าคือ ระหว่างปี 2006-2015 นี้ ซึ่งอัตรานี้นับว่าสูงที่สุดในโลก (ที่มา :http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9480000069471)

และจากการพยากรณ์ดังกล่าว บวกกับภาพที่ได้เห็น ณ โฮจิมินห์ในเวลานี้ ยังไม่ต้องคิดคำนวณแต่มองผ่านจากสายตาก็น่าจะเป็นจริงอย่างคำพยากรณ์ว่า

อีกทั้งในปัจจุบันโฮจิมินห์มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดในประเทศ มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในประเทศ รวมทั้งเริ่มเห็นการลงทุนในโฮจิมินห์จากชาวต่างชาติ

ซึ่งส่วนใหญ่โรงแรมขนาดใหญ่ก็เป็นผู้ลงทุนจากต่างชาติทั้งสิ้น(คำบอกเล่าจากไกด์ท้องถิ่น)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอุตสาหกรรมการก่อสร้างของเวียดนามในปัจจุบันที่มีอัตราการ ขยายตัวอย่างต่อเนื่องสูงกว่าร้อยละ 20 แต่เวียดนามยังคงไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือเป็นเจ้าของกิจการ ในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างเองได้ทั้งหมด แต่จะต้องมี business partner ร่วมลงทุนด้วย ซึ่งหากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระหว่างไทยกับ เวียดนาม พบว่า ไม่แตกต่างกันมากนัก อัตราค่าบริหารโครงการในไทยอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ขณะที่เวียดนามมีอัตราค่าบริหารโครงการและงานออกแบบสำหรับโครงการของเอกชน อยู่ที่ร้อยละ 3 และสำหรับโครงการภาครัฐ ร้อยละ 1.75 ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจก่อสร้างในนครโฮจิมินห์ ที่สำคัญๆ ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย (ที่มา : www.mfa.go.th)

เรียกได้ว่า บ้านพี่เมืองน้องใกล้บ้านเรามีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ขนาดนี้ ใครที่สนใจเปิดช่องทางการตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนาม โฮจิมินห์ถือ ว่าไม่ไกลจากไทย เพียงเดินทางด้วยเครื่องบิน 1 ชั่วโมง(พอๆกับกรุงเทพฯ-เชียงใหม่) ใครสนใจลงทุนกับพื้นที่แห่งนี้ ลองหา business partner ชาวเวียดนามสักคน ก็สามารถลงทุนได้ไม่ยากมากนัก