ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำงานในสายอสังหาฯ และการตลาดมาสักพักใหญ่ ผมรู้ดีว่าการทำ Event Marketing เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่สำคัญมากในการ Push โครงการให้ไปอยู่ในสายตาของกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเห็นผลลัพธ์ในเชิงยอดขายได้ทันที ด้วยเหตุนี้ดีเวลลอปเปอร์แทบทุกรายจึงให้ความสำคัญกับช่องทางนี้มาก บางรายจัดอีเว้นท์กันสัปดาห์ต่อสัปดาห์ก็มี
รูปแบบการทำ Event Marketing ที่นิยมใช้กันมากก็คือการทำ On Premise marketing หรือที่หลายๆคนก็มักจะพูดว่าทำอีเวนท์ที่ไซต์ และ Showcase Exhibition ซึ่งเป็นการจัดอีเวนท์ที่ Public area ที่มี Traffic ของกลุ่มเป้าหมายเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า Exhibition Hall หรือแม้แต่ Specialty Space ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางอย่าง ในโรงพยาบาล สถานีรถไฟฟ้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ในสถานศึกษา
ข้อแตกต่างกันที่เห็นได้อย่างชัดเจนของการจัดอีเว้นท์ทั้งสองแบบก็คือ จำนวนผู้เข้าร่วมงาน ยอดขาย และบรรยากาศของงานครับ..การจัดอีเว้นท์ที่ไซต์ข้อดีที่ได้รับก็คือลูกค้า สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศจริงของโครงการ รู้ว่าห้องที่เราจะซื้อนั้นมีสภาพจริงเป็นอย่างไร เห็นทุกซอกทุกมุมของการใช้ชีวิตที่โครงการ บางทีก็มีโอกาสได้พบเจอกับเพื่อนบ้านในอนาคตของเราด้วยซ้ำไป ส่วนข้อเสียก็คือจำนวนผู้ร่วมงานก็อาจจะมีน้อยไปบ้าง เพราะว่าเป็นการจัดเเบบเฉพาะกิจจริงๆ คนที่มาร่วมงานก็ต้องได้รับการเชิญจากโครงการ หรือไม่ก็บังเอิญ walk in เข้ามาเห็นคนโบกธง ป้ายโฆษณาต่างๆ ก็เลยแวะเข้าไปดูสักหน่อย…ถือว่าเป็นการจัดอีเว้นท์ที่ได้ quality lead ได้ผู้เข้าร่วมงานที่มีศักยภาพสูงในการปิดการขาย
เครดิตภาพ: https://www.facebook.com/scasset
ส่วนการจัดอีเว้นท์ตามห้าง หรือสถานที่ต่างๆ ก็มักจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของจำนวนผู้เข้าร่วมงาน หากว่าเป็นห้างขนาดใหญ่ เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ติดรถไฟฟ้า ใจกลางกลุ่มเป้าหมาย หรือเป็น Community Mall ที่เป็นศูนย์รวมของคนท้องถิ่น ที่อาศัยอยู่แถวโครงการอยู่แล้ว ก็นับว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่ตอบ Objective ในเรื่องของการกระจาย Reach และสร้าง awareness ได้เป็นอย่างดี…แต่ข้อเสียที่สำคัญก็คือ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่ละครั้งสูงมากมายมหาศาล ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ก็มักที่จะเลือกจัดในห้างสรรพสินค้าที่มี Traffic เยอะที่สุด อย่างเช่น สยามพารากอน ที่ว่ากันว่าต้องจองกันข้ามปีกว่าจะได้พื้นที่บริเวณแฟชั่นฮอลล์มาจัดงานได้ แถมคนที่บังเอิญเข้ามาร่วมงาน ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแบบ unintentional lead ไม่ได้ตั้งใจที่จะมุ่งตรงมาซื้อจริงๆ แค่อยากมารับข้อมูล ลุ้นจับรางวัล ฟังคอนเสิร์ตจากนักร้องคนโปรด กระทบไหล่ดารา หรือมาฟังงานสัมมนาจาก Guest Speaker ชั้นนำมากกว่า
นอกจากนี้จากประสบการณ์ของผม ถึงเป็นการจัดงานที่ห้างดัง ก็ไม่ได้หมายความว่า คนจะเข้ามาลงทะเบียน เยี่ยมชมบูธเยอะแต่อย่างใด หากว่าสินค้าที่แต่ละเจ้าเอามานั้น ไม่ได้เป็นของใหม่ เน้นขายของมากเกินไป โดยที่ไม่รู้จักการสร้างบรรยากาศ ความคึกคัก และ benefit อื่นๆที่ดีให้กับผู้ร่วมงาน (บางทีคนเข้าร่วมงานก็ไม่ได้อยาก เดินเข้ามาและคอตกกลับออกไปเพียงแค่ใบเสนอราคากับโบรชัวร์หรอกนะครับ)…นั่นหมายความว่านักการตลาดจำเป็นที่จะต้องลงทุนในการซื้อสื่อเพื่อ draw ให้ผู้มาร่วมงานได้รับรู้ถึง benefit ของการเข้าร่วมงานนี้ และสร้าง brand experience ของทุกโครงการให้ลูกค้าได้เข้ามาซึมซับ และกลับออกไปพร้อมกับภาพฝังใจ อะไรบางอย่าง เพื่อให้เกิด action หลังงานให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ให้ซื้อตอนนี้ แต่กลับไปแล้วต้องแวะมาดูที่ไซต์ มาเจอเซลล์คนสวยคนนี้อีกทีนะ อะไรประมาณนี้
เครดิตภาพ: https://www.facebook.com/ananda.pcl
ดีเวลลอปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จในการจัดอีเว้นท์ที่ห้างดัง มีไม่มากครับ เนื่องจากส่วนใหญ่มักไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับการซื้อสื่อเพื่อโปรโมตงาน หวังแค่ walk in traffic ของห้างเพียงอย่างเดียว และยังไม่ได้มีการสร้างบรรยากาศแบบระเบิดภูเขา เผากระท่อม เพื่อกระตุ้นให้คนเดินผ่านไปมา แวะเข้าบูธได้…ผลก็คือเราเห็นรูปแบบงานที่โล่งมาก ไม่มีคนกล้าเดินเข้า เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
การสร้าง Brand Experience ที่ดีให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า การเก็บข้อมูลผู้ลงทะเบียนร่วมงานอีกครับ ที่ผ่านๆมาดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ทุ่มทุนไปมาก กับการ จัดกิจกรรมเพื่อสร้าง engagement จาก online ไปสู่ on premise การจ้างดารา นักร้อง เซเลปชื่อดังขึ้นมาพูดคุยในแบบ tie in แนะนำสินค้าหน่อยๆ และที่หนักที่สุดก็คงจะเป็นในเรื่องของการสร้างห้องตัวอย่างในงานอีเว้นท์เนี่ยหละครับ…ถามว่าหนักยังไง ก็ต้องบอกครับว่าไอ้การที่จะเนรมิตรห้องตัวอย่างในงานเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เผลอๆอาจจะยากกว่าการสร้างที่โครงการจริงซะอีก เนื่องจากมีข้อกำหนดมากมายจากห้าง การขนส่ง ขนาดพื้นที่จัดงานที่มีจำกัด สร้างใหญ่ไปก็ไม่มีที่เหลือให้ขายของอื่นได้อีก จนดีเทลหลายๆอย่างต้องถูกตัดออกไป กลายเป็นว่าจากความตั้งใจที่จะสร้างความประทับใจ กลายเป็นสร้างความเสียใจไปซะหยั่งงั้น (แต่ส่วนใหญ่งานในกทม.ก็ทำออกมาดีมากนะครับ)
จากประสบการณ์ของผม ถ้างานอีเว้นท์ไหน มีแต่บูธและโฆษณา inkjet ปิดผนัง ไม่มี Model โครงการ ไม่มี VDO Animation ไม่มีโปรโมชั่น ไม่มีอะไรที่ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นภาพของโครงการ หรือกระตุ้น impulse purchase ให้กับผู้ร่วมงานได้เลย โอกาสที่จะปิดการขายได้ในงานเป็นศูนย์ครับ!!! ก็ลูกค้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อที่นี่ เดี๋ยวนี้ นี่หว่า เพราะมันไม่มีอะไรให้ดูสักกะอย่าง มีแต่ใบราคาเพียงอย่างเดียว ไว้คิดดูก่อน ถ้าชอบค่อยแวะไปที่ไซต์อีกทีแล้วกันนะ บาย….
ผลลัพธ์ก็คือดีเวลลอปเปอร์ที่มาออกงานเสีย lead ไปฟรีๆครับ อุตสาห์เสียเงินจัดงานตั้งแพง เพื่อมาระบายโบรชัวร์เนี่ยนะ ผมว่าใครก็ไม่แฮปปี้ครับ ในงานบางงานเซลล์ถึงขั้นต้องงัดกลยุทธ์จองก่อน 5,000 แถมบัตร voucher 2,000 และถ้าเกิดไปดูที่โครงการแล้วไม่ชอบก็ขอเงินคืนได้อีก ผลสุดท้ายก็คือการตลาดต้องเสียเงินเพิ่มฟรีๆไปอีก 2,000 บาท เพราะลูกค้าไปดูที่โครงการจริงๆแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นกันเป็นปกติครับ ขึ้น sold แล้วอีกสองวันก็แจ้ง back to the market
ด้วยการที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่างๆมันก้าวล้ำมากขึ้น ก็เลยมีนวัตกรรมอะไรหลายๆอย่าง ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การขายของในงานอีเว้นท์ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปชมห้องจริงให้เสียเวลาครับ นั่นคือเทคโนโลยี VR หรือภาพเสมือนจริงนั่นเอง ยิ่งตอนนี้แว่น VR มีอยู่หลากหลายยี่ห้อ บางทีซื้อมือถือเค้าก็แถมมาให้แล้ว และมีคลิป 360 องศามากมายให้เราดูใน Youtube และ Facebook จึงทำให้อุปกรณ์ VR Gear กลายเป็นของสามัญประจำบ้านสำหรับเหล่า IT Geek กันทุกคนเลยแหละครับ
DEC VR เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่จะช่วยคุณตอบโจทย์เรื่องการขายของนอกสถานที่มากที่สุดครับ ด้วยเทคโนโลยีนี้คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสียทั้งเงิน และเวลาในการสร้างห้องตัวอย่าง ไม่ต้องรอให้ลูกค้าแวะเข้าไปชมโครงการจริงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจจอง ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าหน้างานจะเรียบร้อยไหม หรือลูกค้าจะต้องผจญกับรถติดจนเปลี่ยนใจไปดูโครงการอื่นแล้ว เพียงแค่ให้ลูกค้าที่มาร่วมงานสวมแว่น VR เพียงเท่านี้ ลูกค้าก็จะสามารถสัมผัสประสบการณ์เสมือนอยู่ในสถานที่จริง แบบ 360 องศา ของโครงการนั้นๆได้ทันที ไม่มีกั๊ก
ในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงค์โปร์ เทคโนโลยีภาพเสมือนนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการขายอสังหาฯครับ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การขายห้องโครงการเท่านั้น แต่บรรดานายหน้ามืออาชีพทั้งหลาย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโชคดีจริงๆที่โลกนี้มี VR จนนายหน้าหลายๆคนต้องลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ถ่ายภาพ 360 ขึ้นมาเพื่อเอามาปรับลงในแพลตฟอร์ม VR กันเลยทีเดียว เพราะว่ามันช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปเปิดบ้านทำ Openhouse ให้กับลูกค้ารายย่อย จนเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกมากโข
ก้าวต่อไปของวงการนายหน้าอสังหาฯ: เมืองแทมปาขายบ้านด้วยระบบเสมือน
DEC VR มีความแตกต่างจากระบบจำลองภาพเสมือนทั่วๆไปก็คือ นอกจากจะจำลองห้องตัวอย่างจริง ยูนิตจริง กี่ร้อยห้องก็ได้มาไว้ในแว่น VR แล้ว ยังยกเอาสภาพบรรยากาศทั้งหมดของโครงการมาให้คุณรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในโครงการจริงๆได้อีกด้วย!!! โดยที่คุณสามารถเลือกได้เลยว่าจะยืนอยู่ตรงไหน ไม่ว่าจะเป็น ล้อบบี้ ดาดฟ้าอาคาร สวนหน้าโครงการ ฟิตเนส พื้นที่ส่วนกลาง หรือจากหน้าต่างอาคารข้างเคียง
อย่างตอนนี้ผมไปยืนอยู่ตรงสระว่ายน้ำโครงการ Life ปิ่นเกล้า แล้วครับ เห็นสะพานพระราม 8 ชัดเชียว
ดูสักพักก็ขึ้นไปดูวิวจากชั้นดาดฟ้าบ้าง เห็นชัดเลยครับว่ามีตึกไหนบัง ไม่ต้องใช้โดรนด้วยซ้ำ
กลับมาดูในห้องต่อก็ยังได้ จะได้เห็นกันจะๆไปเลยว่า ถ้าซื้อห้องนี้แล้ว ได้อะไรบ้าง ซื้อหรือไม่ซื้อก็ว่ามาเล้ยยย
สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่สนใจ อยากลองสัมผัสประสบการณ์จริงของ DEC VR กันบ้าง ตอนนี้ก็มีให้เล่นกันได้ที่งาน AP SPACE VISION อีก 3 แห่งที่เหลือนะครับ
ดูคลิปรีวิว ได้ตามด้านล่างนะครับ
เจาะจุดแข็ง Siamese Asset ทำไมถึงประสบความสำเร็จกับโครงการย่านสุขุมวิทได้อย่างรวดเร็ว พร้อมพรีวิวโปรโมชั่นวันงาน SIAMESE SUKHUMVIT DEALS ครบ คุ้มที่สุดในรอบปี ลดจริง แจกจริง 1 ล้านบาท!
ถ้ากำลังอยากได้คอนโดมิเนียมตามแนวถนนสุขุมวิทอยู่แล้วละก็ รีบเคลียร์คิวให้ว่างแล้วกำเงิน... อ่านต่อ
10 เหตุผลที่ทำให้ Noble BE19 และ Noble BE33 เป็น 2 โครงการที่คุ้มค่ามากกว่าใคร จนต้องหาเงินมาซื้อให้ได้กับแคมเปญ Noble D Day
ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่เกือบทุกรายต่างพากันออกแคมเปญกระตุ... อ่านต่อ
อยากซื้อความสะดวกสบายใจกลางเมือง โดยไม่มีภาระให้ลูกหลาน ที่ Triple Y Residence คอนโดแนวคิดใหม่ ทำเลสามย่าน-สีลม-พระราม 4 คือคำตอบ
ปัจจุบันคอนโด Leasehold ส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในย่านดังๆ อย่างราชดำริ หลังสวน ศูนย์สิริก... อ่านต่อ
10 Must Have Items จาก 3 ร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ที่สาวๆต้องมีไว้ประดับโต๊ะเครื่องแป้งรับปี 2019
สำหรับสาวๆ โต๊ะเครื่องแป้ง คือมุมหนึ่งของห้องที่เราต้องใช้งานอยู่ทุกวัน ซึ่งคงจะดีไม่น้... อ่านต่อ
“โตโต้” อวดโฉมโรงงานผลิตสุขภัณฑ์แห่งที่ 2 จังหวัดสระบุรี หลังทุ่มงบลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท รองรับยอดผลิตปีละ 420,000 ชิ้น ชูเทคโนโลยีอัตโนมัติที่แม่นยำ มีประสิทธิภาพสูง และ Greenovation ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมรุกเปิดตัวสุขภัณฑ์อัจฉริยะสุดหรู NEOREST Series ใหม่ 3 รุ่น และฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET+ อีก 4 รุ่น ปฏิวัติวงการสุขภัณฑ์ด้วยฟังก์ชันการใช้งานสุดล้ำ ตอกย้ำผู้นำสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์อันดับ 1 ที่ผสานดีไซน์และนวัตกรรมระดับโลกไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด
คุณกอล์ฟ ธนากร ธนวริทธิ์ Super CEO ของ All Inspire Development กล่าวในงานเปิดตัวโครงการ Impression Ekkamai - Sukhumvit 61 ซึ่งเป็นโครงการ Flagship โครงการแรกที่มีพันธมิตรชั้นนำจากญี่ปุ่นถึง 2 รายร่วมทุนกันพัฒนาคือ Hoosier Holdings และ JR Kyushu
บริษัทไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ ไลโอเนล ลี (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมคณะผู้บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) (RML) ร่วมกันในโอกาสสำคัญ ในพิธีวางศิลาฤกษ์การพัฒนาโครงการ “One City Centre” อาคารสำนักงานเกรดเอ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าสูง 52 ชั้น ตั้งอยู่ตรงข้ามเซ็นทรัล เอ็มบาสซี่ มีพื้นที่รวมกว่า 6 ไร่ และมีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 65,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 11,500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 โดยมีกฤษณ์ และกรณ์ ณรงค์เดช เข้าร่วมถ่ายภาพ เมื่อเร็วๆนี้