นโยบายที่อยู่อาศัยสำหรับคนรายได้น้อย ต้องคิดให้มากกว่าคำว่า “เป็นเจ้าของ”
ทุกครั้งที่การเมืองไทยเข้าสู่โหมดแข่งขันนโยบาย เรามักได้ยินคำสัญญาซ้ำ ๆ จากหลาย ๆ พรรคว่า “จะทำให้คนมีบ้านเป็นของตัวเอง”
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของบ้านล้านหลัง สินเชื่อดอกต่ำ หรือการขยายสิทธิการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย
แต่คำถามสำคัญที่แทบไม่เคยถูกถามอย่างจริงจังคือ
คนรายได้น้อย “ต้องการเป็นเจ้าของบ้าน” จริงหรือ?
หรือต้องการที่อยู่อาศัยที่ดี ในราคาที่สอดคล้องกับชีวิตจริง?
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนบ้าน แต่คือคุณภาพชีวิต
นโยบายที่อยู่อาศัยของไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มักวัดความสำเร็จด้วย “ตัวเลขความเป็นเจ้าของ”
กี่หลังถูกสร้าง กี่ครัวเรือนได้โฉนด กี่คนเข้าถึงสินเชื่อ
แต่ในชีวิตจริง ดีมานด์ของประชาชนจำนวนมากคือ ห้องพักที่ปลอดภัย, สภาพแวดล้อมไม่ทรุดโทรม, ค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่บั่นทอนรายได้, ทำเลที่ยังเชื่อมต่อกับงาน การเดินทาง และบริการพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้สะดวก
การมีโฉนดในมือ แต่ต้องแบกภาระผ่อนที่ไม่สมดุลกับรายได้
หรืออยู่ในโครงการที่คุณภาพเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว
ไม่ได้หมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปัญหาไม่ใช่กู้ไม่ได้ แต่คือกระแสเงินสดไม่ไหว
รัฐมักมองปัญหาที่อยู่อาศัยผ่านเลนส์ของ สินเชื่อ ดอกเบี้ยต่ำลง ผ่อนนานขึ้น ค้ำประกันเพิ่ม
แต่ความจริงของคนรายได้น้อยคือ รายได้ไม่สม่ำเสมอ, ค่าใช้จ่ายจำเป็นสูง, ไม่มี buffer ทางการเงิน และเงินออมแทบเป็นศูนย์
ต่อให้กู้ผ่านในวันแรก แต่ cash flow รายเดือนคือกับดักระยะยาว
นโยบายบ้านที่ไม่เชื่อมโยงกับการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) คือการผลักความเสี่ยงไปให้ประชาชนรับเอง
ถ้าพรรคการเมืองจริงใจกับคนรายได้น้อย
นโยบายที่อยู่อาศัยต้องมาคู่กับการเสริมทักษะการจัดการเงิน (Financial Literacy), ระบบช่วยออกแบบภาระค่าใช้จ่ายให้เหมาะกับรายได้จริง, ทางเลือกการอยู่อาศัยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของตั้งแต่วันแรก (การเช่าซื้อ)
ที่อยู่อาศัยเก่า คือ ปัญหาที่ถูกมองข้าม
อีกโจทย์ใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง คือ คุณภาพของที่อยู่อาศัยที่มีอยู่แล้ว
แฟลตเก่า คอนโดราคาประหยัด อาคารชุดรายได้น้อยจำนวนมาก
กำลังเผชิญปัญหาโครงสร้างทรุดโทรม ไม่ได้ทาสีใหม่ ระบบไฟฟ้าเสื่อม น้ำรั่ว ลิฟต์ใช้งานไม่ได้ ระบบความปลอดภัยต่ำ กล้องวงจรปิดไม่มี ขาดระบบป้องกันเพลิงไหม้ ฯลฯ
แต่ลูกบ้านไม่มีศักยภาพทางการเงินพอจะซ่อมแซม
ภาพแสดงคุณภาพที่ย่ำแย่ของลิฟต์โครงการอาคารชุดราคาประหยัด
รัฐควรมีบทบาทมากกว่าการสร้างใหม่
เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากสำหรับนิติบุคคลอาคารชุดปรับปรุงสภาพอาคาร การสนับสนุนการยกระดับมาตรฐานขั้นต่ำของที่อยู่อาศัย และรัฐควรมองการซ่อมแซมเป็นการลงทุนด้านคุณภาพชีวิต
เพราะบ้านที่ดี ไม่ใช่บ้านใหม่เสมอไป
แต่คือบ้านที่อยู่แล้วไม่บั่นทอนศักดิ์ศรีและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย



