ตั้งราคาค่าเช่าให้เท่าทันโลก ก่อนที่ความว่างเปล่าจะคืบคลานเข้ามาเงียบๆ
Source : S Oasis ชู Workplace Strategy
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งจากผลกระทบของเทคโนโลยีที่เข้ามาแทนที่แรงงานในหลายสายงาน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ไปจนถึงบทบาทของออนไลน์และ AI ปัญญาประดิษฐ์ที่เริ่มเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนทุกกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพียงเปลี่ยนแค่การใช้ชีวิตของผู้คน แต่ยังส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อรูปแบบการใช้พื้นที่ และท้ายที่สุดก็กระทบมายังเรื่องของ “ค่าเช่า” ที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายท่านต้องพิจารณาอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
ในอดีต การตั้งราคาค่าเช่ามักอิงกับต้นทุนการก่อสร้าง บวกกับผลตอบแทนที่เจ้าของคาดหวัง ซึ่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผลและเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบริบทของผู้เช่าเริ่มเปลี่ยนไป ความสามารถในการจ่ายก็เปลี่ยนตาม ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากต้องการลดต้นทุนเท่าที่ทำได้ พื้นที่เช่าที่เคยจำเป็นกลับกลายเป็นภาระ เพราะบางกิจการย้ายไปอยู่ในโลกออนไลน์ บางกลุ่มผู้เช่าปรับตัวด้วยการทำงานจากที่บ้าน หรือใช้ co-working space ใช้พื้นที่ร่วมกันเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่ที่เคยมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ อาจเริ่มรู้สึก “เกินจำเป็น” ในสายตาของผู้ใช้บางกลุ่ม และเปลี่ยนพื้นที่รุ่งให้กลายเป็นพื้นที่ร้าง
Sporce : กองทรัสต์ SPRIME ไฟเขียวลงทุนอาคารสำนักงาน
“พื้นที่ร้างเป็นโรคติดต่อ”
ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มีความจริงเงียบๆ ที่เจ้าของหลายท่านอาจสังเกตได้แต่ยังไม่ทันได้ใส่ใจ นั่นคือ เมื่อมีพื้นที่ห้องหนึ่งว่างอยู่โดยไม่มีคนเช่า มันไม่ใช่แค่พื้นที่ที่ไม่มีรายได้ แต่มันเริ่มส่งสัญญาณเชิงลบให้กับลูกค้าที่เดินผ่านไปมารวมถึงผู้เช่ารายอื่น และค่อยๆ กระจายอารมณ์ลบไปยังพื้นที่ข้างเคียง เหมือนโรคติดต่อที่ลุกลามอย่างช้าๆ ทีละห้อง ทีละชั้น จนในที่สุดกลายเป็นอาคารที่ไม่มีชีวิต แม้จะยังมีโครงสร้างอยู่ครบก็ตาม เสมือนคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ดีแต่หัวใจไร้ความหมาย
ผู้เช่ามักตัดสินใจจากฟีลลิ่ง จากความรู้สึกว่าพื้นที่มี “การหมุนเวียน” หรือ “การใช้งานจริง” ถ้ารอบข้างเงียบเหงา คนก็ไม่อยากเริ่มลงทุน เพราะไม่มีพลังร่วม และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการถดถอย ซึ่งยากจะฟื้นฟูในภายหลัง
เมื่อบริบทเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว วิธีคิดเดิมของ owner อสังหาฯ ก็อาจต้องขยับตามเช่นกัน นั่นทำให้มีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งอยากฝากไว้ให้ลองพิจารณา นั่นคือการขยับจากการวัด “ผลตอบแทนจากการลงทุน” หรือ ROI (Return on Investment) ที่เน้นไปที่ตัวเลขผลกำไรของเจ้าของ ไปสู่แนวคิดที่เรียกว่า ROU หรือ Return on Usability ซึ่งหมายถึง “ผลตอบแทนจากการใช้งาน” ในมุมของผู้เช่าเอง