เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย โชว์ความสำเร็จด้าน ESG นำนวัตกรรมที่อยู่อาศัย สร้างความยั่งยืนกว่า 70 โครงการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย โชว์ผลงานการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ตามแนวคิด ESG เพื่อมุ่งยกระดับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ หลังนำนวัตกรรมที่อยู่อาศัยมาประยุกต์ใช้ในโครงการกว่า 70 โครงการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้านความยั่งยืนในปัจจุบัน พร้อมเตรียมเดินหน้าขยายผลแนวคิด ESG เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่และยั่งยืนต่อไปในปี 2568
นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้มีความยั่งยืน ตามแนวคิด ESG โดยมีส่วนร่วมในการใส่ใจดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่บริษัทฯ มุ่งขับเคลื่อนมาโดยตลอด เพื่อสร้างการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้สังคมในปัจจุบันและสามารถส่งต่อรุ่นต่อไปได้อย่างยั่งยืน ด้วยการนำนวัตกรรมที่อยู่อาศัยเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งการยกระดับการอยู่อาศัยของลูกบ้าน การดูแลชุมชนและสังคม รวมถึงการร่วมบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างรับผิดชอบ
“โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะติดตั้งโซลาร์ รูฟ ในโครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมของทุกโครงการใหม่ รวมถึงบ้านตัวอย่าง สำนักงานขาย คลับเฮ้าส์ และพี้นที่ส่วนกลางของโครงการ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 299 ยูนิต หรือคิดเป็นกำลังการผลิต 1,500 กิโลวัตต์ ซึ่งปัจจุบันสามารถติดตั้งไปแล้ว 247 ยูนิต มีกำลังการผลิตไฟประมาณ 1,222 กิโลวัตต์ หรือคิดเป็น 81% จากเป้าหมาย โดยหากใช้กำลังการผลิตได้ตลอดทั้งปีจะสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากไฟฟ้าที่ซื้อมา (Indirect Emissions) ได้ถึง 1,112 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
ขณะเดียวกัน การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทางบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในห่วงโซ่คุณค่า โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างหลัก เช่น การเลือกใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกที่มีการเพิ่มส่วนผสมทดแทนโดยที่ยังคงคุณภาพและคุณสมบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม การเลือกใช้สีจากผู้ผลิตที่พัฒนาการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ถึง 2,012 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะสร้างความร่วมมือและผลักดันการใช้วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ให้มีการคำนวณหรือรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในระดับผลิตภัณฑ์ เช่น อิฐมวลเบา เหล็ก ผนัง Precast และกระเบื้องหลังคา เพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และสอดคล้องกับเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึง 42% ภายในปี 2573