Propholic ทราบข่าวมาว่าช่วงนี้รัฐบาลไทยกำลังจะเปิดตัว “Tourist DigiPay” ในไตรมาส 4 ปี 2525 เลยจะขอมาเล่าให้เพื่อนอสังหาฟังกันหน่อย

https://unsplash.com/photos/a-person-holding-a-coin-in-front-of-a-computer-sM4r-swmcoY

Tourist Digipay ฟังชื่ออาจดูเท่ ๆ มันคือช่องทางที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเอา cryptocurrency เงินคริปโตหรือสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้จ่ายในเมืองไทยได้เลย ไม่ต้องวุ่นวายแลกเงินที่โต๊ะแลก ไม่ต้องพกเงินสดให้เสี่ยง ๆ เขาแปลงเป็นเงินบาทแล้วจ่ายได้ตรงผ่านระบบที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย

สำหรับวงการอสังหาฯ โดยเฉพาะฝั่งบริการอย่างโรงแรม รีสอร์ต รวมไปถึงธุรกิจบริการอย่างร้านอาหาร สปา หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยว นี่ถือว่าเป็นโอกาสน่าสนใจมาก เพราะกลุ่มลูกค้าที่ใช้ Tourist DigiPay มักจะเป็นสายเทคโนโลยี นักลงทุนคริปโต ไปจนถึงนักเดินทางรุ่นใหม่ กลุ่มนี้มีเงินถุงเงินถังมากมายแต่ไม่มีที่ให้ spend เงินใช้สักที เป็นกลุ่มที่อยากได้ประสบการณ์ทันสมัย ไม่อยากเสียเวลาแลกเงิน หรือแม้แต่กลุ่มไฮเอนด์ที่อยากใช้คริปโตเป็นเครื่องมือชำระเงินแบบพรีเมียม ถ้าโรงแรมหรือธุรกิจคุณรองรับการจ่ายแบบนี้ได้ รับรองว่าจะกลายเป็นจุดขายที่แตกต่างและดูทันสมัยขึ้นทันที

แต่ก็เชื่อว่าหลายคนอาจยังสงสัยว่า “คริปโตคือเงินที่ใช้งานได้จริง ๆ ไหมหรือแค่เอาไว้เก็งกำไร?” อธิบายง่าย ๆ คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ก็คือ “เงินดิจิทัล” ที่ทำงานบนระบบบล็อกเชน ซึ่งโปร่งใสและตรวจสอบได้ มูลค่ามีการเปลี่ยนแปลงเหมือนค่าเงินทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในรูปธนบัตรหรือเหรียญที่จับต้องได้ ถ้าใครยังไม่คุ้นเคยหรือกังวลว่ามันทำงานอย่างไร อยากให้ลองไปอ่านหนังสือแนวความรู้เกี่ยวกับคริปโต https://serazu.com/web/search/index?filter_search=all&search=Crypto จะช่วยปูพื้นฐานและทำให้เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น

สรุปสั้น ๆ ว่า cryptocurrency มันเป็น concept of money แบบใหม่ เป็นเงินที่มี community ผู้คนในโลกยอมรับและเชื่อมั่นว่ามีคุณค่า เหตุผลเพียงเท่านั้นก็เพียงพอที่จะเข้าร่วมแล้ว แต่ยังไงก็ตามควรทำความเข้าใจเพิ่มเติมให้รู้ถึงกลไกของมันด้วยจะดีกว่า

กลับมาขอสรุปรายละเอียดโครงการ Tourist Digipay คือ การเปิดทางให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล (cryptocurrency) สามารถแปลงมาเป็นเงินบาท (Thai Baht) เพื่อใช้จ่ายในประเทศไทยได้อย่างสะดวก ผ่านระบบที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายได้ทั้งร้านค้ารายย่อยในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน และร้านค้าที่ผ่านการรับรอง KYM (Know Your Merchant) ได้สูงสุดถึง 500,000 บาทต่อเดือน

https://unsplash.com/photos/gold-colored-bitcoin-iGYiBhdNTpE

หลังจาก public hearing การเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการทดสอบ (Sandbox) การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พบว่ามีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นรวม 257 ราย ส่วนใหญ่คือบุคคลทั่วไปและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเสียงส่วนใหญ่กว่า 95% เห็นด้วยกับหลักการของโครงการและข้อเสนอสำคัญ ได้แก่ การขยายขอบเขตให้ครอบคลุมผู้ใช้บริการชาวไทย, การเพิ่มวงเงินแลกเปลี่ยนต่อเดือน, การรวมแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการ Digital Asset และ e-money เพื่อความสะดวก, และการผ่อนปรนเอกสารยืนยันตัวตน

ขณะที่สำนักงาน ก.ล.ต. ชี้แจงว่ายังคงหลักเกณฑ์เดิมเพื่อควบคุมความเสี่ยง โดยจำกัดวงเงินสูงสุด 500,000 บาทต่อเดือนต่อคน และเน้นว่าการทดสอบ sandbox นี้มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไร ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจ Digital Asset ส่วนใหญ่ประเมินว่าการพัฒนาระบบใช้เวลาประมาณ 3–6 เดือนก่อนเข้าร่วมโครงการได้

แต่อีกมุมนึงก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่า คนในวงการคริปโตบางกลุ่มอาจจะรู้สึกว่านโยบายนี้ยังไม่สะดวก หรือดูเชยไปหน่อย เพราะพวกเขาเชื่อว่าโลกคริปโตควรจะอิสระเสรีกว่านี้ ไม่ต้องมีกติกามากมาย แต่ในความเป็นจริง นี่คือก้าวแรก ๆ ของการเชื่อมโยงผลประโยชน์ให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ทั้งนักลงทุน คนใช้คริปโต คนจากภาค real sector ภาคธุรกิจท่องเที่ยว และหน่วยงานกำกับดูแล มันเลยอาจจะไม่หวือหวาทันใจในตอนแรก แต่ถ้าเรามองว่าเป็นการปูทางเพื่อให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน ก็อยากชวนให้ใจเย็นๆ แล้วรอดูว่าขั้นต่อไปการพัฒนาจะไปถึงขั้นไหน

https://unsplash.com/photos/person-holding-20-us-dollar-bill-OqEPgkdX3RA

สำหรับธุรกิจโรงแรมก็แน่นอนว่ามันก็มีความท้าทายอยู่บ้าง ทั้งเรื่องต้นทุนการติดตั้งระบบ ค่าธรรมเนียม ความผันผวนของราคาคริปโต และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ต้องทำตาม (แบบแม้จะงง ๆ ในช่วงแรกก็ตาม) แต่ถ้าเริ่มต้นแบบทดลอง ค่อย ๆ ปรับทีละก้าว เลือกพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ และอบรมทีมงานให้เข้าใจระบบ ก็จะช่วยให้เดินเกมนี้ได้ปลอดภัยและมั่นใจขึ้น

มองในมุมการตลาด Tourist DigiPay สามารถเอามาใช้สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจได้เต็มที่ จะสื่อสารว่าที่พักของคุณ “ทันโลก รองรับการจ่ายคริปโต” หรือจัดโปรโมชั่นเล็ก ๆ สำหรับลูกค้าที่ใช้ช่องทางนี้ ก็กลายเป็นจุดดึงดูดใหม่ ๆ ที่คู่แข่งอาจยังไม่มี และที่สำคัญคือช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าอยู่ที่ไทยแล้วสะดวกไม่แพ้ประเทศพัฒนาแล้ว

พูดกันตรง ๆ เลยว่า ใครที่ปรับตัวทันก่อน นโยบายนี้จะไม่ใช่แค่เครื่องมือการเงินใหม่ แต่จะกลายเป็นตัวเร่งรายได้ ขยายฐานลูกค้า และทำให้ธุรกิจโรงแรมหรือท่องเที่ยวของคุณดูทันสมัยขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลกเลยทีเดียว

สิ่งสำคัญที่อยากชวนคิดต่อก็คือ เรื่องนี้มันไม่ได้จบแค่ “โรงแรมยอมรับคริปโต” เท่านั้นนะครับ แต่จริงๆ แล้วต้องมองเป็นภาพใหญ่ของทั้งระบบ supply chain เลย คนฝั่งคริปโตเองก็ต้องช่วยออกแบบโครงสร้างการจ่ายเงินที่โปร่งใส ปลอดภัย ใช้ง่าย ส่วนคนโรงแรมกับภาคท่องเที่ยวก็ต้องปรับตัวเรียนรู้วิธีทำธุรกรรมแบบใหม่ให้คล่องมือ การทำงานร่วมกันตรงนี้คือการเชื่อมโลกดิจิทัลเข้ากับโลกจริงได้อย่างสวยงาม และถ้าเราขับเคลื่อนให้สำเร็จจริง มันอาจไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่กลายเป็น new trend ให้กับเศรษฐกิจไทยเลยก็ได้ เพราะเราจะมีทั้งเทคโนโลยีใหม่มาสนับสนุน และมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่แข็งแรงอยู่แล้วมารองรับ

และอนาคตก็ไม่แน่ ถ้าเกิดว่าโครงการนี้เป็นที่นิยมและรัฐเริ่มเห็นช่องทางรายได้ก็อาจจะขยายมาถึงการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถหอบเงิน digital asset มาใช้ลงทุนอสังหาอย่างคอนโดมิเนียมได้อย่างสะดวกขึ้นก็เป็นไปได้ ขอแค่ช่วยกันร่วมมือกัน

แหล่งข้อมูล

https://sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=11895

โครงการทดสอบ (Sandbox) การนําสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ

https://www.law.go.th/listeningDetail?survey_id=NTU0NkRHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=