Self-Development Contribution Tax ปัญหาเดอะแบกของบ้านจะหมดไปด้วยแนวคิดภาษีชนิดใหม่เพื่อแก้ปัญหาสังคม

ต่อทอง ทองหล่อ 22 September, 2025 at 15.22 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


https://unsplash.com/photos/person-holding-paper-near-pen-and-calculator-xoU52jUVUXA

 

ในบ้านหนึ่งหลังมักมี “เดอะแบก” หรือคนที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ดูแลค่าใช้จ่าย และความเป็นอยู่ของสมาชิกทั้งครอบครัว

 

บ่อยครั้งผู้แบกนี้อาจเป็นหัวหน้าครอบครัว คนที่ทำงานหนักครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้คน อื่นกินอิ่มนอนอุ่น ทั้งในเมืองและชนบท

 

ภาระนี้มีผลกระทบหลายด้าน เช่น ด้านสังคม คนที่แบกภาระทั้งชีวิตอาจซึมเศร้า เครียด กังวลความสัมพันธ์ครอบครัว ผู้ที่เป็นเดอะแบกอาจไม่มีเวลาของตัวเอง ขาดความสุข หรือโอกาสในการพัฒนาตัวเองเพราะมัวแต่ต้องแบกสมาชิกในครอบครัว

 

ปัญหาด้านการเงินครอบครัว เช่น สัดส่วนรายได้ที่จะเหลือหลังหักภาระครอบครัวอาจจะต่ำมาก การออมหรือการลงทุนอนาคตด้านสุขภาพ การศึกษาของตนเองหรือบุตรมักถูกละเลย

 

ด้านโอกาสของชีวิต หากผู้เป็นเดอะแบกไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา ขาดการฝึกทักษะ ไม่ได้รับการพัฒนา จะยิ่งทำให้ วงจรเดอะแบกไม่มีสิ้นสุด ยิ่งไม่มีโอกาสพัฒนา กลายเป็นภาระต่อเนื่อง ไม่มีวันจบและส่งต่อภาระสู่คนรุ่นถัดไป

 

เพื่อตัดวงจรร้าย สิ่งที่รัฐต้องทำคือทำยังไงก็ได้ให้ทุกคนที่ยังมีความสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายขั้นต่ำคือการสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ (Self-sufficient)

 

ดังนั้นจึงมีการนำเสนอแนวคิดภาษีชนิดใหม่ ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาสังคมนี้ (ยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่กำลังรอพรรคการเมืองที่ถือครองเสียงคนชนชั้นกลางเสนอในรัฐสภา) นั่นคือเรื่อง “ภาษีเสริมสร้างตนเอง” (Self-Development Contribution Tax)  เป็นไอเดียที่เสนอขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้คนในวัยทำงานของไทยไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะในด้านรายได้หรือทักษะชีวิต

 

แนวคิดภาษีเสริมสร้างตนเองนี้มองว่า แม้ในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (individual tax) จะเก็บจากคนที่มีรายได้เป็นหลัก แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในวัยทำงานแต่ไม่มีรายได้หรือยังไม่พัฒนาตนเอง จนกลายเป็นภาระของสังคมโดยไม่ได้ตั้งใจ รัฐจึงควรสร้าง “กลไกลดช่องว่าง” ผ่านระบบภาษีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ภาษีเสริมสร้างตนเอง” ซึ่งเป็นทั้งแรงจูงใจและโอกาสที่จะทำให้ทุกคนไม่เป็นภาระให้แก่กันและกัน

 

Fact จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO)

สังคมไทยมีสถิติที่น่าสนใจ ปี 2025 ไตรมาสแรกมีผู้ว่างงานราว 360,000 คน อัตราว่างงานประมาณ 0.88% ของกำลังแรงงานทั้งหมด แม้ตัวเลขจะดูต่ำ แต่ถ้าพิจารณาโครงสร้างแรงงานนอกระบบแล้ว จะเห็นว่าแรงงานนอกระบบมีจำนวนมากถึง 21 ล้านคน หรือคิดเป็นราว 52.3% ของกำลังแรงงานทั้งหมดยังอยู่ “นอกระบบภาษี” และไม่ได้รับหลักประกันทางสังคมที่เพียงพอ

 

ประมาณการว่ามีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2566 เกิน 11.99 ล้านคน เมื่อเทียบกับกำลังแรงงานทั้งหมดราว 40 ล้านคน ก็ทำให้เห็นภาพชัดว่ามีช่องว่างที่ยังดึงไม่เข้ามาในระบบภาษี รัฐจึงไม่ทราบข้อมูลรายได้ของบุคคลนอกระบบภาษีเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นทั้งคนที่มีงานทำ ตกงานหรือไม่ได้ทำงานเลยอยู่ก็เป็นไปได้

 

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า ปัญหาแรงงานนอกระบบที่มีสัดส่วนสูงเหล่านี้อาจเป็นคนที่เดอะแบกของบ้านกำลังแบกอยู่ก็เป็นได้ และนั่นคือเรื่องที่แนวคิดภาษีชนิดใหม่นี้พยายามเข้ามาตอบโจทย์

 

ในปี 2567 แรงงานนอกระบบมีจำนวนมากกว่าแรงงานในระบบประมาณ 2.2 ล้านคน จากผู้มีงานทำทั้งสิ้น 40.0 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 21.1 ล้านคน (52.7%) และเป็นแรงงานในระบบ 18.9 ล้านคน (47.3%) โดยแรงงานนอกระบบเพศชายมีจำนวนมากกว่าเพศหญิง

 

การกระจายตัวของแรงงานนอกระบบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของแรงงาน นอกระบบมากที่สุด คือ 75.2% รองลงมาเป็น ภาคเหนือ 69.8% และภาคใต้ 58.4% ส่วนในกรุงเทพมหานครและภาคกลางมีแรงงานนอกระบบน้อยกว่าแรงงานในระบบ

ภาพจาก THE INFORMAL EMPLOYMENT SURVEY 2024 www.nso.go.th

ภาษีเสริมสร้างตนเอง อาจจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

แนวคิดภาษีเสริมสร้างตนเองที่นำมาเสนอคือ การตั้งเกณฑ์ “เส้นขั้นต่ำสมรรถนะ (Minimum Performance Line)” เทียบเท่ากับรายได้สุทธิ 150,000 บาทต่อปี ซึ่งเป็นเกณฑ์เดียวกับระดับรายได้ที่เริ่มเข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปัจจุบัน เมื่อใครไม่ถึงเกณฑ์นี้ และไม่ได้มีเครดิตจากการเรียนรู้ตามเกณฑ์ของธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ (National Credit Bank) หรือไม่ได้เก็บเครดิตชั่วโมงจิตอาสาที่รัฐรับรอง รวมทั้งไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ รัฐจึงให้มีการเก็บภาษีเสริมสร้างตนเอง โดยคิดเป็น 5% ของ “ช่องว่างสมรรถนะ (Performance gap)” ระหว่างเส้นขั้นต่ำกับ performance สิ่งที่แต่ละคนทำได้จริงในรอบปีภาษีนั้น

ภาพอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก https://www.taxbugnoms.co/personal-income-tax/

 

ยกตัวอย่างเช่น รายได้ที่มี + Learning & Social Work Credit (เครดิตเรียนรู้ + เครดิตอาสาสมัคร) หากตลอดปีไม่มีพัฒนาการใดๆ เลย รัฐจะบวกค่าปรับเล็กน้อยอีก 2,000 บาท แต่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย แต่อย่างไรก็ตามภาระภาษีเสริมสร้างตนเองทั้งหมดจะไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี จุดประสงค์คือให้เป็นแรงผลักดัน ไม่ใช่แรงกดดัน

 

ลองนึกภาพตัวอย่างเพื่อเห็นภาพชัดขึ้น อย่างกรณีแรกคือ

นายเอ ซึ่งเติบโตในครอบครัวยากจน ไม่มีงานทำ และตัดสินใจอยู่บ้านโดยใช้เงินช่วยเหลือจากญาติ เขาไม่มีรายได้ ไม่มีเครดิตการเรียนรู้หรืออาสาสมัคร ช่องว่างของเขาจึงเท่ากับ 150,000 บาท ภาษีเสริมสร้างตนเองจึงคำนวณจาก 5% ของช่องว่างที่หมายถึง 7,500 บาท นี่คือยอดภาษีเสริมสร้างตนเองที่น่ยเอต้องเสียปีนั้น แต่หากเขาเริ่มเรียนหลักสูตรฝึกอาชีพฟรีที่รัฐจัดให้หรือเรียนจากเอกชนที่รัฐรับรอง หรือเข้าร่วมอาสาสมัครเพียงเล็กน้อยถึงเกณฑ์ที่ปีนั้นกำหนด ช่องว่างก็จะลดลง และภาษีก็จะลดลงตามไปด้วยอย่างอัตโนมัติ

 

ในกรณีที่สองคือ นางสาวบี ลูกสาวคนรวยที่จบการศึกษาและอยากใช้ชีวิตเฉย ๆ โดยไม่ทำงาน ไม่เรียนอะไรเพิ่มเติม และใช้ชีวิตจากเงินปันผลจากธุรกิจของครอบครัว หากเธอไม่มีรายได้สุทธิในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ช่องว่างของเธอก็ยังเท่ากับ 150,000 บาทเหมือนกรณีนายเอ ดังนั้นภาษีเสริมสร้างตนเองของนางสาวบีจึงเท่ากับ 7,500 บาทต่อปีเช่นกัน แต่หากเธอเริ่มพัฒนาตนเอง เช่น ลงเรียนหลักสูตรออนไลน์ หรือเข้าร่วมกิจกรรมสังคม ภาษีนี้ก็จะลดลง หรืออาจไม่ต้องจ่ายเลยก็ได้

 

เพื่อไม่ให้แนวคิดนี้ถูกเข้าใจว่าเป็นการลงโทษคนจน กลไกเสริมหนึ่งที่เสนอคือ การให้เข้าร่วม “ธนาคารจิตอาสา” ซึ่งดำเนินโดยมูลนิธิ วัด หรือองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาแต่ไม่มีรายได้สามารถสมัครเป็นจิตอาสาทำงานเพื่อสังคม เช่น สนับสนุนโรงเรียนในชนบท ช่วยงานผู้สูงอายุ เก็บคัดแยกขยะในชุมชน หรือดูแลสิ่งแวดล้อม เมื่อเข้าร่วมแล้วจะได้รับเครดิตชั่วโมงจิตอาสา ซึ่งใช้หักลดภาษีเสริมสร้างตนเองได้ วิธีนี้นอกจากไม่ต้องเสียเงินภาษีแล้ว ยังมีความหมายเชิงสังคมว่าได้ส่งคืนคุณค่าให้กับสังคมผ่านความตั้งใจด้วย เสริมสร้างความภาคภูมิใจและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

เว็บไซต์ธนาคารจิตอาสา https://www.jitarsabank.com/

 

สิ่งที่แนวคิดนี้พยายามทำคือ สร้างระบบที่ดึงคนทุกกลุ่มให้มาร่วมพัฒนาตนเอง โดยไม่ปล่อยให้ใคร “หยุดนิ่งจนกลายเป็นภาระ” และในขณะเดียวกันก็ไม่กดคนจนเกินไป เพราะมีเพดานภาระที่เหมาะสม พร้อมทั้งเปิดทางให้คนที่ไม่มีงานทำมีอำนาจเลือกผ่านการเรียนหรืออาสาสมัคร เพื่อไม่ให้เสียภาษี ในที่สุด มันคือการสร้างระบบที่ไม่มีใคร “อยู่นอกระบบ” ทั้งถูกดึงเข้าด้วยโอกาสและแรงจูงใจ ไม่ว่าจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ทักษะที่พัฒนา หรือการได้คืนกลับให้สังคม

 

จะเห็นว่าไอเดียภาษีเสริมสร้างตนเองเป็นระบบที่ไม่เพียงแต่เสริมสร้างภาษีให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แต่ยังเสริม “แรงผลักทางสังคม” ให้ทุกคนใช้ศักยภาพของตัวเอง และได้เติมเต็มคุณค่าแก่สังคมผ่านการเรียนหรือการดูแลเพื่อนมนุษย์ คืนความหวังว่าประเทศจะพัฒนาไปพร้อมกับประชาชนอย่างแท้จริง

 

ผลลัพธ์ทางอ้อมของภาษีเสริมสร้างตนเองกับวงการอสังหาริมทรัพย์

เมื่อภาครัฐจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม ย่อมช่วยให้พัฒนาให้ประชาชนมีงานทำและมีรายได้ที่มั่นคงขึ้น รายได้ที่ดีขึ้นหมายถึงคนสามารถเลี้ยงดูตนเองและรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นได้ มีเงินเก็บและเงินออมมากขึ้น สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อ เพราะธนาคารจะมองเห็นศักยภาพของผู้กู้ได้ชัดเจนขึ้น เมื่อประชาชนมี เครดิตทางการเงินที่ดี และ กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลทางอ้อมทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการซื้อบ้าน พัฒนาที่ดิน มีความคึกคักมากขึ้นในระยะยาว

 

คุณมีความคิดเห็นอย่างไรต่อภาษีชนิดใหม่นี้ มาแสดงความเห็นกันเถอะ.

 

ที่มา

https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2025/20241125143625_37256.pdf

ต่อทอง ทองหล่อ

ต่อทอง ทองหล่อ

บรรณาธิการสื่อเกี่ยวกับการศึกษา และ Blogger ผู้มีผลงานการวิเคราะห์ด้านอสังหาฯ มามากกว่าร้อยบทความ ยังเป็นผู้สนใจลงทุนคอนโดมิเนียม ชอบใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad รักการเดินเท้าและเลือกใช้ขนส่งมวลชนสำรวจความเปลี่ยนแปลงของทำเลสถานที่ผ่านมุมมองการเข้าใจมนุษย์ นอกจากนี้ยังเป็น Active Citizen ช่วยขับเคลื่อนพัฒนาเมืองผ่านงานเขียนและเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมรัฐกับประชาชน เป้าหมายระยะยาวต้องการเห็นคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นของทุกคนในสังคม ติดตามผลงานได้ที่ https://matttortong.weebly.com

เว็บไซต์

โค้บบ์ ลาดพร้าว-สุทธิสาร

ศุภาลัย เอลีท สุขุมวิท 39

แอสปาย สุขุมวิท – พระราม 4

ASPIRE สุขุมวิท-พระราม 4 คือ คอนโดไฮบริดพร้อมอยู่ที่...

21 July, 2025

บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์

มาพร้อมงานดีไซน์แบบใหม่ “Modern Simplicity ความเรียบ...

11 July, 2025

แอสปาย อ่อนนุช สเตชั่น

ASPIRE อ่อนนุช สเตชั่น (ASPIRE Onnut Station) คือคอน...

2 June, 2025

เรฟเฟอเรนซ์ เกษตร ดิสทริค

Reference เป็นแบรนด์ดีไซน์คอนโดในกลุ่ม Mid-Tier ของ ...

9 March, 2025

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง