Real Estate in Quantum Era 2035 อีกสิบปีข้างหน้า… อสังหาฯ จะเปลี่ยนไปแค่ไหน

ต่อทอง ทองหล่อ 11 November, 2025 at 14.44 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


บทความนี้ Propholic.com จะพาข้ามไปอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกอสังหาฯ บ้าง เหตุการณ์เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นต่างประเทศก่อนแล้วค่อยมาที่ไทยก็เป็นไปได้ ลองอ่านเพื่อความบันเทิงและถ้าคิดว่าข้อไหนเป็นประโยชน์ก็ลองเอาไปปรับใช้และรับมือกับอนาคตที่เทคโนโลยีจะเติบโตมากกว่าที่เราเห็นในปัจจุบัน

 

1. ปี 2035 วันที่บ้านมีสมองและเมืองมีจิตวิญญาณ

ในปี 2035 โลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่มนุษย์กับเทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งแยกจากกันอีกต่อไป เมื่อ AI และ Quantum Computer ผสานเข้ากับโครงสร้างของเมือง จนระบบเศรษฐกิจทั้งหมดเปลี่ยนจากสิ่งปลูกสร้างไปเป็น “สิ่งมีชีวิตทางข้อมูล (Data Organism)” เราจะเห็นอาคารที่เริ่มคิดได้ เมืองที่เริ่มเข้าใจเรา และข้อมูลพลังงานกลายเป็น currency เป็นเงินตรารูปแบบใหม่ สิ่งที่เราเห็นในวันนี้จึงเป็นเพียงต้นแบบของโลกที่กำลังมาถึง โลกที่บ้านไม่เพียงให้ที่พัก แต่เรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับผู้อยู่อาศัย คงเป็นอะไรที่น่าทึ่ง

สิ่งที่เราจะเจอในช่วงเริ่มต้นของยุคนี้ คือ “บ้านและที่ดิน” จะไม่ใช่สมบัตินิ่งๆ อีกต่อไป มูลค่าจะผันผวนตามข้อมูลจริงแบบ Dynamic Pricing เช่น การใช้พลังงาน ค่าคะแนนสิ่งแวดล้อม ความสะอาดของอากาศ การปล่อยคาร์บอน และคุณภาพชีวิตโดยรอบ เพราะทุกอย่างวัดได้หมด

สินทรัพย์ที่เราควรเตรียมให้ลูกหลานไม่ใช่แค่ทรัพย์สินอย่างแปลงที่ดิน แต่คือ PropTech Literacy ความรู้ความเข้าใจในการจัดการข้อมูลอสังหาฯ และทักษะเข้าใจระบบพลังงานของบ้าน พลังงานนี้ไม่ได้หมายถึงแค่พลังงานไฟฟ้าแต่หมายถึงทุกๆ อย่างที่สังคมโลกในอนาคตจะกำหนดว่าอะไรบ้างที่จะถูกนำมาคำนวณเป็นพลังงาน เพราะบ้านในอนาคตจะต้องเชื่อมต่อกับโครงข่ายข้อมูลเมือง และใครที่เข้าใจระบบนี้ก่อน คนนั้นจะได้เปรียบในการใช้ชีวิต

 

2. ยุคที่เมืองเริ่มเรียนรู้เองได้ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์

ในช่วงปี 2025–2030 โลกอสังหาริมทรัพย์เริ่มแปลงร่างจากกายภาพสู่ดิจิทัล เช่น ปัจจุบันเว็บไซต์โพสต์ประกาศอสังหา เราก็เห็นแล้วว่ามูลค่าอสังหาเริ่มทำนายได้จาก big data ในอินเทอร์เน็ต , เราเริ่มเห็นทิศทางของข้อมูล open data ของภาครัฐแสดงว่าย่านไหนจะมีการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น ดังนั้นอนาคตเมืองใหญ่ๆ จะเริ่มมี “ร่างจำลองเสมือนจริง” หรือ Digital Twin City ที่ทำให้เราสามารถดูการเติบโตของเมืองได้แบบจำลองสามมิติ การสร้างอาคารไม่ใช่เพียงเรื่องของสถาปัตยกรรมอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการจำลองระบบเศรษฐกิจ พลังงาน และจิตวิทยาคนเมืองก่อนลงมือสร้างจริง

 

สิ่งที่เราจะเจอในอนาคตคือ บ้านและคอนโดหรือที่อยู่อาศัยแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่พักอาศัยรุ่นใหม่จะถูกออกแบบโดย AI ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ก่อนเข้าอยู่ บางแห่งมีระบบวิเคราะห์สุขภาพผู้อยู่อาศัย บางแห่งวัดอารมณ์เพื่อปรับแสงและเสียงอัตโนมัติ

สิ่งที่ควรเตรียมให้รุ่นลูกหลานจึงไม่ใช่เพียงมรดกทางทรัพย์สิน แต่คือ Digital Autonomy ทักษะรู้เท่าทันเทคโนโลยีในบ้าน เช่น การควบคุมระบบอัตโนมัติ การอ่านค่าพลังงาน และการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวไม่ให้รั่วไหล เพราะบ้านในอนาคตจะเป็นศูนย์รวมข้อมูลชีวิต และใครที่ไม่รู้จักดูแลข้อมูลตนเอง อาจเสียสิทธิ์ในการครอบครองได้

 

3. การมาถึงของ Quantum Computer ทำให้ออกแบบเมืองได้ละเอียดกว่าฝัน

ควอนตัมคอมพิวเตอร์ อธิบายสั้นๆ คือคอมพิวเตอร์ที่มีการคำนวณที่สูงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมหาศาลจนทำให้โจทย์ที่แก้ไขยากและใช้เวลานานกลายเป็นง่ายและรวดเร็วไวมาก เทคโนโลยีจะสร้างผลกระทบทั้งทางที่ดีและท้าทายหลายอย่างไปพร้อมกัน และแน่นอนกระทบกับชีวิตคนธรรมดาอย่างเราๆ แน่นอน อย่างน้อยก็ด้านการเงินในบัญชีของเราที่จะได้รับผลกระทบจากการอัปเกรด Banking Security เพื่อหนีให้พ้นศักยภาพการถอดรหัสของควอนตัมคอมพิวเตอร์

เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมเริ่มใช้งานจริงในช่วงปี 2035 (ตัวแทนจาก IBM เคยคาดการณ์ปีดังกล่าวไว้) เมืองทั่วโลกเริ่มสามารถจำลองการเติบโตของตนเองในระดับอะตอม ระบบ Quantum Urban Simulator วิเคราะห์ได้แม้กระทั่งว่า อาคารสูงขนาดไหนจะทำให้ลมหมุนดีขึ้น หรือวัสดุแบบใดปล่อยคาร์บอนน้อยที่สุด เมืองที่ออกแบบด้วยข้อมูลละเอียดระดับนี้จะ “สมดุล (Harmony)” ทั้งพลังงาน สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปรค่าเป็น ค่า Urban Harmony Index (UHI) เอาไว้วัดระดับว่าทำเลไหนดีหรือแย่

นิยามคำว่าทำเลที่ดีในอนาคตจะเปลี่ยนไป บางที “ทำเลดี” อาจจะเปลี่ยนความหมายเป็นทำเลที่มี Urban Harmony Index มีค่าความสมดุลเมืองสูง ถ้าจะให้มองทำเลที่ใกล้เคียงกับอุดมคติความสมดุลเมืองสูงที่มองเห็นได้ชัดในปัจจุบันอาจจะเป็นโครงการ Forestias เพราะออกแบบให้มีความสมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ผู้คนสังคม และเศรษฐกิจ

ภาพจาก https://mqdc.com/about

 

สิ่งที่เราจะเจอคือคำว่า “ทำเลดี” จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พื้นที่ที่มีลมหมุนดี มีต้นไม้ดูดคาร์บอน มีพลังงานหมุนเวียน พื้นที่ที่มีค่า UHI สูงจะเรียกว่ามีมูลค่าสูงกว่าพื้นที่กลางเมืองที่ร้อนจัดหรือใช้พลังงานมาก ดังนั้นผู้ที่ครอบครองอสังหาฯ แบบเก่าๆ โดยไม่ปรับปรุงอาจสูญเสียมูลค่าในชั่วข้ามคืน เพราะอย่าลืมว่าราคาอสังหาในอนาคตจะผันผวนแบบ Dynamic Pricing

สิ่งที่เราต้องเตรียมให้ลูกหลานคือความเข้าใจด้าน Green GDP เรื่องสิ่งแวดล้อมในฐานะตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ ให้พวกเขาเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ว่า อสังหาฯ ในอนาคตจะผูกกับพลังงานสะอาด ระบบรีไซเคิลน้ำ และเทคโนโลยีลดคาร์บอน การรู้จักสร้างบ้านที่ดูแลสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่แค่เรื่องจิตสำนึกอีกต่อไป แต่คือเรื่องของความมั่นคงทางการเงินของตระกูล

4. เมื่ออาคารกลายเป็นสิ่งมีชีวิต และบ้านมีประสาทรับความรู้สึก

ในช่วงปี 2035 เป็นต้นไป อาคารจะเริ่มมี “ผิวหนังอัจฉริยะ Smart Surface” ที่ตอบสนองต่ออุณหภูมิและสภาพอากาศ วัสดุใหม่ที่พัฒนาด้วยควอนตัมเคมี (Quantum Chemistry) จะสามารถเปลี่ยนสีเพื่อสะท้อนแสงแดด หรือกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในตัวได้ ระบบ AI ภายในบ้านจะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้อยู่อาศัย คาดการณ์อารมณ์ และปรับบรรยากาศให้เหมาะสม บ้านจะรู้ว่าเราชอบแสงแบบไหนในตอนเช้า หรือเสียงเพลงแบบใดที่ทำให้เราผ่อนคลาย

สิ่งที่เราจะเจอคือ บ้านในอนาคตจะกลายเป็นเพื่อนร่วมชีวิต Life Companion ที่ช่วยดูแลสุขภาพกายและใจของเรา แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันจะรู้เรื่องเรามากกว่าที่เราคิด

สิ่งที่ควรเตรียมให้ลูกหลานคือ AI Literacy ทักษะการอยู่ร่วมกับระบบอัจฉริยะอย่างมีสติและรู้เท่าทัน เพราะบ้านยุคใหม่จะไม่ได้มีแค่กำแพง แต่มีข้อมูลของเราทุกการเคลื่อนไหว ถ้าพวกเขาไม่รู้จักสติและควบคุมสมาธิของตัวเอง ไม่รู้จักการตั้งค่าความปลอดภัย ไม่เข้าใจสิทธิ์ข้อมูล ก็อาจกลายเป็นผู้ถูกควบคุมโดยบ้านของตัวเองโดยไม่รู้ตัว และนั่นคือปัญหาชีวิตที่จะตามมาแม้บ้านจะเป็น Super Smart Home ก็ตาม ถ้าให้เห็นภาพก็เหมือนการปล่อยเด็กเล็กให้อยู่กับหน้าจอมือถืออย่างเดียวโดยไม่ให้เด็กเติบโตตามพัฒนาการอย่างที่มนุษย์ควรจะทำ เด็กก็อาจมีปัญหาทางสมองและจิตใจตามมาได้

 

5. เมืองแห่งจิตสำนึก และชีวิตร่วมกับ AI

ในช่วงปี 2035 เป็นต้นไป เมืองจะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนจากระบบที่รอการสั่งการ เปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่มีจิตสำนึกของตัวเอง เมืองอัจฉริยะสามารถสื่อสารกับประชาชนแบบเรียลไทม์ สมมุติเดินไปบนถนนแล้วระบบลำโพงในเมืองสามารถพูดเสนอแนะว่าอีก 300 เมตรจะถึงคาเฟ่และชวนคุณพักดื่มน้ำเพื่อสุขภาพเพราะมันอ่านข้อมูลเห็นว่าคุณเริ่มมีระดับความกระหายน้ำสูงขึ้น เพราะเทคโนโลยีที่ sync ระหว่างอุปกรณ์ที่ติดตัวเรามา สาเหตุที่มันทำได้เพราะเมืองใช้ข้อมูลสุขภาพ อารมณ์ และพลังงาน เพื่อปรับสมดุลชีวิตของผู้คนให้อยู่ในระดับที่ดีอยู่เสมอ ระบบสาธารณูปโภคเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่ไฟจราจรถึงอุณหภูมิในสวนสาธารณะ ทุกอย่างเรียนรู้เพื่อให้เมืองทั้งเมืองสุขภาพดีเหมือนสิ่งมีชีวิต เหมือนเพื่อน เหมือนพ่อแม่ที่คอยเป็นห่วงเราที่คอยถามว่า เหนื่อยไหม กินข้าวมาหรือยัง

สิ่งที่เราจะเจอในอนาคตคือ บ้านและชีวิตส่วนตัวจะผสานเข้ากับระบบเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราอาจไม่ต้องเสียเวลาแจ้งเรื่องน้ำรั่วหรือไฟดับ เพราะระบบจะตรวจพบและซ่อมเอง แต่ขณะเดียวกัน สิทธิ์ความเป็นส่วนตัวของเราก็จะถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือคอนเซปต์ของความเป็นส่วนตัวอาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในอนาคตก็เป็นไปได้ เพราะความเป็นส่วนตัวอาจเป็นอีกหนึ่งข้อแลกเปลี่ยนในการสร้างรายได้ของเราก็เป็นได้ เช่น ใครอนุญาตเปิดให้ระบบเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจะได้รับสิทธิพิเศษแลกเปลี่ยนกับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เป็นต้น

สิ่งที่ควรเตรียมให้ลูกหลานคือ Digital Minimalism ทักษะการรับรู้ความสามารถของมนุษย์ตามธรรมชาติที่สามารถการกำหนดและควบคุมชีวิตของตนเองได้โดยลดการพึ่งพาเทคโนโลยี เพราะพวกเขาจะโตในโลกที่ทุกอย่างถูกเชื่อมโยง และทุกการกระทำถูกบันทึก ทักษะด้านเทคโนโลยีจะสำคัญเท่ากับทักษะด้านศีลธรรม เพื่อให้พวกเขาอยู่ร่วมกับ AI และระบบเมืองได้อย่างมีความเป็นมนุษย์

 

สรุป มรดกที่แท้จริงไม่ใช่ที่ดิน แต่คือความเข้าใจโลกใหม่

ในอนาคตอันใกล้ อสังหาริมทรัพย์จะไม่ใช่เพียงสิ่งที่เราทิ้งไว้ให้ลูกหลานในรูปของที่ดินหรือบ้าน แต่คือระบบชีวิตที่ต้องเรียนรู้และดูแล บ้านจะเชื่อมกับเมือง เมืองจะเชื่อมกับโลก และโลกจะตอบสนองต่อมนุษย์ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สิ่งที่เราควรมอบให้รุ่นต่อไปจึงไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่คือ “Human-Machine Coexistence ภูมิปัญญาแห่งการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี” ความเข้าใจเรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อม ข้อมูล และความเป็นมนุษย์ในยุคดิจิทัล เพราะในโลกยุคควอนตัม ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ใช่การครอบครองพื้นที่ แต่คือความสามารถในการเข้าใจการเคลื่อนไหวของมัน

โลกที่กำลังมาถึงอาจซับซ้อนและล้ำยุคกว่าที่เราคิด แต่ถ้าเราวางรากฐานความคิดที่ถูกต้องให้ลูกหลานวันนี้  พรุ่งนี้พวกเขาจะไม่เพียงอยู่รอดในยุคควอนตัม แต่จะสามารถ เติบโตในโลกที่บ้านมีสมอง และเมืองมีหัวใจ ได้อย่างงดงาม.

 

แหล่งข้อมูล

– เกี่ยวกับ Quantum Technology https://www.blockdit.com/posts/5fd0cc73a712f00d853b86b7

– เกี่ยวกับการออกแบบ Human-Machine Coexistence https://youtu.be/AFU5aHbLPqo?si=FWTPVQNGQqpXi-k4

– เกี่ยวกับ Quantum Safe https://www.blockdit.com/posts/6910b353b1205d18d69aa940

ต่อทอง ทองหล่อ

ต่อทอง ทองหล่อ

บรรณาธิการสื่อเกี่ยวกับการศึกษา และ Blogger ผู้มีผลงานการวิเคราะห์ด้านอสังหาฯ มามากกว่าร้อยบทความ ยังเป็นผู้สนใจลงทุนคอนโดมิเนียม ชอบใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad รักการเดินเท้าและเลือกใช้ขนส่งมวลชนสำรวจความเปลี่ยนแปลงของทำเลสถานที่ผ่านมุมมองการเข้าใจมนุษย์ นอกจากนี้ยังเป็น Active Citizen ช่วยขับเคลื่อนพัฒนาเมืองผ่านงานเขียนและเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมรัฐกับประชาชน เป้าหมายระยะยาวต้องการเห็นคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นของทุกคนในสังคม ติดตามผลงานได้ที่ https://matttortong.weebly.com

เว็บไซต์

คัลเจอร์ จุฬา

เนอวานา แอทเวิร์ค กรุงเทพกรีฑา

นิว เมกา พลัส บางนา

คอนโดภายใต้แบรนด์ Nue คือโครงการ Flagship ที่สำคัญจา...

3 November, 2025

นิว เรน แจ้งวัฒนะ

Nue REN Chaengwattana (นิว เรน แจ้งวัฒนะ) คือโครงการ...

10 October, 2025

ศุภาลัย พรีเมียร์ ตากสิน - วงเวียนใหญ่

ย่านฝั่งธนฯ นับว่าเป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่เปี่ยมไปด้ว...

29 September, 2025

โค้บบ์ ลาดพร้าว-สุทธิสาร

เอสซี แอสเสท ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงและนวั...

22 September, 2025

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง