นานมาแล้วที่คำว่า หรูหรา มีค่าเท่ากับ มากเกินความจำเป็น แต่ทุกวันนี้สิ่งที่สำคัญต่อลูกค้าระดับบนมากที่สุดคือการใช้จ่ายของพวกเขาจะสร้างผลกระทบทางบวกต่อโลกใบนี้ได้อย่างไร และมันได้ให้ประสบการณ์ที่มีความหมายต่อพวกเขามากแค่ไหน แบรนด์ทั้งหลายจึงต้องมองไปให้ไกลกว่าเพียงแค่ความหรูหราทางวัตถุและคิดหาวิธีที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใหม่ ความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมผ่านทางสินค้าและบริการที่พวกเขาได้รับอย่างแท้จริง

เทรนด์ความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) กำลังเป็นที่พูดถึงในแวดวงอสังหาฯ ระดับหรู ผู้คนต้องการซื้อบ้านที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ของตัวเองในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด นิยามแห่งความหรูหราได้เปลี่ยนไปแล้วและนี่คือ 3 เทรนด์ที่คนอสังหาฯ ต้องรู้

1. เลือกใช้สินค้าและบริการอย่างมีสติ

ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นและส่วนใหญ่มักตระหนักถึงเรื่องภาวะโลกร้อน พวกเขาให้ความสนใจเรื่องคุณธรรมในการดำเนินงานและความโปร่งใสในที่มาของสินค้าและบริการที่ได้รับมากกว่าคนในรุ่นก่อน มีถึง 89% ที่เต็มใจจะควักกระเป๋าซื้อของสนับสนุนแบรนด์มากขึ้นหากพบว่าแบรนด์นั้นมีคุณธรรมและคำนึงถึงความยั่งยืน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำของโลกนำเรื่องความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวชูโรง เช่นเดียวกับคนอสังหาฯ ที่ต้องเริ่มมองผ่านเลนส์ของความโปร่งใสและยั่งยืน ลองใส่เรื่องราวเหล่านี้ลงบนหน้าเว็บไซต์และช่องทางสื่ออนไลน์ของคุณเพื่อให้ลูกค้าสามารถรู้จักแบรนด์ของคุณผ่านคุณค่าที่บริษัทให้การยึดถือ

2. การร่วมมือทางธุรกิจที่เปี่ยมความหมาย

นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไปผู้คนคาดหวังที่จะเห็นการจับมือกันทางธุรกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของนวัตกรรม และความร่วมมือในโครงการใดโครงการหนึ่งที่ช่วยขยายคุณค่าที่ลูกค้ายึดถือให้ดังออกไปในขณะที่คำนึงถึงประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคม ลองนึกถึงการจับมือกับธุรกิจที่สอดคล้องกับวงการอสังหาฯ เช่น บริษัทพลังงานทดแทนมาทำโครงการบ้านร่วมกัน

3. มัดใจลูกค้าเป็นการส่วนตัวโดยมีตัวช่วยเป็นเครื่องมือดิจิทัล

ปัจจัยหลักในการเติบโตของตลาดสินค้าหรูทั่วโลกนั้นมาจากช่องทางการขายออนไลน์ และมันจะยังคงเติบโตขึ้นได้อีกจากการที่คนรุ่นมิลเลนเนียมและ Gen Z มีความผูกพันธ์กับช่องทางนี้ แบรนด์ต้องเริ่มสร้างกลยุทธ์ที่จะสามารถมัดตัวมัดใจลูกค้าทั้งแบบตัวเป็นๆ และผ่านช่องทางออนไลน์ให้กลมกลืนกันไป ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูล เทคโนโลยีจดจำใบหน้า และ IoT(Internet of Things) สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่จะช่วยบริษัทสร้างคลังข้อมูลลูกค้า จัดทำบริการส่วนบุคคลและช่วยให้ลูกค้าได้เชื่อมต่อกับแบรนด์ที่ตนเองชื่นชอบได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

คนอสังหาฯ จะคุ้นเคยกับการสร้างสมดุลระหว่างการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลและแบบตัวต่อตัวมากขึ้น แต่ไม่ว่าการใช้เทคโนโลยี VR(Virtual Reality) เข้ามาช่วยในการพาลูกค้าทัวร์บ้านแบบเสมือนจริงหรือใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการติดต่อกับลูกค้าทั้งในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจและผู้นำทางสไตล์ เทคโนโลยีเหล่านี้ก็ไม่สามารถเข้ามาแทนที่การปฏิสัมพันธ์กันแบบตัวต่อตัวได้ คุณสามารถใช้ระบบ CRM(Customer Relationship Management) มาช่วยบอกถึงความชอบ ความต้องการของลูกค้า และช่วยเตือนว่าเมื่อไหร่คุณควรเข้าหาลูกค้าและเพราะอะไร การสร้างแผนการบริการเฉพาะให้แก่ลูกค้าแต่ละคนถือเป็นเสาหลักแห่งการทำธุรกิจอสังหาฯ ระดับหรู และการมีเครื่องมือทางดิจิทัลเข้ามาช่วยก็ยิ่งทำให้มันง่ายขึ้นไปอีก

อะไรที่เคยเป็นที่นิยมในอดีตอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนมองหาอีกต่อไปแล้วในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ที่เหล่าคนอสังหาฯ ก็ควรรีบตามให้ทันนิยามแห่งความหรูหราของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป

แหล่งข้อมูล

https://www.inman.com/2020/01/27/3-takeaways-from-the-latest-trends-in-home-goods-and-brands/