โนเบิลฯ แถลงแผนธุรกิจปี 2565 แบรนด์ใหม่เพียบ โครงการใหม่อื้อ 18 โครงการ สวยๆทั้งนั้น ทาวน์โฮมดีไซน์เก๋ทุกตัว! ทุบสถิติเปิด New High ด้วยมูลค่ารวม 47,700 ล้านบาท
3 ปีที่ผ่านมาของโนเบิล ภายใต้ทีมงานผู้บริหารใหม่ มีสิ่งเปลี่ยนแปลงที่มากมายและเห็นได้ชัดเจนอันประกอบไปด้วย ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จำนวนพนักงานและออฟฟิศที่เพิ่มมากขึ้น จำนวนการเปิดโครงการใหม่ การมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่จับกลุ่ม Premium Affordable ภายใต้แบรนด์ NUE มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการกลับมารุกตลาดแนวราบครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนานหลายปี ทั้งหมดนี้หากเป็นดีเวลลอปเปอร์รายอื่นอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลภายในองค์กร สร้างขีดความสามารถขึ้นมาใหม่ เพื่อให้แผนธุรกิจดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง แต่สำหรับโนเบิลเรื่องราวดังกล่าวคือความท้าทายที่โนเบิลทำได้สำเร็จตามเป้าแล้วจริงๆ จากข้อมูลในงานแถลงข่าววันนี้ทางโนเบิลได้แสดงให้เห็นว่า นับตั้งแต่ที่คุณธงชัย และคุณแฟรงค์ ได้เข้ามาบริหารงานโนเบิลเมื่อปี 2019 จนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 ในแง่ของรายได้มีการเติบโตขึ้นถึง 80% เมื่อเทียบกับช่วงปี 2016 จนถึงไตรมาส 3 ของปี 2018 อีกทั้งในแง่ของผลกำไรก็เพิ่มขึ้นถึง 87% เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของ และในปีนี้กำลังจะเดินหน้าต่อไปอีกขั้นสู่เป้าหมายของการเป็น Top 5 Developer ของประเทศไทยให้ได้ในปีนี้…นิยามของคำว่ายักษ์หลับคงใช้ไม่ได้อีกแล้วกับโนเบิล เพราะนี่คือดีเวลลอปเปอร์สุดห้าวที่สวมวิญญาณกระทิงเปลี่ยวพร้อมวิ่งไล่ขวิดทุกผู้นำที่อยู่ในตลาดให้หลุดไปข้างทาง ควบคู่ไปกับการไล่ชนทุกอุปสรรคที่ขวางหน้า เพื่อมุ่งสู่จุดหมายได้อย่างเร็วที่สุด ในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับจากก่อตั้งบริษัท
“หลายๆท่านคงกำลังสงสัยว่าทำไมโนเบิลถึงประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าเกิดขึ้นจาก 5 กลยุทธ์หลักที่เราได้ใช้มาตลอด อันประกอบไปด้วย
1. Penetration of High Growth Segment หรือการเจาะตลาดที่มีการเจริญเติบโตสูง ซึ่งเราพบว่าที่ผ่านมาทางโนเบิลขาดสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท จึงออกมาเป็นโครงการ NUE ซึ่งมีการ Launch ออกไปแล้วถึง 7 โครงการ และประสบความสำเร็จในเรื่องยอดขายที่เกินกว่า 60% แล้วทั้งหมด
2. More Aggressive and Sustainable Investment Portfolio มีการปรับ Portfolio ของโครงการให้กว้างขึ้น ลึกขึ้น และมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยแบรนด์ NUE มีสัดส่วนมากถึง 40% จากทั้งหมด และมีโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นมาถึง 32% โดยจะมีการ Balance Port ที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์
3. Strategic Partnership เรามีการจับมือกันพัฒนาโครงการกับ Strategic Partners ที่สำคัญหลายโครงการ หลายพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็น U City BTS และ Hong Kong Land ทำให้โนเบิลมีโอกาสในการขยายโครงการได้เร็วขึ้น
4. Oversea Expansion ซึ่งเป็นการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เมื่อก่อนทางโนเบิลไม่เคยทำ แต่ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่างกลุ่ม Fulcrum โดย Co-CEO อย่างคุณแฟรงก์ ทำให้โนเบิลประสบความสำเร็จมากในการขายคอนโดไปยังตลาดต่างชาติ โดยมี Market Share มากถึง 56% ของจำนวนคอนโดในกรุงเทพฯที่ขายชาวต่างชาติทั้งหมด
5. Asset Light Model – Higher ROE ที่มีการนำเอา Recurring Asset หลายตัวที่เอามาขายและนำเงินสดไปลงทุนใหม่ ซึ่งนำให้ ROE Growth เพิ่มขึ้น 2.2 เท่า จาก 13.2% เป็น 29%
โดยในปี 2022 โนเบิลเองจะมีการตั้งเป้าหมายที่ Challenging มากขึ้น เพราะเรามองว่าตลาดกำลังจะกลับมาหลังจากสถานการณ์โควิด ดังนั้นจึงมีการตั้งเป้าหมายที่จะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นถึง 18 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 47,700 ล้านบาท…” คุณธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
ในแง่ของ Oversea Strategy ทางคุณแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ได้ฉายภาพรวมว่าสำหรับโนเบิล มันไม่ใช่แค่การขายของ แต่เป็นการกำหนดกลยุทธ์ที่เป็น Framework ชัดเจนว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ Noble ให้เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวต่างชาติ โดยที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะขายเพียงแค่คอนโดบน Prime Area เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการมองความเหมาะสมของตลาดโดยรวมว่าช่วงเวลาไหนควรจะขายของพร้อมอยู่ หรือของใหม่ ให้ชาวต่างชาติ Perceive ว่าเมื่อนึกถึงอสังหาฯไทยให้นึกถึงโนเบิล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสร้างฐานลูกค้า Oversea ในระยะยาว ที่ส่งผลัพธ์ให้ตอนนี้ทุกโครงการของโนเบิลมีสัดส่วนการขายชาวต่างชาติสูงถึง 30% และมียอดโอนจากชาวต่างชาติถึงครึ่งหนึ่งของยอดโอนทั้งหมด โดย 76% ของผู้ซื้อเป็นชาวจีน ที่กระจายตัวอยู่ตามเมืองใหญ่ๆของจีน รองลงมาเป็นฮ่องกง โดยคุณแฟรงก์ยังคงมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯไทยยังคงน่าดึงดูดในสายตาของชาวต่างชาติ ที่ตอนนี้มี Pend up demand ของคนต่างชาติที่อยากจะเข้ามาเมืองไทยเพื่อซื้อโครงการอสังหาฯ และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงที่ทำให้อสังหาฯถูกลง ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เปรียบเทียบกันแล้วซื้ออสังหาเมืองไทยจะเป็นการ Diversify Port การลงทุนที่ดีกว่าในจีน โดยในปีนี้ทางโนเบิลมีแผนที่จะลงทุนในโครงการอสังหาฯของ UK ที่มีผู้อยู่อาศัยแล้วจำนวน 550 ยูนิตจากหัวเมืองตอนเหนือ อาทิ แมนเชสเตอร์ ลีดส์ เชฟฟิลด์ เพื่อนำมาขายต่อ ภายใต้เม็ดเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านปอนด์ โดยเป็นการลงทุนในแบบทยอยซื้อ ทยอยขาย เนื่องจากเป็นยูนิตที่สร้างเสร็จแล้ว