แก้ยังไง? วิกฤตซึมลึก 2025 คลื่นการเงินกระทบอสังหา
ช่วงนี้เราคิดว่าทุกคนคงเริ่มรู้สึกเหมือนกันว่า “เศรษฐกิจมันไม่เหมือนเดิม” ไม่ใช่วิกฤติแบบต้มยำกุ้งปี พ.ศ. 2540 หรือแฮมเบอร์เกอร์ปี พ.ศ. 2551 ที่ฟองสบู่แตกตูมเดียวแล้วรู้เรื่อง แต่ปี ค.ศ. 2025 นี้มันเหมือน “คลื่นใต้น้ำ” ที่ค่อย ๆ ซัดเข้ามาเงียบ ๆ คนในตลาดรู้สึกว่าเงินหาย รายได้ลด แต่หาเหตุผลชัด ๆ ไม่เจอ เหมือนโดนบีบทั้งระบบ อันนี้โค้ชหนุ่ม (Money Coach) เขาพูดไว้ในช่อง Business Tomorrow ว่าวิกฤต 2025 ปีนี้เป็น “วิกฤตซึม ๆ” และหนักระดับ 9 จาก 10 …โอโหนี่ยังไม่สิบอีกเหรอ จะมีกว่านี้อีกเหรอ
ลองไปติดตามฟังคลิปฉบับเต็มกันได้ที่ลิงก์นี้ https://youtu.be/eOClUQSLAYc?si=UbvP9ZHW2lthud4o
ถ้าฟังคลิปแล้ว พวกเราคงเห็นด้วยกับโค้ชหนุ่มอย่างเต็มที่ใช่หรือไม่ เพราะตอนนี้กลุ่มที่เจ็บจริงไม่ใช่คนรายได้ต่ำ แต่กลับเป็น “ชนชั้นกลางรายได้สูง (Upper Middle Class)” คนที่มีรายได้ประมาณ 50,000–100,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของตลาดอสังหาฯ ระดับกลางถึงบน หลายคนซื้อบ้านใหม่ มีลูกต้องส่งเรียนโรงเรียนเอกชน รายได้สะดุดนิดเดียว หนี้ก็เริ่มหมุนไม่ทัน กลายเป็นกับดักชนชั้นกลาง
ภาระหนี้ไทยตอนนี้ หนักกว่าที่เราคิดขนาดไหน
ตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติบอกว่าคนไทยมีหนี้เฉลี่ยเกือบ 200,000 บาทต่อครัวเรือน (ไม่รวมบ้าน) และถ้ารวมบ้านกับสินเชื่ออื่น ๆ หนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนพุ่งเกิน 600,000 บาท เข้าไปแล้ว ที่สำคัญ หนี้ครัวเรือนรวมของประเทศอยู่ที่ ประมาณ 87% ของ GDP — ซึ่งถือว่าสูงมากในระดับโลก
พูดง่าย ๆ คือ ทุก ๆ 100 บาทที่ประเทศผลิตได้ คนไทยมีหนี้เกือบ 90 บาท แล้วลองคิดดูว่าในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่คือ “หนี้ที่อยู่อาศัย” ถ้ารายได้คนเริ่มชะงัก ตลาดอสังหาฯ จะรับแรงกระแทกเป็นกลุ่มแรกๆ แน่นอน
ถ้าไปคุยเพื่อนในวงการคอนโด อาจจะได้ยินว่าช่วงนี้ยอดจองหายไป เงียบๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เคยเป็น “ลูกค้าพร้อมซื้อ” กลายเป็น “ลูกค้ารอดูก่อน” กันแทบหมด ทั้งที่บางคนยังมีงาน ยังมีเงินเดือน แต่อาจมีหนี้สหกรณ์หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มองไม่เห็นในระบบเครดิตบูโร แม้ยังมีเงินเดือนแต่ไม่แน่ใจกับตำแหน่งหน้าที่การเงินว่าผู้ว่าจ้างจะยังอยากจ้างตนต่อหรือไม่ ความไม่แน่ไม่นอนแบบนี้ทำให้ลูกค้าอสังหาฯ ชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน
หนี้สหกรณ์ เป็นระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่ในระบบการเงินไทย
หลายคนยังไม่รู้ว่าหนี้สหกรณ์คือระเบิดเวลาลูกใหญ่ เพราะมัน “ไม่โชว์ในเครดิตบูโร” หมายความว่าตอนธนาคารประเมินเครดิตลูกค้า ธนาคารจะมองเห็นแค่บางส่วนของภาระหนี้จริง แต่ทว่าบางสหกรณ์กลับให้สมาชิกผ่อนหนี้ได้ถึง 70% ของรายได้ แต่เหลือไว้กินใช้แค่ 30% ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานการเงินที่ควรอยู่ไม่เกิน 40% เยอะมาก ข้อมูลที่ซ่อนอยู่นี่แหละที่น่ากังวล
ลองนึกภาพคนที่ผ่อนบ้านอยู่แล้ว แต่ยังไปกู้สหกรณ์อีก เพื่อหมุนจ่ายหรือซื้อรถ ถ้าเกิดรายได้สะดุดทีเดียว หนี้ทุกก้อนพังทลายตามกันหมด และถ้าใครในกลุ่มนั้นเป็นลูกค้าเราในโครงการอสังหา มันก็จะกลายเป็น NPL ได้ง่ายมากๆ ซึ่งถ้าฝั่ง Developer ก็อาจจะไม่สนใจก็ได้ เพราะขายแล้วจบไปแล้วไม่เกี่ยวแล้ว แต่อย่าลืมว่าการที่มี NPL ในระบบเศรษฐกิจมันไม่ใช่เรื่องที่ดีกับทุกฝ่ายสักเท่าไหร่ ยังไงมันก็กระทบกับคนทำอสังหาอยู่ดี ไม่กระทบวันนี้ก็กระทบอนาคต
เราอาจจะเคยเจอเคสคนจองบ้านได้ ผ่อนดาวน์ไหว แต่สุดท้ายกู้ไม่ผ่าน หรือกู้ผ่านแต่จ่ายไม่ไหว ไม่รอด อิหยังวะ ทั้งที่เครดิตบูโรสวยมาก แต่เพราะอาจไปมีภาระสหกรณ์ค้ำหนี้ให้เพื่อนในที่ทำงานโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แล้วพอเพื่อนเบี้ยว เขาต้องรับแทนเต็มจำนวน กลายเป็นเรื่องราวรุมเร้าสะบัดออกได้ยาก



