เจาะลึกแนวคิดในการพัฒนา Urban Home ที่พร้อมมอบสมดุลของการใช้ชีวิตที่แตกต่างของคนเมืองอย่างมีเอกลักษณ์ จากโนเบิล
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทิศทางในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯนับว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นของการพัฒนาโครงการแนวราบ ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดสินค้าที่ช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่กำลังซื้อของกลุ่มนักลงทุนคอนโดและกลุ่มต่างชาติขาดหายไป จากสภาพเศรษฐกิจที่มีความผันผวน เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงไปของ Mega Trend หลักที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มผู้ซื้อ จนส่งผลให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Workspitality (Work + Hospitality), Privacy Need, Pet Humanization, Sustainable Living, Space Efficiency, Safety Needs ตลอดจน Multi – Generation Living ซึ่งจากพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลกระทบในทางบวกให้กับโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ทุกรูปแบบทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือ ทาวน์โฮม ที่ล้วนมีข้อได้เปรียบจากการที่ได้พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าในราคาที่ประหยัดกว่าที่อยู่อาศัยประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเปรียบเทียบกับการซื้อคอนโดใจกลางเมือง นอกจากนั้นบ้านแนวราบยังได้ประโยชน์จากการได้พื้นที่ส่วนตัว มีพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นสามารถปรับฟังก์ชันการใช้งานเป็นไปตามไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ เช่น การมีพื้นที่เลี้ยงสัตว์ พื้นที่ทำงานอดิเรก จนไปถึงการดัดแปลง ต่อเติมพื้นที่บางส่วนเพื่อมาทำธุรกิจก็ได้เช่นกัน ซึ่งจากรูปแบบพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเหล่านี้ ทำให้ในปัจจุบันเราได้เห็นผู้ประกอบการจำนวนมากเข้ามาพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อให้ครอบคลุมในทุกระดับเซกเมนท์ราคา บนทำเลเมืองส่วนต่อขยาย
ในขณะที่โครงการทาวน์โฮม 3.5 – 4 ชั้น ในระดับราคาหลังละ 7 – 10 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปท์ Urban Home ซึ่งมีรูปแบบเป็นบ้านแนวสูงสไตล์ทาวน์โฮม ที่มอบพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าบ้านเดี่ยวในระดับราคาเดียวกัน บนดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ที่ช่วยปิดข้อจำกัดของการอยู่อาศัยในทาวน์โฮม ที่มักจะขาดความโปร่งโล่ง ช่องแสง พื้นที่ทำสวน และตั้งอยู่ในทำเลเมือง ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งในโปรดักส์เซกเมนท์ที่ทางโนเบิลให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จนขึ้นแท่นสู่ผู้นำในตลาด Urban Home ด้วยความเชื่อที่ว่า งานดีไซน์ที่ดีจะสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยในเมืองให้ดีขึ้นได้ และเมื่อรวมกับทำเลที่ติดถนนใหญ่ ใจกลางย่านชุมชน ก็จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับตัวโครงการได้อย่างมากในอนาคต
หลายคนคงสงสัยว่า Urban Home แตกต่างจากการอยู่อาศัยในรูปแบบทาวน์โฮมปกติอย่างไร?
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ในอดีตที่ผ่านมากลุ่มสินค้าประเภททาวน์โฮมนั้น เป็นกลุ่มสินค้าที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อดึงดูดกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการปรับเปลี่ยนการอยู่อาศัยจากอาคารพาณิชย์ และคอนโด มาสู่รูปแบบทาวน์โฮมโดยอาศัยข้อได้เปรียบของเรื่องทำเล ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอย โดยที่ยังคงเสียเปรียบกลุ่มสินค้าประเภทบ้านแฝดและบ้านเดี่ยวในเรื่องของขนาดพื้นที่ดิน พื้นที่สวน Outdoor และความโปร่งโล่งของช่องอากาศและช่องแสง ซึ่งทำให้ภาพจำของทาวน์โฮมในอดีตก็คืออาคารสูง 2-3 ชั้น ที่แม้จะมีพื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านที่ค่อนข้างมาก แต่หลายๆ โครงการก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดที่ดิน การจัดวาง Space หรือจำนวนห้องนอน – ห้องน้ำให้สัมพันธ์กับการใช้งานกับทุกคนในบ้าน การขาดพื้นที่ใช้งานเอนกประสงค์แบบ Semi – Outdoor หรือพื้นที่ Open Space ขนาดใหญ่ รวมถึงผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ก็มักเลือกที่จะเอาพื้นที่บริเวณสวนหลังบ้านออก เพื่อที่จะต่อเติมเป็นห้องครัว หรือห้องซักรีดแบบใช้งานได้จริงจังมากกว่า ทำให้การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแมกไม้ในสไตล์บ้านเดี่ยวดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และก็ยังคงเป็นอยู่สำหรับกลุ่มตลาดทาวน์โฮมในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทส่วนใหญ่
แต่สำหรับ Urban Home ก็คือบ้านแนวสูงที่มาพร้อมงานดีไซน์ที่พัฒนามาเพื่อแก้ข้อจำกัดในการอยู่อาศัยแบบเดิมๆ ที่ตัวบ้านมักจะมีความทึบตัน แสงธรรมชาติส่องไม่ถึง หรือขาดความโปร่งโล่ง ด้วยการเพิ่มช่องแสงธรรมชาติเข้าไป (Sky light) ขยายเพดานให้เป็นโถงสูง (Double Volume) รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สวนสีเขียวที่แทรกเข้ามาในแต่ละชั้น ซึ่ง Product ลักษณะนี้ก็จะมาพร้อมกับพื้นที่ใช้สอยที่เยอะ สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการอยู่อาศัยและการปรับเปลี่ยนเป็นโฮมออฟฟิศ
ซึ่งถ้าลองไปเทียบกับโครงการแนวราบอย่างบ้านเดี่ยว โครงการลักษณะ Urban Home จะมีความยืดหยุ่นกว่าปรับการใช้งานได้ง่ายกว่า ตอบโจทย์การใช้งานแบบผสมผสาน ยิ่งถ้าเป็นโครงการที่อยู่ในทำเลที่ดี มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ดี มีงานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ก็ล้วนเป็นการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่พิเศษกว่าทาวน์โฮมโดยปกติทั่วไป และน่าจะตอบโจทย์ผู้พักอาศัยที่มองว่าบ้านคือสถานที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนสเปซและอรรถประโยชน์ได้ตามความต้องการ ในสไตล์ Home for Everything ที่พร้อมมอบสมดุลของการใช้ชีวิตที่แตกต่างของคนเมืองอย่างมีเอกลักษณ์ตั้งแต่ การพักผ่อน ทำงาน เรียนหนังสือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร ทำสารพัดกิจกรรม ไปจนถึงชวนเพื่อนมาแฮงค์เอาท์ถ่ายรูปลงโซเชียลได้สมความภาคภูมิใจ
แตกต่างอย่างมีสไตล์ กับ Urban Home จากโนเบิล บนแนวคิด “Vertical Home Living – จัดฟังก์ชัน แบ่งสัดส่วนตามพื้นที่การใช้ชีวิต”
Urban Home โดยโนเบิลทุกโครงการ จะถูกพัฒนาบนแนวคิดการอยู่อาศัยแนวตั้งหรือ Vertical Home Living ที่มีการจัดฟังก์ชัน แบ่งสัดส่วนตามพื้นที่การใช้ชีวิต มอบเอกลักษณ์ที่มีความแตกต่างสำหรับคนเมืองด้วยการออกแบบ Urban Home บนแนวคิดใหม่ ซึ่งมีการออกแบบเพื่อเติมเต็มแนวคิดของความสมดุลในการอยู่อาศัย รวมถึงการใช้ชีวิตในรูปแบบ Hybrid Function มีการออกแบบพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่น หรือ Flexible Space สำหรับหลีกหนีความวุ่นวายจากสังคมเมืองหนาแน่นมาสู่ความเป็นธรรมขาติอันเงียบสงบ บนพื้นที่ส่วนตัว ตอบโจทย์คนสมัยใหม่ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมีความเป็นตัวเองสูงและไลฟ์สไตล์ไม่ซ้ำกับใคร ไม่ชอบความแออัด มืด ทึบ ของทาวน์โฮมเดิมๆทั่วๆไป และไม่ได้ต้องการพื้นที่สวนรอบบ้านเหมือนกับการอยู่บ้านเดี่ยว แต่ต้องการพื้นที่ที่ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญยังต้องเดินทางได้สะดวก
ภายใต้คอนเซปท์ดังกล่าว นำมาซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหลายอย่างโดย อย่างแรก คือ การออกแบบ Façade ด้านนอก ที่นอกจากจะมีความโมเดิร์นทันสมัยแล้ว ตัว Façade ยังมีการออกแบบเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัยภายในบ้านได้ โดยโครงการแต่ละแห่งก็จะมีรูปแบบงานดีไซน์ façade ที่แตกต่างกันออกไป
อย่างที่สอง คือ ทางโนเบิลจะมีการออกแบบโดยการเพิ่มพื้นที่ระเบียง และจุดปลูกต้นไม้ (Green Space) ทำให้การอยู่อาศัยภายในบ้านไม่ว่าคุณจะอยู่ชั้นไหน ห้องใด คุณก็ยังสามารถอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวได้ ส่งผลให้การอยู่อาศัยมีความรู้สึกที่แตกต่างจากโครงการทั่วๆไป
อย่างที่สาม คือ การมีพื้นที่โถงเพดานสูง หรือ Double Volume ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่เข้ามาแก้ข้อจำกัดทาวน์โฮมแบบเดิมๆที่มีความทึบตันแสงส่องไม่ถึง ให้กลายเป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง มีแสงธรรมชาติส่องถึง และช่วยเพิ่มให้เกิดการถ่ายเทอากาศภายในบ้าน
อย่างที่สี่ คือ Hybrid Function การออกแบบพื้นที่ให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ Work-life blending ผสมผสานการใช้ชีวิต และการทำงานเข้าด้วยกัน เช่น ถ้าคุณอยากใช้พื้นที่ชั้น 1-3 ของบ้านเป็นพื้นที่สำหรับออฟฟิศ และชั้น 4 เป็นพื้นที่อยู่อาศัยบ้าน Urban Home ของโนเบิลก็สามารถปรับเปลี่ยนได้
อย่างที่ห้า คือ พื้นที่ที่มีความยืดหยุ่น หรือ FLEXIBLE SPACE ทางโนเบิลมีการแบบพื้นที่เพื่อให้ใช้งานได้หลากหลาย เช่น พื้นที่โซนหลังบ้านที่มีการลงเสาเข็มเท่ากับตัวบ้าน ทำให้สามารถช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในบ้าน และสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่หลังบ้านตรงนี้ได้ตามใจชอบ อย่างเช่น เป็นพื้นที่นั่งเล่นหรือพื้นที่ปลูกต้นไม้
อย่างสุดท้าย คือ ทำเลติดถนนใหญ่บนศูนย์กลางของย่านนั้นๆ โดยโครงการ Urban Home ของทางโนเบิลจะมาพร้อมกับโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลติดถนนใหญ่ และอยู่บนจุดศูนย์กลางที่เป็น Landmark ในย่านนั้นๆ อย่างเช่น Nue Hybe สุขสวัสดิ์ ติดถนนใหญ่สุขสวัสดิ์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง Nue Cove นอร์ธ ราชพฤกษ์ ติดถนนใหญ่ราชพฤกษ์ ติดห้าง Lotus นอร์ธ ราชพฤกษ์ และ Nue Verse กรุงเทพกรีฑา ติดถนนใหญ่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ใกล้ Community Mall หลายแห่ง เป็นต้น
หลังจากที่เราได้รู้จักกับแนวคิดในการพัฒนาโครงการ Urban Home ของโนเบิลแล้ว ในบทความนี้จะขอแนะนำ 3 โครงการ Urban Home สำคัญของโนเบิลที่มาพร้อมกับความโดดเด่นบนความสมดุลเหนือใคร บน 3 ทำเล Lifestyle Node สำคัญ ได้แก่ ย่านสุขสวัสดิ์กับ NUE HYBE Suksawat (นิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์), ย่านกรุงเทพกรีฑากับ NUE VERSE Krungthep Kreetha (นิว เวิร์ส กรุงเทพกรีฑา) และย่านราชพฤกษ์ตอนเหนือกับ Nue Cove North Ratchapruek (นิว โคฟ นอร์ธ ราชพฤกษ์)
มาเริ่มต้นกันที่ทำเลแรก อย่างสุขสวัสดิ์ กับโครงการ NUE HYBE Suksawat (นิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์)
ความสำคัญของทำเล ‘สุขสวัสดิ์’ ปัจจุบันถือเป็นย่านผสมผสานระหว่างที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์สำคัญของกรุงเทพฯ ตอนใต้ ที่ถือว่าเป็นทำเลที่สะดวกในการเดินทาง เนื่องจากถนนสุขสวัสดิ์ เป็นถนนหลักที่เชื่อมต่อย่านต่างๆของฝั่งธนบุรีได้ โดยไฮไลท์สำคัญ คือ การพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานทางราง อย่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ที่จะเปิดเดินรถให้บริการในช่วงปี 2570 ซึ่งจะทำให้การเดินทางยิ่งสะดวกมากยิ่งขึ้น
ซึ่งจุดเด่นของโครงการ นอกจากทำเลติดถนนใหญ่แล้ว ตัวโครงการยังมีการออกแบบที่ตอบโจทย์ Live – Work – Commerce ที่สอดรับการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน โดยบ้านของที่นี่จะมีด้วยกันอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1) Urban Home หรือทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง เหมาะสมกับการอยู่อาศัยมากที่สุดโดยจะวางตำแหน่งอยู่โซนด้านในของโครงการเพื่อความเป็นส่วนตัว 2) Urban Hybrid Home หรือ ทาวน์โฮม 4 ชั้น เป็นแบบบ้านที่สามารถผสมผสานพื้นที่ทำงานกับพื้นที่อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว วางตำแหน่งอยู่กลางโครงการ และส่วนที่อยู่ติดทางเข้าโครงการคือ 3) Urban Shophouse หรือ อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ที่เหมาะสมกับการทำเป็นร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร และกิจการที่ต้องมีลูกค้ามาเยี่ยมชมมากที่สุด ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นโครงการที่ครบจบในที่เดี่ยว อีกความพิเศษที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือการออกแบบ Façade ที่มีความทันสมัย มาพร้อมกระจกบานใหญ่ มีระแนงกันแดด ช่วยกรองแสง เพิ่มความเป็นส่วนตัว และยังมีการแทรกต้นไม่ใหญ่เข้าไปในแต่ละชั้นของตัวบ้านอีกด้วย
ด้วยที่ตั้งบนทำเลติดถนนสุขสวัสดิ์ที่มีการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสัญจรมากที่สุดของกรุงเทพตอนใต้ จึงมองเห็นได้ง่ายจากริมถนนใหญ่ เหมาะมากทั้งการเปิดธุรกิจขายของ ทำเป็นโฮมออฟฟิศ หรืออยู่อาศัยเอง ขายต่อก็ง่ายกว่า โดยส่วนของ Urban Home เน้นความเป็นส่วนตัวด้วยการอยู่โซนด้านใน มี Main Gate กั้น 3 ชั้น พร้อมด้วยส่วนกลางใหญ่มากถ้าเทียบกับจำนวนยูนิต ในรูปแบบ Clubhouse พร้อมสระว่ายน้ำ สระเด็ก สวน ฟิตเนส ห้องทำงาน ห้องประชุม สนามเด็กเล่น
หากใครที่มีสมาชิกในครอบครัวเยอะๆ และมองหาโครงการที่มอบพื้นที่ใช้สอยเกินกว่า 260 ตรม. ตัวเลือกในแบบ Urban Hybrid Home ดีไซน์หน้ากว้าง 7.5 เมตร จอดรถในบ้านได้ถึง 4 คัน พร้อม Auto Shutter Door แยกทางเข้ารถ – คน ก็ดูจะเป็น Choice ที่คุ้มค่ามากกว่าการไปหาซื้อบ้านเดี่ยวในทำเลที่ไกลออกไปในราคาที่แพงกว่า ส่วนใครที่อยู่กันแบบหลวมๆ 2 – 3 คน หรือ 2 คนพร้อมสัตว์เลี้ยง ทาวน์โฮมในสไตล์ Urban Home ดีไซน์หน้ากว้าง 5.45 เมตร จอดรถสะดวก 2 คัน หนึ่งเดียวในย่านที่มีโถง Living แบบ Double Volume สูง 5.7 เมตร ก็จะกลายเป็นบ้านที่ใช่สำหรับคุณมากเลยทีเดียว เพราะแถวนี้หาโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้นที่มอบ Space และดีไซน์ทันสมัยแบบนี้ไม่ได้แล้ว ยิ่งหากพิจารณาจากจุดเด่นในเรื่องของที่ตั้งที่อยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และเดินไปขึ้นสถานีรถไฟฟ้าได้ง่ายสะดวกมากจริงๆ ก็เป็นหลักประกันได้ว่ายังไงซื้อที่นี่ ย่อมดีกว่าซื้อโครงการอื่นๆที่อยู่ในถนนรอง เข้าซอยลึก มากกว่ากันอย่างชัดเจนครับ
อ่านบทความรีวิวฉบับเต็มต่อได้ที่ https://propholic.com/prop-verdict/nue-hybe-suksawat