หนี้เสีย NPL ไม่ใช่จุดจบแต่คือก้าวถัดไป “JV AMC” กลไกใหม่คืนชีพตลาดอสังหาไทย โอกาสใหม่หรือดาบสองคม?
https://unsplash.com/photos/a-calculator-sitting-on-top-of-a-pile-of-money-zR7nFjjIAWE
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจและรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ปัญหาที่ยังคงหลงเหลืออยู่และส่งผลลึกต่อระบบการเงินคือ “ปัญหาหนี้เสีย” หรือสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) ที่กระจายอยู่ในธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด ทั้งบ้าน ที่ดิน โรงแรม หรืออสังหาฯ เพื่อการลงทุนจำนวนมากที่ถูกพักไว้ระหว่างวิกฤต กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเร่งหาทางจัดการ เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระระยะยาวของระบบเศรษฐกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ออก (ร่าง) ประกาศฉบับใหม่ว่าด้วย “หลักเกณฑ์การดำเนินงานในกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ JV AMC (Joint Venture Asset Management Company) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด โดยเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารสินทรัพย์เข้ามาร่วมมือกัน เพื่อบริหารและปรับโครงสร้างหนี้อย่างเป็นระบบ
ต่างจากในอดีตที่การจัดตั้ง JV AMC จำกัดอยู่เฉพาะธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์เท่านั้น ร่างประกาศใหม่นี้เปิดประตูให้กว้างขึ้น โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น บริษัทบัตรเครดิต ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ เข้ามาร่วมลงทุนในกิจการร่วมทุนได้ด้วย นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นิติบุคคลที่ทำธุรกิจลักษณะคล้ายบริษัทบริหารสินทรัพย์จากทั้งในและต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมได้เช่นกัน
สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ การปรับปรุงครั้งนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือธนาคารออมสิน จะสามารถรับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารได้โดยตรง ซึ่งหมายความว่าอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างอยู่ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านมือสอง ที่ดินรอการขาย หรือโครงการที่ชะงักกลางทาง จะมีช่องทางในการกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งผ่านกลไกของ JV AMC ที่มีทุนและความเชี่ยวชาญรองรับ
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ ร่างประกาศได้กำหนดให้ JV AMC ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส โดยราคาซื้อขายสินทรัพย์ต้องอยู่ในมูลค่ายุติธรรม และการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างผู้ร่วมทุนต้องไม่มีการให้สิทธิพิเศษหรือผลประโยชน์แอบแฝง เพื่อป้องกันการเอื้อประโยชน์และคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของระบบ ทั้งยังระบุชัดว่าหนี้ที่สามารถรับซื้อได้นั้นต้องเป็นของลูกหนี้รายย่อยหรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีวงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท และไม่มีพฤติการณ์ทุจริตหรือเกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
ในมุมของประชาชนทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้มีความหมายมากกว่าการบริหารหนี้เสีย เพราะมันคือการให้โอกาสใหม่กับลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา ลูกหนี้เหล่านี้อาจได้รับเงื่อนไขใหม่จาก JV AMC ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม และสามารถฟื้นตัวกลับมาได้โดยไม่ถูกบีบคั้นจนเกินควร
ส่วนในมุมของภาคอสังหาฯ การเคลื่อนไหวของ JV AMC จะช่วยให้ตลาดกลับมามีวงจรหมุนเวียนใหม่ เพราะสินทรัพย์รอการขายหรือโครงการที่หยุดชะงักจะได้รับการจัดการและปล่อยกลับเข้าสู่ระบบในราคาที่สะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ผู้ประกอบการสามารถเข้าซื้อหรือร่วมพัฒนาได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยลดภาระของธนาคารที่ต้องแบกรับหนี้เสียไว้ในงบดุล
แม้ประกาศนี้ยังอยู่ในขั้นร่าง แต่ก็สะท้อนทิศทางสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และสถาบันการเงินร่วมมือกันแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบสินเชื่อไทยอย่างเป็นระบบ หากเดินหน้าได้จริง JV AMC รูปแบบใหม่จะไม่ใช่เพียงเครื่องมือจัดการหนี้เสีย แต่จะกลายเป็นสะพานแห่งโอกาสที่เชื่อมโยงการฟื้นตัวของลูกหนี้กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ในท้ายที่สุด การบริหารหนี้เสียอย่างโปร่งใสและมีส่วนร่วมคือหัวใจของระบบการเงินที่แข็งแรง เพราะเศรษฐกิจไม่ได้เติบโตจากการปล่อยกู้เท่านั้น แต่เติบโตจากการให้โอกาสแก่ผู้คนที่ยังมีพลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และนั่นคือสิ่งที่ร่างประกาศ JV AMC ฉบับนี้กำลังพยายามสร้างขึ้นมา พวกเราต้องรอดูและติดตามกันต่อไปว่าร่างฉบับนี้จะได้ประกาศใช้จริงเมื่อไหร่



