“สัมมากร” เดินหน้าเปิดเกมรุกตลาดบ้านเดี่ยว ด้วยกลยุทธ์ปั้น 7 แบรนด์ใหม่ พร้อมลุยเปิด 9 โครงการบนสุดยอดไพร์มโลเคชั่น มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท
ในประเทศไทยมีแบรนด์ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ชั้นนำอยู่มากมาย แต่หากจะลงลึกไปถึงประวัติความเป็นมาและความยาวนานต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ แน่นอนว่าชื่อของ สัมมากร ย่อมมาเป็นอันดับหนึ่งในมุมมองของกลุ่มผู้บริโภคที่อยู่ในยุค Baby Boomer (เกิดประมาณพ.ศ. 2489 – 2507) และ Generation x (เกิดประมาณพ.ศ. 2508-2522) โดยหากนับจนถึงปัจจุบัน แบรนด์สัมมากรได้โลดแล่นอยู่ในวงการมากว่า 52 ปีแล้วนับตั้งแต่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2513 กับสารพัดโครงการที่อยู่อาศัยในชื่อสัมมากร โดยโครงการที่เราคุ้นหูกันดีจนเป็น Generic Name สำหรับผู้ที่คุ้นชินกับทำเลรามคำแหงตอนปลายก็จะเป็น หมู่บ้านสัมมากร โครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ซึ่งโครงการบ้านเดี่ยว และแนวราบอื่นๆ ก็มักจะใช้ชื่อ สัมมากร แล้วต่อท้ายด้วยโลเคชั่นของโครงการนั้นๆ
โดยตัวอย่างโครงการอสังหาฯ ของค่ายสัมมากร ที่หลายคนอาจเคยเห็นผ่านตามาบ้างในปัจจุบัน ที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ กระจายตัวอยู่หลายทำเลของกรุงเทพฯ อาทิ
บ้านเดี่ยว
โครงการ สัมมากร รังสิต คลอง 7 บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ฟังก์ชั่นครบ 4 ห้องนอน พร้อมครัวไทย บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ รังสิต – นครนายก ส่วนกลางธรรมชาติ บรรยากาศรีสอร์ท
โครงการ สัมมากร ชัยพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยวบรรยากาศรีสอร์ท ติดถนนใหญ่ชัยพฤกษ์ ใกล้ NEW CBD แจ้งวัฒนะไม่ถึง 10 นาที
ทาวน์โฮม
โครงการ สัมมากร อเวนิว สุวรรณภูมิ พรีเมียมทาวน์โฮม 2-3 ชั้น พื้นที่กว้างตอบรับทุกฟังก์ชั่น พื้นที่เท่าบ้านเดี่ยว ใกล้สุวรรณภูมิ
โครงการ สัมมากร อเวนิว รามอินทรา-วงแหวน พรีเมี่ยมทาวน์โฮม 3 ชั้น ฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยว เดินทางสะดวก ติดทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้า
โครงการ สัมมากร อเวนิว ชัยพฤกษ์-วงแหวน ซุปเปอร์ทาวน์โฮม 3 ชั้น สุดคุ้ม 166 ตร.ม. ฟังก์ชั่นเท่าบ้านเดี่ยว
โฮมออฟฟิศ
โครงการ สัมมากร ออฟฟิศ พาร์ค พรีเมี่ยม โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น ใจกลางรามอินทรา เดินทางสะดวกติดทางด่วน ใกล้รถไฟฟ้า
ตลอดระยะเวลากว่า 52 ปีสัมมากรได้สร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพมากมาย จึงมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการสร้างบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทย และเป็นบ้านที่หลับสบายได้อย่างแท้จริง โดยนับตั้งแต่ที่ธุรกิจอสังหาเริ่มเข้าสู่ยุค Covid – 19 การเร่งพัฒนาโครงการแนวราบได้กลายเป็นโจทย์หลักของดีเวลลอปเปอร์ทุกราย ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าวิถีชีวิตส่วนใหญ่ในสังคมล้วนต้องการที่จะใช้ชีวิตบนโครงการที่อยู่อาศัยที่มอบทั้ง Flexible Space พื้นที่ที่กว้างขวาง ยืดหยุ่นกว่า ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย, Privacy ความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า, Multi Generation ตอบสนองการอยู่ร่วมกันในทุกเจนเนอเรชั่นมากกว่า, Wellbeing สร้างสุขลักษณะความปลอดภัยในการอยู่อาศัยที่ดีกว่า และ Individualistic หรือสะท้อนความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าโครงการประเภทแนวราบบนทำเลใจกลางชุมชนที่เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกคือโครงการที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้มากกว่าโครงการคอนโดอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งสัมมากรในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 52 ปี จึงใช้ประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน ในการวางแผนปรับตัวเพื่อพัฒนาโครงการของตัวเอง ให้สอดรับกับรสนิยม และดีมานท์ที่เปลี่ยนไปตามกลุ่มผู้ซื้อ Generation ใหม่ ที่เป็น Gen Y รวมไปจนถึง Millennials และกลุ่ม Young Millionaire ซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริโภคหลักของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ทดแทนกลุ่ม Gen x ซึ่งจะมาเป็นฐานลูกค้าหลักของสัมมากรในไม่ช้านี้ โดยปัจจัยหลักในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนเหล่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของชื่อเสียง ความหรูหราของการใช้วัสดุราคาแพงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ Total Enriched Experience ที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาในการอยู่อาศัยบนไลฟ์สไตล์ที่เป็นปัจเจกนั่นเอง
ดังที่เราจะเห็นได้ว่าในระยะหลัง Product Brand ที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดของดีเวลลอปเปอร์บางรายกลับเสื่อมความนิยมในหมู่คนซื้อรุ่นหลัง โดยเฉพาะแบรนด์บ้านเดี่ยวแนวราบราคาแพงที่ไม่ได้มีการทำ Rebranding เพื่อให้สอดรับกับดีมานท์และเทรนด์การอยู่อาศัยของกลุ่มกำลังซื้อหน้าใหม่เลย…ซึ่งก็หมายความว่า โจทย์ครั้งสำคัญของสัมมากรในการที่จะนำพาธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปอีกขั้นก็คือ การสร้าง Brand Architecture ใหม่ จากการเป็น Brand House ที่เน้นชื่อ Corporate Brand สัมมากรเป็นหลัก มาเป็น House of Brands ที่มีการ Diversify ทั้ง Product Extensions ไปสู่เซกเมนท์ที่ลูกค้ามีกำลังซื้อสูงขึ้น ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากวิกฤตเศรษฐกิจ รวมไปถึงการสร้าง Brand Extensions ผ่าน Independent Brand ใหม่ๆ ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมายแต่ละโครงการได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยได้มีการนำเอาแนวคิด Design Thinking ที่มีกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ในการหาแนวทางแก้ปัญหา หรือโซลูชั่นใหม่ๆ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อนำมาใช้สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างรอบด้าน เพื่อทำความเข้าใจ (Empathy) วิธีคิดและความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ
โดยในปัจจุบันจะพบว่าโครงการใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนาออกมานั้นจะอยู่ภายใต้โจทย์หลักคือความต้องการที่จะพัฒนาโครงการที่ทำให้ทุกคนหลับสบายไร้กังวล เป็นบ้านที่ให้ความสุข ความสบายกับทุกคนที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของการอยู่ร่วมกัน อยู่ในชุมชนและสังคมที่ดี และจะโฟกัสที่โครงการแนวราบ เน้นดีไซน์และฟังก์ชั่นที่เหมาะกับเทรนด์ปัจจุบัน อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย